ตอนที่ 549 ไฟไหม้แล้ว
แววตาซ่งอิงเจือรอยยิ้มเล็กน้อย
หากฮั่วผิงกล้าวางเพลิงจริง เช่นนั้นเด็กน้อยคนนี้ก็คงเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ หัวหน้าหมู่บ้านซ่งเป็นคนหนึ่งที่นิสัยดีงาม แต่หากเรื่องราวเกี่ยวพันกับทรัพย์สินของครอบครัวชาวบ้านก็จะเป็นอันโกรธจัด แล้วนับประสาอะไรกับการวางเพลิงซึ่งเป็นการกระทำผิดอันใหญ่หลวง!
หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ แต่ละครอบครัวสร้างบ้านโดยใช้โครงสร้างจากไม้เป็นส่วนใหญ่ ก็มีแค่นางที่ต่อมาภายหลังมีเงินมากขึ้นหน่อย ดังนั้นตอนก่อนหน้านี้ที่ซ่อมแซมนอกกำแพงลานบ้านด้านหน้าจึงใช้อิฐเทาและกระเบื้องแผ่นใหญ่
ยุคโบราณกับยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน มีเพียงถนนที่เป็นดิน อย่างมากสุดก็เพิ่มเติมหินละเอียดลงไปเล็กน้อย พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยหญ้าป่า ฤดูหนาวหญ้าแห้งจนกลายเป็นสีเหลือง แหล่งน้ำน้อย ไม่สะดวกแก่การตักน้ำ เพียงแค่ประกายไฟเล็กๆ ประกายเดียว หากเจอมันช้าไป เช่นนั้นก็จะเผาวอดวายทั้งหมู่บ้านได้
“เจ้าไปจับตาดูก่อน ดูสิว่าเขาเตรียมจะจุดไฟเผาสิ่งของของบ้านใคร หากลงมือกับสิ่งของของบ้านผู้อื่นก็ทำให้เขาตกใจกลัวแล้วกลับไปเสีย หากตลอดทางไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็รอหลังจากเขามาถึงทางด้านข้านี้ ปล่อยให้เขาจุดไฟเสีย” ซ่งอิงขบคิดแล้วกล่าว
บ้านหลังนี้ของนางอยู่ห่างจากบ้านคนอื่น เพราะรำคาญแมลงที่เยอะเกินไปตอนฤดูร้อน ก็เลยจัดการบริเวณโดยรอบอย่างสะอาดเอี่ยม ต่อให้จุดไฟก็ส่งผลกระทบไม่มากมาย
ปีศาจกบเขียวขานรับทันที เมื่อกลับหลังหันได้ก็กระโดดออกนอกกำแพงไป
มันกระโดดในคราวเดียวได้สูงมาก ซ่งอิงอดอ้าปากค้างไม่ได้
ทางฟากนั้น ฮั่วผิงหน้าตาถมึงทึง เดินมุ่งหน้ามาบ้านซ่งอิงอย่างลับๆ ล่อๆ ไม่ได้สังเกตเห็นว่าบริเวณใกล้ๆ มีเหล่ากบเขียวกระโดดตามอยู่
ในราตรีที่มืดสลัว เด็กน้อยผู้นี้ไม่รู้จักกลัว เดินอ้อมอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดมาถึงในดงต้นอ้อที่อยู่ทางด้านลานหลังบ้านของซ่งอิง
ฤดูหนาวน้ำฝนน้อย น้ำที่อยู่ในบ่อน้ำตื้นเขิน จึงยิ่งมีปริมาณน้อยเข้าไปใหญ่
บริเวณโดยรอบเป็นดงต้นอ้อซึ่งขึ้นปกคลุมหนาแน่น ไล่ไปตามขอบสระน้ำมาถึงลานหลังบ้านซ่งอิง หากจุดไฟก็จะลามติดไปตลอดทางได้
ฮั่วผิงเริ่มลงมือทันที
พี่สะใภ้ชั่วผู้นี้แม้แต่ขนมก็ไม่ให้เขากิน สมควรจุดไฟเผานางให้ตาย!
เมื่อนางตายไปแล้ว ขนมทั้งหมดก็จะเป็นของเขา!
เมื่อจุดตะบันไฟติด ฮั่วผิงโยนมันลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพียงชั่วพริบตาเดียว เพลิงก็ลุกลามขึ้นมา
ตัวซ่งอิงอยู่ลานหลังบ้าน เพียงแต่ทางด้านนี้มืดสนิท ฮั่วผิงผู้นั้นจึงมองไม่เห็น
มองเห็นต้นอ้อกำลังติดไฟ ซ่งอิงแววตาเย็นชาพลางแสยะยิ้ม ทันใดนั้นก็ให้ภูตโสมไปเรียกคน ส่วนทางด้านนี้นางผนึกกำลังกับหนิวตาลี่ ตัดต้นอ้อส่วนที่เชื่อมติดกับลานหลังบ้าน
แม้จัดการค่อนข้างยุ่งยาก แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไป
เพียงแต่มองเห็นอันตรายที่แฝงอยู่นี้ ซ่งอิงรู้สึกว่าไว้เดี๋ยวต้องบอกกล่าวหัวหน้าหมู่บ้านซ่งสักหน่อย นางควรซื้อบ่อน้ำตื้นเขินนี้เอาไว้ด้วย ถึงตอนนั้นก็ล้อมรั้วจากด้านนอกไว้ทั้งหมด บ่อน้ำตื้นเอาไว้เลี้ยงเป็ดไก่ก็สะดวกสบายเช่นกัน…
เปลวไฟที่ลามตามดงต้นอ้อแห้งรวดเร็วอย่างยิ่ง ฮั่วผิงวางเพลิงแล้วเตรียมวิ่งหนี แต่ครั้นหันหลังไปก็เห็นเพียงกบเขียวตัวหนึ่งที่ขนาดใหญ่มาก
กบเขียวตัวนั้นส่งเสียงร้องอ๊บ อ๊บ ดวงตาหลุบต่ำจดจ้องเขา เหมือนว่าเพียงเขาขยับเบาๆ ก็จะถูกกลืนกินลงท้องก็ไม่ปาน!
ฮั่วผิงอาจหาญเพียงใด ยามนี้ก็ตระหนกตกใจไม่เบาเพราะกบเขียว
กบเขียวตัวนี้…ขนาดใหญ่เกินไปแล้ว!
ฮั่วผิงหน้าซีดเผือด เกือบตกใจจนเป็นลมหมดสติ
เมื่อภูตโสมมาอยู่บนถนนก็ส่งเสียงตะโกนลั่นว่าไฟไหม้ คนที่เฝ้ายามตอนกลางคืนรวมไปถึงผู้ที่เฝ้าป่าได้ยินเสียงเอะอะก็รีบเคาะฆ้องแล้ววิ่งมาทันที
เสียงของฆ้องก้องหู ดังไล่ไปทีละบ้าน
โดยปกติมีเพียงเกิดเรื่องใหญ่ในหมู่บ้านแล้วเท่านั้นจึงจะตีฆ้อง ดังนั้นผู้คนที่ได้ยินจึงนอนไม่หลับกันแล้ว หยิบเสื้อผ้ามาคลุมทับไว้แล้วออกมามองดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทันที
ชั่วขณะหนึ่ง ทั่วทั้งหมูบ้านสว่างไสวด้วยคบเพลิง
ปีศาจกบเขียวไม่อาจให้คนเห็นได้ จึงเปลี่ยนเป็นซ่งอิงและหนิวต้าลี่ขวางคนผู้นี้เอาไว้ เวลานี้เองกบเขียวจึงกระโดดหายไป
บ่อน้ำที่กว้างใหญ่นี้ยังหลงเหลือน้ำตื้นๆ อยู่
ทุกคนที่กล้ามามองดูล้วนตระหนกตกใจ!
“เกิดไฟไหม้ได้อย่างไร! รีบดับไฟเร็วเข้า! ไปหิ้วน้ำมา!” คนที่ลาดตระเวนยามราตรีเห็นดังกล่าว รีบร้อนเอ่ยปากทันที
แม้ว่าเพลิงครั้งนี้ใหญ่โต แต่ดีที่มันลามไปตามทางของมัน ประเด็นสำคัญคือถูกซ่งอิงสกัดเอาไว้แล้วเช่นกัน ดังนั้นแม้ปล่อยให้เผาไหม้ต่อไปก็ไม่อาจเกิดสถานการณ์ที่รุนแรงเกินไปได้เช่นกัน
ยามนี้ทุกคนต่างช่วยกันสาดน้ำมือเป็นระวิง ยุ่งวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง เปลวไฟนี้จึงได้มอดดับอย่างราบคาบ
ตอนที่ 550 สมควรตาย
เมื่อจัดการดับไฟเสร็จสิ้น ทุกคนล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าพื้นที่ที่ไฟลุกไหม้ไม่ได้รุนแรงเกินไป แต่ไม่ว่าใครก็มิกล้าชะล่าใจ ที่อยู่อาศัยของซ่งอิงใกล้กับภูเขา หากสะเก็ดไฟนี้กระจัดกระจายไปทางเขา เช่นนั้นก็แย่แน่
“ในบ้านได้รับความเสียหายหรือไม่” เปาไล่จื่อเดินเข้ามาเอ่ยถาม
ตอนนี้เขาเป็นคนที่คอยเฝ้าภูเขา นอกจากนั้นยังสร้างกระท่อมที่เรียบง่ายสำหรับพักผ่อนกลางดึก เอาไว้หลังหนึ่งบริเวณตีนเขาด้วย ดังนั้นจึงมาถึงอย่างว่องไว
ซ่งอิงส่ายหน้า “หลังพบว่าไฟไหม้ก็จัดการตัดดงต้นอ้อบริเวณนั้นทั้งผืน จึงไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่ว่า…จับผู้ร้ายที่วางเพลิงเอาไว้ได้หนึ่งคน”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา หัวหน้าหมู่บ้านซ่งสีหน้าดุดันขึ้นมาทันที “ผู้ใดวางเพลิง!”
การวางเพลิงเป็นความผิดมหันต์ หากเป็นความจงใจ รับโทษประหารชีวิตก็เป็นสิ่งที่สมควร!
ซ่งอิงผลักฮั่วผิงออกไปอย่างไม่รีรอ “วันนี้เด็กคนนี้มาบ้านข้าแล้วครั้งหนึ่ง บังคับให้ลูกหลินเอาขนมให้เขาหน่อย ลูกหลินไม่ยินยอม ทั้งสองเลยชกต่อยกันขึ้นมาด้วย เขาเอาชนะไม่ได้จึงเดินจากไปอย่างเคียดแค้น แววตาน่ากลัวอย่างยิ่ง ทำให้ข้ารู้สึกกระวนกระวายใจ ดังนั้นตอนกลางคืนนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาตลอด จึงลุกมาเดินสูดอากาศที่ลานหลังบ้านนี้ แต่แล้วก็เห็นเขากำลังวางเพลิงพอดีจึงรีบมาขวางเขาไว้ทันทีเจ้าค่ะ”
“เขาวางเพลิง?” หัวหน้าหมู่บ้านถึงกับไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าไรนัก
นี่ นี่ยังเป็นเด็กที่อายุสิบกว่าขวบได้อีกรึ!
“หากไม่ใช่เขาวางเพลิงแล้วจะมาปรากฏตัวที่นี่ในขณะนี้ได้อย่างไร บ้านข้ากับเขาห่างกันคนละทิศละทาง ไกลกันมาก” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เมื่อซ่งอิงเอ่ยพูดดังกล่าว สตรีผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาแล้วยื่นมือไปจิ้มหน้าผากของฮั่วผิง “เจ้าเด็กสมควรตายผู้นี้คิดอะไรอยู่จึงได้กล้ามาวางเพลิง เจ้าต้องการทำให้คนทั้งหมู่บ้านตายใช่หรือไม่!”
ฮั่วผิงหันหน้าไปทันทีทันใดแล้วจ้องป้าผู้นั้น จากนั้นปรี่เข้าไปคว้ามือของป้าผู้นั้นก่อนจะกัดเข้าไปเต็มแรง
ป้าผู้นั้นส่งเสียงดังร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมาแล้วก้าวถอยหลังระรัว
ฮั่วผิงเผยสีหน้าดุดัน
เดิมทีซ่งอิงรู้สึกรังเกียจเด็กน้อยคนนี้ ตอนนี้กลับรู้สึกเศร้าใจ
ทุกคนเหมือนกระดาษเปล่า ดำรงชีวิตลักษณะใดก็ต้องดูว่าเติบโตจากสภาพแวดล้อมลักษณะใด ฮั่วผิงผู้นี้ถูกคนใกล้ชิดเลี้ยงดูจนเสียผู้เสียคนอย่างสิ้นเชิง
ทำเรื่องเลวๆ จนเห็นเป็นเรื่องปกติ ถึงขั้นไม่ว่ารู้จักละอายใจ ตอนนี้ยังเล็กก็มีแรงอาฆาตถึงขั้นเข่นฆ่าและทำร้ายกันเช่นนี้แล้ว หากโตอีกหน่อย น่ากลัวทีเดียวเชียว…ไม่ใช่คนอย่างพวกเปาไล่จื่อจะเทียบชั้นได้ด้วยซ้ำ!
หัวหน้าหมู่บ้านตกใจเช่นกัน “เจ้าเป็นคนวางเพลิงนี้หรือ”
ฮั่วผิงเงยหน้าจ้องเขม็งใส่เขา ไม่พูดจาใดๆ
“ทำไมเจ้าจึงวางเพลิง” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เขาน้ำเสียงอ่อนโยน มองดูเหมือนผู้ชราที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นพิเศษ แต่คนในหมู่บ้านที่ค่อนข้างเข้าใจในตัวหัวหน้าหมู่บ้านล้วนสัมผัสได้ว่าเขาโมโหแล้ว
ขโมยไก่รังแกสุนัขดูกลายเป็นเรื่องเบาๆ ไปเลย ก็แค่ทรัพย์สินเล็กน้อยเท่านั้นเอง หายไปแล้วก็เลี้ยงขึ้นมาใหม่ได้อีก
แต่การวางเพลิง…เมื่อก่อให้เกิดการบาดเจ็บก็จะหมายถึงชีวิตคน!
“นางสมควรตาย! นางไม่กตัญญูต่อท่านแม่ข้า ไม่เอาของให้ข้ากิน!” ฮั่วผิงพูดจาอย่างหน้าตาเฉย
หัวหน้าหมู่บ้านซ่งตกตะลึง “หวังจะให้คนอื่นมีน้ำใจต่อเจ้า เจ้าก็ควรมีน้ำใจต่อคนอื่นก่อน! เจ้าและแม่เจ้าเพิ่งมาถึงหมู่บ้านเรา ไม่สนิทคุ้นเคยกับพี่สะใภ้เจ้าด้วยซ้ำ ค่อยๆ ไปมาหาสู่กันเรื่อยๆ ก็ได้ แต่เจ้ากลับกล้าดี นี่เพิ่งมาก็กล้าวางเพลิงแล้ว หากให้เจ้าอยู่ต่อไปจะไม่ถือมีดฆ่าคนเลยรึ!”
“วันนี้เขาต่อสู้กับลูกหลินแล้วไม่ชนะ จึงฉวยโอกาสจังหวะที่ลูกหลินไม่ทันระวังหยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งออกมาจากซอกอก เกือบทำร้ายลูกข้าได้รับบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค จากนั้นครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านเจ้าคะ ข้าสงสัยว่าเด็กคนนี้…ไม่เคยเรียนรู้สิ่งดีๆ ข้าสังเกตยามที่เขาลงไม้ลงมือ ส่วนใหญ่จะทิ่มดวงตาหรือไม่ก็บีบคอคน หรือไม่ก็คือ…”
“เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้วชั่วร้ายเกินไป เกรงว่าเพราะระหว่างทางหนีความอดยากจะทำเช่นนี้ไม่น้อยครั้ง”
ครั้นทุกคนได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพร้อมเพรียง
มีชายหนุ่มใหญ่ก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าสองคน คนหนึ่งจับกุมตัวเขาเอาไว้ อีกคนก็ลงมือค้นตัวทันที เมื่อค้นตัวดูทุกคนล้วนเป็นอันต้องตระหนกตกใจ!