ตอนที่ 601 จัดให้ตามความต้องการ / ตอนที่ 602 ระเบิดตัวเอง
ตอนที่ 601 จัดให้ตามความต้องการ
ในเมื่อซ่งสวินคิดเช่นนี้ ซ่งอิงก็ไม่โน้มน้าวแล้วเช่นกัน
พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้…ลองดูสักตั้ง หาเงินให้มากๆ หน่อย และคอยอยู่เบื้องหลังเป็นกองหนุนให้ซ่งสวิน
ใครใช้ให้บัวลอยไส้งาดำ[1]ลูกนี้เป็นพี่ชายของนางเล่า ในเมื่อครองตัวตนของคนเขาแล้ว จะอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ไปด้วยกระมัง อีกอย่าง นั่นเป็นการที่ซ่งสวินต้องการระบายความแค้นแทนนางด้วย แม้ว่า ‘นาง’ ที่ว่านี้หมายถึงเจ้าของร่างเดิม แต่นางก็ไม่รู้สึกว่าจะต่างกันตรงไหน
เพียงแต่ว่าจู่ๆ ก็ถูกล่วงรู้ความจริงแล้ว ซ่งอิงรู้สึกสับสนไม่น้อยทีเดียว
นางทอดถอนใจหลายครั้ง
ผู้เฒ่าซ่งมองเห็นผ่านหางตา ทันใดนั้นก็รู้สึกจิตใจว้าวุ่น นึกว่าหลานชายมีอะไรไม่เหมาะสมกับเกียรติคุณนี้ ตื่นตกใจจนต้องเรียกซ่งอิงเข้าไปหาแล้วถามอย่างละเอียดยกใหญ่
กระทั่งหลังจากรู้ว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็ถลึงตาเขม็งใส่ซ่งอิงไปหลายครั้ง
วันดีงามเพียงนี้ ถอนหายใจอะไรนักหนา สมควรดีใจสิ! มิใช่ว่านึกถึงฮั่วหรงขึ้นมาแล้วกระมัง“ฮั่วหรงเด็กคนนั้นทำงานหาเงินอยู่ข้างนอกก็เพื่อให้พวกเจ้าสองแม่ลูกสุขสบายขึ้นหน่อย เจ้าก็ควรทำใจกว้างเข้าใจเขาเช่นกัน อย่าได้คิดเหลวไหลเรื่อยเปื่อย” หลังจากผู้คนแยกย้ายกลับกันไปแล้ว ซ่งเหล่าเกินก็กล่าวกับซ่งอิง
ซ่งอิงเบิกตาโตวูบหนึ่ง
คนผู้นั้นจากไปก็เพราะถูกนางยั่วโมโหแล้ว ใช่เพื่อหาเงินเสียที่ไหนกันเล่า!
เพียงแต่หนึ่งเดือนต่อมา ซ่งอิงก็ต้องงุนงงเล็กน้อย
หนึ่งเดือนนี้นางวิ่งวนไปทั่ว โดยปกติล้วนอยู่ในหมู่บ้านที่ตนซื้อไว้ แวะเวียนไปอยู่ในหมู่บ้านซิ่งฮวาและตัวอำเภอบ้างเป็นครั้งคราว ชีวิตแต่ละวันยุ่งตัวเป็นเกลียวแต่ก็รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
แต่นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีผู้ที่กล่าวว่าเป็น ‘สหายร่วมงาน’ ของฮั่วหรงมาเยือน
นำเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงเงิน รวมไปถึง…สิ่งของประหลาดๆ หนึ่งกองใหญ่ วางเอาไว้ในบ้านแล้วก็จากไป กล่าวเพียงแค่ฮั่วหรงให้เขาเอามามอบให้ นอกนั้นก็ไม่มีถ้อยคำอื่นใดแม้แต่ประโยคเดียว
เงินน่ะ นางพร้อมรับเอาไว้ได้ แต่สิ่งของอื่นๆ น่ะ…
มีเครื่องประดับอัณมณีหนึ่งกล่องเล็ก ผ้าไหมผ้าแพรหลายพับ ตำราสี่ห้าเล่ม แล้วยังมีเมล็ดพืชหนึ่งห่อเล็ก ตลอดจน…ภาพวาดหนึ่งรูปที่ยาวมาก!
หลังจากคลี่ภาพวาดนั้นออก ก็มองออกถึงความทรงพลังอันมีพลานุภาพ ภูเขาที่สลับทับซ้อนกัน แล้วยังมีม่านหมอกที่ราวกับภาพลวงตาอีกด้วย ใช่แล้ว นอกจากนั้นยังมีคนจำนวนหนึ่งล่องลอยอยู่ เหมือนเซียนที่ขี่เมฆเหาะผ่านม่านหมอกก็ไม่ปาน
แต่งานวาดจัดอยู่ในระดับทั่วไป มักรู้สึกว่าเขาเซียนที่ว่านี้ดูไม่ชัดเจนเกินไป แทบจะมองไม่ชัดเสียด้วยซ้ำ
ซ่งอิงรู้สึกว่า ฮั่วหรงน่าจะจงใจประชดประชันนาง เพราะนางกล่าวว่าเซียนกับมนุษย์มีความต่างกัน ดังนั้นเขาจึงงอนขึ้นมาซ่งอิงถอนหายใจ นำภาพวาดโยนไปด้านข้าง จากนั้นมองดูเมล็ดพันธุ์และหนังสือนั่น
ผลปรากฏว่านางก็งงจนทำอะไรไม่ถูกอีกเหมือนกัน
เมล็ดพันธุ์ก็ไม่เท่าไรหรอก นางเองก็มองไม่ออกเช่นกันว่ามันคือพืชพันธุ์อะไร แต่หนังสือนี่…
อะไรกัน
‘แผนที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์’ ‘แนวทางลัทธิเต๋าแห่งพรมแดนตะวันออก’ ‘หมื่นพุทธธรรมกลับคืนสู่หนึ่งเดียว’?
นี่มันหนังสืออะไรกัน!
ผู้รับใช้ของคนต้นเรื่องก็ไม่อยู่แล้ว นางไม่มีแม้แต่โอกาสเอ่ยถามเสียด้วยซ้ำ!
…
ในขณะเดียวกัน ฮั่วเจ้ายวนคำนวณเวลาดู คาดว่าตอนนี้น่าจะส่งสิ่งของถึงแล้ว
ของขวัญเหล่านี้ที่เขามอบให้ จะต้องตรงใจซ่งอิงอย่างแน่นอน
เขาครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนมาหลายวัน รู้สึกว่าเหตุผลที่ว่าเซียนและมนุษย์มีความต่างกันยังคงเป็นอะไรที่ไร้เหตุผลเกินไป แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง เมื่อก่อนสาวน้อยผู้นี้ก็เอ่ยว่าผู้บำเพ็ญตนเป็นเซียนที่เคยเจอบอกว่านางมีอาการป่วย อะไรทำนองนี้…
มิหนำซ้ำยังต้องกินเนื้อของเขา และยังพูดอีกว่าเขาเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด…
เช่นนี้เมื่อเอามาเชื่อมโยงกัน เขาก็เป็นอันเข้าใจแล้ว
นางมีใจที่จะบำเพ็ญตนเป็นเซียน!
ครั้นนึกถึงว่าสาวน้อยผู้เยาว์วัยเพียงนี้คนหนึ่งถึงขั้นเกิดความคิดที่แก่เกินตัวขนาดนี้ เขาก็รู้สึกสงสารและเศร้าใจกับเด็กสาวคนนี้ จะต้องเป็นเพราะถูกตระกูลเหยียนผิงโหวข่มเหงจนรู้สึกเกลียดโลกมนุษย์แล้วเป็นแน่ ปกติแต่ละวันดูมีความสุขสดใส ทว่าความจริงแล้วกลับรู้สึกว่างเปล่าต่อทุกเรื่องราว…
เขาฮั่วเจ้ายวนก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ขี้งกแต่อย่างใด
แม้ว่าร้องขอแต่ไม่ได้รับ ทว่ากลับหวังเช่นกันว่านางจะราบรื่นในทุกๆ เรื่อง ด้วยเหตุนี้…
เขานำ ‘ภาพวาดเขาเซียน’ ที่นักบวชสมณศักดิ์สูงผู้หนึ่งมอบให้เขาเมื่อหลายปีก่อน ตลอดจนหนังสือสามสี่เล่มที่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าได้มาจากไหนมอบไปให้
เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการจัดให้ตามความต้องการของนาง
สิ่งของอย่างหนังสือลัทธิเต๋าประเภทนี้ อ่านมากๆ เข้าก็จะช่วยให้จิตใจสงบได้ และการอ่านหนังสือมากๆ ก็จะทำให้คนไม่โง่เขลาเพียงนี้แล้ว
ยังทำมาเป็นอ้างว่าเซียนและมนุษย์มีความต่างกันอีก…เหอะ!
ฮั่วเจ้ายวนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ไว้ครั้งหน้าหากเขาได้ยินคำพูดประเภทนี้อีก อาจอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ ก็เป็นได้ อยากจะแบะสมองของซ่งอิงออกดูสิว่าด้านในใส่หญ้าฟางเอาไว้ใช่หรือไม่
ตอนที่ 602 ระเบิดตัวเอง
ขณะนี้ ซ่งอิงเปิดหนังสืออ่านอย่างเอาจริงเอาจังมาก
‘แผนที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์’ เล่มนี้ กล่าวถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพื้นดินกับตะวันและดวงจันทร์ แล้วยังมีการอธิบายถึงเรื่องราวจำพวกพลังหยินหยางเป็นหลัก กล่าวโดยสรุปคือไม่มีการอธิบายการทางวิทยาศาสตร์อย่างภพชาติก่อนอยู่ในเนื้อหานี้โดยสิ้นเชิง แม้แต่แสงที่สะท้อนจากดวงจันทร์ก็กลายเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างยิ่งที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งได้ และประสิทธิผลของแสงตะวันและดวงจันทร์ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงเวลาและฤดูกาล ในเนื้อหายังมีการบรรยายที่ยากจะเข้าใจได้ชุดหนึ่ง แต่โดยประมาณก็คือสอนผู้คนว่าจะใช้ความสว่างสดใสของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพื่อตัวเองอย่างไร!
ส่วนหนังสือเล่มที่เหลือ ตัวอย่างเช่นหนังสือแนวทางลัทธิเต๋า สิ่งที่กล่าวถึงก็เป็นเรื่องที่ลึกลับเช่นกัน
ตั้งแต่ต้นจนท้ายสุด นางไม่รู้จักเลยสักเรื่องราว แต่เมื่อเอามาเชื่อมโยงกัน ไฉนนางจึงอ่านเข้าใจได้ว่ากำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร
แต่อย่างไรเสียก็เป็นของที่เซียนสวรรค์ผู้กลับชาติมาเกิดมอบให้นาง เกิดมีประโยชน์เล่า
ซ่งอิงจึงจ้องมองแผนที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เล่มนั้นพลางขบคิด
ตอนตะวันฉายฟ้าใส นั่งขัดสมาธิอยู่ในลานบ้านของเรือน ณ หมู่บ้านไร่สวน จากนั้นเริ่มศึกษาวิจัยตามภาพจุดฝังเข็มในตำราหมอที่ซื้อมา
เพียงแต่นางไม่เข้าใจว่าเป็นพลังงานชี่[2]หรือไม่
รู้สึกถึงเพียงสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ในร่างกายตนก็คือลำแสงที่บางครั้งเป็นสีแดง บางครั้งเป็นสีทอง
ขณะเรียนรู้อย่างเอื่อยเฉื่อย ลองนำลำแสงในร่างกายเคลื่อนไปตามจุดฝังเข็มที่เขียนเอาไว้ในตำรา แต่เคลื่อนไปเคลื่อนมา ซ่งอิงก็ฟุบคว่ำลงไปเสียแล้ว
รู้สึกเพียงแค่ในท้องน้อยเหมือนถูกน้ำร้อนลวกอย่างไรอย่างนั้น เป็นผลให้นางกลิ้งเกลือกบนพื้นไปทั่ว หนิวต้าลี่และชิงเหลียนรีบเข้ามามองดู ทันใดนั้นก็ถูกแสงสีทองที่ระยิบระยับอยู่บนตัวนางสร้างความตระหนกตกใจ
“พี่สาว ท่านทำอันใดน่ะ มิได้คิดจะระเบิดตัวเองกระมัง!” หนิวต้าลี่คลี่ยิ้มกว้าง ตระหนกตกใจและนึกสงสัยในเวลาเดียวกัน
“เพ้อเจ้อ ข้าก็แค่กินอิ่มมากไปเลยมาลองเรียนรู้เจ้าตำราบ้าบอนี่! แต่กลับทำให้ข้าร้อนราวกับถูกน้ำร้อนลวกจนจะแย่แล้ว!” ซ่งอิงเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
ชิงเหลียนรีบเดินขึ้นมาเบื้องหน้า “ค่อนข้างดูเหมือนกินสิ่งที่ไม่ควรกินเข้าไปแล้ว…นี่ควรทำอย่างไรดี หรือไม่ หรือไม่ดื่มน้ำเย็นสักหน่อยเป็นเช่นไร”
ในเมื่อร้อนเหมือนถูกลวก เช่นนั้นก็ลองราดน้ำดูสักหน่อย…
ยังต้องให้มันบอกด้วยหรือ ซ่งอิงกลิ้งไปสองรอบแล้วเห็นว่ายังไม่ดีขึ้น จึงพาตัวเองเขาไปอยู่ในห้องและปิดประตูแน่นหนา จากนั้นหลบเข้าไปแช่บ่อน้ำผ่านจิตในช่องว่างระหว่างมิติเสียเลย!
แม้ว่าดื่มน้ำผ่านจิตนี่จะไม่ช่วยอะไร แต่อย่างน้อยก็เป็นแหล่งน้ำทะเลสาบ ขอแช่ตัวสักหน่อยจะต้องช่วยให้รู้สึกสบายกว่าดื่มเป็นแน่!
ปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่คิดไว้ ครั้นลงสู่น้ำซ่งอิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก
หลังจากนางรู้สึกสงบลงแล้ว ก็รู้สึกว่าสภาพจิตใจเตลิดเปิดเปิงเล็กน้อย
ดังนั้นแปลว่า…ตำราที่ฮั่วหรงให้นางใช้ได้ผลจริงๆ?
ซ่งอิงครุ่นคิด ตัวเองรู้สึกราวกับถูกน้ำร้อนลวก บางทีอาจเป็นเพราะนางไม่ค่อยเหมาะกับการฝึกตนเป็นเซียนในตอนกลางวันแสกๆ…
นางจำที่ภูตโสมเคยกล่าวไว้ได้ว่า ปกติแล้วช่วงเวลากลางวันพลังหยางชี่[3]จะเต็มเปี่ยมเกินไป ต่อให้เป็นพืชอย่างมัน ก็ไม่เหมาะกับการอยู่ภายใต้ดวงตะวันเพื่ออาบแสงอาทิตย์ ตอนนี้เป็นเดือนห้าแล้ว จัดว่าอุ่นไปหน่อยแล้วจริงๆ
หากฝนบำเพ็ญตนเป็นเซียนได้ด้วยตัวเอง แล้วใครยังจะอยากได้เนื้อของฮั่วเจ้ายวนผู้นั้นอีก
อีกทั้ง…อยากไรเสียฮั่วเจ้ายวนก็ไม่ใช่พระถังซำจั๋ง เกิดเนื้อของเขาไม่มีประสิทธิผลอันใดเลยเล่า เช่นนั้นไม่เท่ากับนางรอคอยเสียเปล่าหรือ
อีกอย่าง นางก็ไม่ใช่คนชอบกินอะไรแบบนั้น หากมีตัวเลือกอื่นที่ดี ใครจะเลือกกินสิ่งมีชีวิตที่ครึ่งหนึ่งเป็นพวกเดียวกันเล่า
ซ่งอิงหน้าตาจริงจัง หลังจากแช่น้ำจนสบายตัวขึ้นหน่อย ก็รอกระทั่งสีท้องฟ้ามืดลงเล็กน้อยจึงลองใหม่อีกครั้ง
ครานี้พอได้ลองดู ผลปรากฏว่าสบายขึ้นมาก รู้สึกอุ่นไปทั่วทั้งเนื้อตัวและไม่ร้อนเหมือนถูกลวกเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
นี่เป็นการซึมซับแสงอาทิตย์ทรงกลด ไว้ถึงตอนค่ำ นางยังต้องการลองซึมซับแสงจันทร์ทรงกลดดูด้วย
ในตำราบอกไว้แล้วว่าจันทร์ทรงกลดไม่ใช่จะมีทุกวันเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ทุกปีก่อนและหลังเทศกาลไหว้กระจันทร์ ดวงจันทร์ทรงกลดจะมีแสงเจิดจรัสมาก เป็นช่วงที่ให้คุณประโยชน์มากที่สุด และรูปลักษณะตลอดจนสีสันของดวงจันทร์ก็งดงามที่สุดด้วย
ส่วนในปกติแต่ละวัน ดวงจันทร์จะมีเพียงแสงจางๆ เท่านั้น คนธรรมดามองเห็นก็รู้สึกเพียงความมืดสลัว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมองเห็นได้เป็นห้าสีสดใสเช่นกัน
[1] บัวลอยไส้งาดำ (黑汤圆) อุปมาถึง ผู้ที่ดูภายนอกใสซื่อแต่ภายในแฝงความชั่วร้ายเอาไว้
[2] พลังงานชี่ (气) หมายถึง พลังงานชีวิต ประกอบด้วยตัว 米(หมี่) ซึ่งแปลว่าข้าว กับ 气(ชี่) ซึ่งแปลว่า อากาศ เหตุผลที่ชาวจีนโบราณเรียกพลังงานชีวิตว่า ชี่ เพราะค้นพบว่าพลังงานชีวิตของคนเราได้มาจากของสองสิ่งที่เราได้รับมาจากธรรมชาติ (ฟ้า-ดิน) คือ 米 (หมี่) หรืออาหารที่เรากินเข้าไป กับชี่ (气) ซึ่งหมายถึงอากาศที่เราหายใจเข้าไป มนุษย์รับสองสิ่งนี้เข้าไปผสมรวมกันผ่านการทำงานของอวัยวะภายในก่อกำเนิดเป็น ชี่(气)หรือพลังงานชีวิต เป็นพลังงานพื้นฐานที่ผลักดันให้ร่างกายและอวัยวะภายในทำงานทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้
[3] พลังหยาง (阳气) คือพลังของชีวิต