Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1914 หลินสวินที่ปล่อยพลังถึงขีดสุด

ตอนที่ 1914 หลินสวินที่ปล่อยพลังถึงขีดสุด
ตอนที่ 1914 หลินสวินที่ปล่อยพลังถึงขีดสุด
พลังที่คุ้นเคย กลิ่นอายที่คุ้นเคย ทุกสิ่งที่คุ้นเคย…
ยามที่สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณของหลินสวินคืนสู่ร่างเดิม ก็เหมือนมังกรคืนสมุทร พยัคฆ์คืนป่าเขา ทั้งร่างล้วนต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เลือดลมอึงอล นัยน์ตาดุจอสนี พลังต้นกำเนิดกำลังกู่ก้องอยู่ในร่าง ทุกท่วงท่าอิริยาบถ สำแดงบารมีแสนผงาดผยองราวกับเทพมาร
ไม่ได้เจอนานเลย…
ในใจหลินสวินทอดถอนใจ
สวบ!
แสงเคลื่อนสายหนึ่งพุ่งออกมา นี่คือดาบบินเล่มหนึ่ง ยาวเจ็ดชุ่น บางเฉียบวาววับ แสงเทพเจิดจ้าบาดตาไหลเวียน
“สมบัติ ข้าก็มี”
แสงเจิดจรัสสายหนึ่งพุ่งออกจากตัวหลินสวินทะยานสู้ฟ้า ประหนึ่งดาวหางที่เหินทะลุสุริยันจันทรา นำพาประกายคมไร้ทัดเทียม ปะทะเข้ากับดาบบิน
เมื่อมองดีๆ นั่นก็คือดาบหัก!
เคร้ง!
ในประกายแสงซ่านเซ็นสี่ทิศ ห้วงอากาศละแวกใกล้เคียงล้วนแตกระเบิดโครมคราม กระแสปราณม้วนตลบไม่ว่างเว้น
ดาบบินนั่นส่งเสียงหึ่งสั่นกึกๆ เกิดรอยแตกทันที
เสียงอุทานตกใจดังขึ้น ชายร่างผอมแห้งที่บังคับดาบบินสีหน้าตกใจ นั่นเป็นถึงศาสตราอริยะบริสุทธิ์ของเขา จวนจะควบรวมออกมาเป็นครรภ์วิญญาณอาวุธ ทว่ากลับเสียหายในการต่อสู้ฟาดฟัน!
แทบจะเวลาเดียวกันพวกชายวัยกลางคนชุดม่วงก็โถมเข้ามาจากต่างทิศ
สวบ!
ประทับอสนีเรียบง่ายสีเขียวอันหนึ่งหมุนโคจรอยู่กลางห้วงอากาศ ชักนำมรสุมอสนีทั่วฟ้า ซัดกระหน่ำลงมา
มอ!
เงามายาวัวขุยแดงเพลิงตัวหนึ่งพุ่งขวิดออกมา ส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าดิน ดุจดั่งคลื่นเสียงสีเงินที่จับต้องได้แผ่กว้างออกไป
ฉึบ!
ทวนศึกสีทองเล่มหนึ่งกรีดฟ้าดุจดั่งประกายสายฟ้าสีทอง ดุกร้าวถึงที่สุด คล้ายกับสามารถเจาะทะลวงตะวันจันทราภูผานทีได้
การโจมตีสามรูปแบบมาจากระดับกึ่งจักรพรรดิสามคน จู่โจมเข้าใส่หลินสวิน ชั่วพริบตาพื้นที่แถบนี้ล้วนโกลาหลวุ่นวาย ยอดเขาหลายลูกใกล้ๆ พังครืนสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นฝุ่นผง
“ทลาย!”
หลินสวินไม่สนใจสักนิด กระตุ้นดาบหักตรงๆ มันกลายเป็นรุ้งยาวสายหนึ่งเข้าปะทะดุเดือดกับประทับอสนีสีเขียว
ส่วนร่างเขากลับสำแดงนัยเร้นลับหุบเหวกลืนกิน รอบกายเขตแดนมรรคขั้นสำเร็จส่วนใหญ่พวยพุ่งออกมา พาดขวางเคลื่อนไปเบื้องหน้า
ตูม!
คลื่นเสียงสีเงินที่โถมเข้ามานั่นแตกระเบิด ถูกเขตแดนมรรคที่ประหนึ่งหุบเหวใหญ่กลืนกิน แม้แต่เงามายาวัวขุยแดงเพลิงตัวนั้นก็ยังถูกกระแทกเข้าหนัก เกือบแตกสลายกลางห้วงอากาศ
และพร้อมกันนั้นปราณกระบี่ไท่เสวียนไร้สิ้นสุดพลันทะยานออกมา ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนใส่ทวนศึกสีทองที่ทะลวงฆ่าเข้ามาได้อย่างแม่นยำ
เคร้งๆๆ!
เสียงปะทะต่อเนื่องดังบาดหู
สุดท้ายทวนศึกสีทองรวมถึงเจ้าของมันล้วนถูกปราณกระบี่ที่โหมซัดฟันเฉือนอย่างจัง เงาร่างซวนเซ ย่ำแย่จนแทบกระอักเลือด
“ฟันอีก!”
นัยน์ตาหลินสวินเยียบเย็นดุจอสนี โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
อานุภาพดาบหักเร่งเร้าจนถึงขีดสุด ปล่อยแสงสว่างจ้ากลางห้วงอากาศ ประกายคมของมันทำให้ฟ้าดินภูผาธาราล้วนหม่นแสง
ชายวัยกลางคนชุดม่วงที่ควบคุมประทับทอสนีสีเขียวนัยน์ตาหดรัด ทำมุทราโดยพลัน
เห็นแต่กลางมือเขาดุจดั่งดอกบัวแย้มบานก็ไม่ปาน สิบนิ้วควบรวมออกมาเป็นวิชาประทับคลุมเครือเป็นชั้นๆ ก็เห็นบนประทับอสนีสีเขียวที่ดูเหมือนพายุฝนนั้นโหมกระหน่ำ เผยกลิ่นอายทำลายล้าง น่าสะพรึงยิ่งยวดออกมา
ฉัวะ!
เพียงแต่แม้ประกายสายฟ้าสีเขียวนี้จะน่าสะพรึง แต่กลับต้านดาบหักได้เพียงชั่วครู่เท่านั้นก็ถูกฟันจนสูญสลายไปทั้งอย่างนั้น
ยามดาบหักฟันใส่ประทับสายฟ้าสีเขียวนั่น ชายวัยกลางคนชุดม่วงพลันหน้าซีด ถอยกรูดออกมาหลายก้าวทันใด ภายในใจหวาดผวา
‘ประทับฟ้าครามผสานนภาของข้าใช้วิชาลับกระตุ้น แต่กลับต้านการโจมตีของมกุฎราชันอริยะคนหนึ่งไม่ได้ พลังของเขาน่าสะพรึงปานนี้ได้อย่างไรกัน’
ชายวัยกลางคนชุดม่วงเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับกึ่งจักรพรรดิ อานุภาพดุจมหาสมุทร อยู่เหนือเหล่าอริยะ แค่การโจมตีก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นกึ่งจักรพรรดิยังไม่อาจสลายได้อย่างง่ายดาย ทว่าเวลานี้กลับถูกหลินสวินทำลาย ในใจเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร
แต่การโจมตีนี้ก็เพื่อคว้าจังหวะให้คนอื่นๆ
“ไป!”
ชายร่างผอมแห้งชักดาบศึกขาวสว่างออกมา เหยียบย่างห้วงอากาศทะยานขึ้นไป แล้วฟันลงมาอย่างหนักหน่วง
ฉัวะ!
แสงดาบดุจอสนี แหวกออกเป็นรอยพร่างพราวสายหนึ่งกลางห้วงอากาศ
ความอหังการของดาบนี้แทบจะไม่อาจหาถ้อยคำมาบรรยายได้ ปราณดาบเจิดจรัสนั่นพาดขวางกลางอากาศแปดร้อยจั้ง แน่นขนัดหาใดเปรียบ ดุจดั่งธารดาราสว่างไสวพลิกตลบ
ฟ้าดินแห่งนี้ล้วนเสมือนถูกดาบนี้ตัดออกเป็นสองส่วน ประกายดาบยังไม่ทันมาถึง กลิ่นอายเข่นฆ่าอันน่าสะพรึงก็ตลบม้วนมาเยือนแล้ว
ความผงาดผยองในมรรคดาบ ล้ำเลิศยิ่งยวดถึงขีดสุด!
หนึ่งดาบนำดารา!
นี่คือการโจมตีชั้นยอดจากวิชามรรคดาบของชายร่างผอมแห้งคนนั้น เคี่ยวกรำคมประกายมาหลายพันปีในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ผสานรวมในมรรควิชาแห่งตนนานแล้ว
ดาบก็คือมรรคของเขา มรรคก็คือดาบของเขา!
เปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอริยะคนอื่น ลำพังแค่เจตดาบเช่นนี้ก็สามารถฉีกทึ้งจิตใจของพวกเขา รับรู้ถึงความสิ้นหวังหาใดเปรียบแล้ว
“เฮอะ!”
หลินสวินเงื้อหมัดที่เจือแสงมรรคเจิดจ้าไร้สิ้นสุด หนึ่งหมัดซัดผ่านห้วงอากาศออกไป
ตูม!
ฟ้าดินสั่นไหว สุริยันจันทราอับแสง
พลังหมัดเรืองรองดุจดั่งสามารถกลืนกินทุกอย่าง หลอมสรรพสิ่ง ซัดเข้ากับดาบนี้อย่างจัง
นี่คือหมัดที่เขตแดนมรรคผสานกับคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุด!
ก็เห็นปราณดาบแปดร้อยจั้งนั่นแตกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศ ส่วนพลังหมัดของหลินสวินก็เผยท่าทีบดขยี้ตลอดทาง
ง่ามมือของชายร่างผอมแห้งสะเทือนไหว รู้สึกเพียงว่าดาบนี้ของตนเสมือนฟันใส่ภูผาใหญ่ซึ่งหน้า แม้แต่ตัวดาบก็เกือบถูกซัดกระเด็นไป
‘เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร’
ในใจชายร่างผอมแห้งหวาดผวา
ห่างกันหนึ่งระดับใหญ่ กลับมีพลังต่อสู้พลิกฟ้าปานนี้ นี่ทำให้ชายร่างผอมแห้งในฐานะกึ่งจักรพรรดิยังรู้สึกเหลือเชื่อ
ตูม!
เสียงสนั่นหวั่นไหวดังก้อง
ปราณดาบเจิดจ้านั่นถูกพลังหมัดบดขยี้อย่างสิ้นเชิง แต่พลังหมัดของหลินสวินก็อันตรธานหายไปด้วย ระลอกคลื่อนที่หลงเหลือของปราณดาบและพลังหมัดนับไม่ถ้วนราวกับคลื่นยักษ์ ม้วนตลบไปยังสี่ทิศแปดทาง ภูผาธาราแถบนี้เหมือนมีมรสุมกวาดผ่าน หินผาแหลกกระจุย ต้นไม้โค่นล้ม ฝุ่นควันคลุ้งระฟ้า
การโจมตีนี้เงาร่างของหลินสวินก็ซวนเซด้วย แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ!
เมื่อมองเห็นภาพนี้ทำเอากึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นล้วนไม่อาจสงบได้ คนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง เริ่มจากฆ่ากึ่งจักรพรรดิฝ่ายพวกเขาไปสองคน จากนั้นก็สู้หนึ่งต่อสี่โดยไม่ตกเป็นรอง พลังต่อสู้ระดับนี้ไม่อาจจินตนาการได้ชัดๆ!
เฮ่อเหลียนฉีที่เฝ้าดูอยู่ไกลๆ มาตลอดหนังหัวชาหนึบ หน้าเปลี่ยนสีอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทียบกับฝีมือตอนศึกถกมรรคแคว้นเมฆา จินตู๋อีในยามนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง น่าสะพรึงจนทำให้ผู้คนแทบกลั้นหายใจ!
“รีบบุกเต็มกำลัง!”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงตวาดลั่น กระตุ้นประทับอสนีสีเขียว อานุภาพยิ่งกร้าวแกร่งขึ้น
วู้ม!
เจ้าของทวนศึกสีทองทั่วร่างดุจดั่งลุกโชน ราวกับอาทิตย์สีทองดวงใหญ่ที่เคลื่อนขวาง บุกเข้ามาจากไกลๆ
อีกด้านหนึ่งมีคนเรียกมุกวิญญาณเป็นประกายงดงามออกมาเม็ดหนึ่ง โรยร่วงมาจากฟ้าพร้อมแสงมรรคทรงพลังชวนตกใจ
และมีคนชี้ห้วงอากาศ ปรากฏเขตแดนมรรคออกมา กลายเป็นโลกเพลิงแห่งหนึ่ง ในนั้นมีดอกบัวเพลิงนับพันหมื่นโบกพลิ้วไหวเอน บัวเพลิงแต่ละดอกล้วนอุบัติเงามายาเพลิงสายแล้วสายเล่า มีนกโผผินสัตว์เดินท่อง และมีภูตผีจิตวิญญาณ…
โลกบัวเพลิง!
“เปิดได้ดี”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จิตต่อสู้ในใจเขาถูกจุดขึ้นแล้ว
พลังที่ซัดสาดในร่างเวลานี้ล้วนถูกสำแดงถึงขีดสุด ทั้งร่างดุจดั่งกลายเป็นหุบเหวใหญ่ เคลื่อนขวางกลางฟ้าดิน
“ทลาย!”
เขายืดกายพุ่งขึ้นหน้า
เขตแดนมรรคที่คล้ายเตาหลอมก็ไม่ใช่ คล้ายหุบเหวก็ไม่เชิงแผ่กว้างออกมา ครอบฟ้าบดบังสุริยัน พลังนัยเร้นลับมหามรรคทั้งปวงรวมอยู่ภายในนั้น ไหลทะลักดุจดั่งแดนแรกกำเนิด
พลังอสนีสีเขียว ทวนศึกสีทอง มุกวิญญาณเจิดจรัส และโลกบัวเพลิงนั่น ทั้งหมดล้วนถูกเขตแดนมรรคที่คล้ายหุบเหวใหญ่กลบจนมิด
ห้วงอากาศแถบนี้ประหนึ่งถูกสัตว์อสูรกลืนฟ้ากัดกิน!
ตูม!
มุกวิญญาณเจิดจรัสครวญร้อง มอดดับร่วงหล่น กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเปล่งเสียงอู้อี้ออกมา เงาร่างถลาถอย แต่ละก้าวที่เหยียบลงห้วงอากาศล้วนสั่นเทือนไปพักหนึ่ง
จากนั้นที่ตามมาติดๆ คือทวนศึกสีทองถูกซัดกระเด็น กึ่งจักรพรรดิที่ควบคุมทวนศึกเผยสีหน้าหวาดผวา
สายห้าสีเขียวที่ซัดโหมนั่นถูกดับสลายไปตรงๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายวัยกลางคนชุดม่วงส่งเสียงตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล เลือดลมในร่างพลิกตลบ
มีเพียงโลกบัวเพลิงนั่นที่กำลังต้านทาน ทว่าดอกบัวนับหมื่นพันรวมถึงเงามายามากมายที่ปรากฏอยู่ในบัวเพลิง ล้วนกำลังเหี่ยวเฉาและมลายหายไปอย่างน่าตกใจ
กึ่งจักรพรรดิที่แปลงโลกบัวเพลิงยังกระอักเลือดติดต่อกัน!
อานุภาพของหนึ่งการโจมตีทำได้ถึงขนาดนี้!
ทุกคนต่างหน้าถอดสี
แต่ไม่เพียงเท่านี้ ทางนั้นดาบหักพุ่งพิฆาตดุเดือด อาศัยจังหวะนี้ฟันกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งจนเกือบร่วงลงมาจากห้วงอากาศ
เฮ่อเหลียนฉีที่อยู่ไกลๆ สูดหายใจสะท้าน วิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
จินตู๋อีสู้หนึ่งต่อสี่ ถึงกับยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ!
ควรรู้ว่านั่นเป็นถึงกึ่งจักรพรรดิสี่คน และเขาเป็นแค่มกุฎราชันอริยะคนหนึ่ง…
“ทุกคน ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่ตาย ก็จะเป็นเสี้ยนหนามตำใจชิ้นใหญ่ของพวกเรา!”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงสีหน้าคล้ำเขียว กล่าวชัดทีละคำ “ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จะต้องฆ่าเขาให้ได้!”
คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พริบตานั้นไอสังหารประหนึ่งท่วมฟ้า พุ่งทะยานสูง สะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ทำเอาฟ้าดินแถบนี้บังเกิดเสียงครวญรุนแรง
กลางนัยน์ตาดำลึกล้ำดุจหุบเหวของหลินสวิน จิตต่อสู้ดุจเพลิงไฟ
ตั้งแต่ฝึกปราณมาจนบัดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สู้กับกึ่งจักรพรรดิทั้งกลุ่ม แม้จะรู้สึกกดดันอย่างที่สุด แต่กลับทำให้เขาเลือดลมสูบฉีด
เพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยเต็มที่เช่นนี้มานานมากแล้ว!
ตูม!
กึ่งจักรพรรดิสี่คนลงมือพร้อมกันแล้ว บ้างเรียกสมบัติก้นกรุ บ้างสำแดงวิชามรรคล้ำเลิศ บ้างก็แปลงเขตแดนมรรค อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกันราวกับภัยพิบัติที่แผ่ครอบฟ้าดินมาเยือน ทั้งยังคล้ายเวิ้งฟ้าจะถูกซัดกระจุย จักรวาลล่มสลาย สุริยันจันทราอับแสง
พลังแห่งกึ่งจักรพรรดิสี่แบบเจือกลิ่นอายไร้ทัดเทียม ซัดกระแทกลงมาโครมคราม
เวลานี้แม้แต่หลินสวินก็ยังอดหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาไม่ได้
ฮูม…!
พลังที่ดุจดั่งธารใหญ่ทอดยาวกำลังทะยานเดือดพล่านอยู่ในร่างเขา อวัยวะภายในล้วนเปล่งเสียงอึกทึกครึกโครมราวกับฟ้าคำรามก็ไม่ปาน สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งภายในภายนอกของร่างกายล้วนปะทุราวกับภูเขาไฟ
“เปิด!”
ในดวงตาหลินสวินมีแสงเทพพวยพุ่ง สำแดงเขตแดนมรรคในขั้นสำเร็จส่วนใหญ่ถึงขีดสุดโดยพลัน ผสานเข้าไปในหนึ่งหมัด
หมัดนี้เกือบจะบรรจุพลังทั้งหมดในร่างเขา หนึ่งหมัดซัดออกไป ก่อเกิดปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ที่ฟ้าถล่มดินทลาย สรรพสิ่งปานวายวอด
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
ครู่ต่อมาเสียงกระแทกน่าสะพรึงก้องสะท้อน แสงมรรคขาวเวิ้งว้างกลายเป็นกระแสเชี่ยวกรากที่ไร้ขอบเขต พุ่งทะลักไปยังสี่ทิศแปดทาง
มองจากไกลๆ ฟ้าดินแถบนี้เหมือนกำลังสั่นไหว ส่อแววพังทลายดับสูญ
จากนั้นภาพที่แปลกประหลาดหาใดเปรียบก็บังเกิด
ท่ามกลางละอองแสงเชี่ยวกรากไร้สิ้นสุด มีพลังหมัดสายหนึ่งทะยานขวาง ทุกที่ที่กวาดผ่านวิชามรรคล้วนพังทลาย สมบัติครวญร้อง กฎเกณฑ์เสื่อมสลาย…
ยามที่หมอกควันจางหาย กึ่งจักรพรรดิสี่คนแต่ละคนต่างสีหน้าเคร่งขรึม ยากจะทำใจเชื่อ
เพราะการโจมตีเต็มกำลังที่พวกเขาร่วมมือกัน ถึงกับถูกหมัดนี้ซัดสะเทือนแตกสลาย!
“สวรรค์…”
เฮ่อเหลียนฉีที่อยู่ไกลออกไปยิ่งสติหลุดวิญญาณร่วง ก่อนหน้านี้เขาไม่อาจมองเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ายามมองเห็นเงาร่างที่สมบูรณ์ไม่เสียหายของหลินสวินยืนเด่นนั้น ความสะท้านสะเทือนภายในใจก็ไม่สามารถระงับไว้ได้
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
“จินตู๋อี เจ้าเป็นพวกเย้ยฟ้าชั้นยอดแห่งยุคจริงๆ เกรงว่าผู้สืบทอดแกนหลักของหกเรือนมรรคใหญ่ก็ยังไม่ถึงขั้นนี้ แต่โจมตีเต็มกำลังเช่นนี้ เจ้ายังจะต้านได้อีกสักกี่น้ำ”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงเอ่ยปากเสียงขรึม
“ก่อนหน้านี้เจ้าฆ่าพวกพ้องสองคนของพวกข้าได้ ล้วนเป็นเพราะฉวยโอกาสยามผู้อื่นไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้เจ้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้อีกแล้ว หยุดมือเถอะ ตามพวกเราไปดีกว่า บางทีเจ้าอาจจะพอมีโอกาสรอด”
มีคนข่มขู่เยียบเย็น
“เหอะๆ”
หลินสวินเผยความเยาะหยัน ยืดตัวขึ้น ทั้งร่างแผ่อานุภาพผงาดกร้าวประหนึ่งไร้ศัตรูจากภายในสู่ภายนอก
“หากข้าโจมตีเต็มกำลัง พวกเจ้าจะมีใครบ้างที่ต้านไหว”
ประโยคเดียวก้องไปทั่วชั้นฟ้า
“หัวรั้นไม่เลิก!”
ชายร่างผอมแห้งคนนั้นแค่นเสียงเย็น
“อย่างนั้นหรือ”
หลินสวินเงาร่างขยับไหว เคลื่อนย้ายออกไป เร็วจนเกือบไม่สามารถมองตามทัน
เขาในเวลานี้ก็ไม่เก็บงำใดๆ แล้ว เปิดฉากสังหารแล้ว
ลงมือเต็มกำลังเป็นเรื่องหนึ่ง ตัดสินใจฆ่าอย่างแท้จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่คือการเปลี่ยนแปลงในสภาวะจิตและเจตจำนงอย่างหนึ่ง
หลินสวินที่หมายมั่นจะเข่นฆ่าอย่างแท้จริงน่าสะพรึงปานใด ไม่ทันไรทุกคนล้วนได้รับรู้
สวบ!
เงาร่างของเขาปรากฏอยู่เบื้องหน้าชายร่างผอมแห้งโดยพลัน
ชายร่างผอมแห้งโบกดาบฟันฉับ ดาบศึกขาวสว่างชักนำแสงศักดิ์สิทธิ์สะท้านโลกออกมา พลังกฎเกณฑ์ไร้ทัดเทียมหอบม้วนออกมาจากคมดาบ
หลินสวินไม่เลี่ยงไม่หลบ เขตแดนมรรคพวยพุ่งจากรอบกายเข้าปิดครอบชายร่างผอมแห้ง รวมถึงดาบที่เขาฟันออกมาเอาไว้ภายในนั้นในพริบตา
ภายในเขตแดนมรรค ดาบที่ชายร่างผอมแห้งฟันออกมาก็ราวกับฟันเข้ากลางหุบเหวลึก อันตรธานหายลับไปอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่อาจสร้างระลอกคลื่นได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
และทั้งตัวเขาก็ราวกับถูกพลังไร้ทัดเทียมกดทับ ร่วงหล่นไปทางหุบเหวใหญ่ไร้สิ้นสุด รู้สึกไร้เรี่ยวแรงดิ้นรนขัดขืน
แย่แล้ว!
เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งทว่ากลับไม่เป็นผล พลังที่ปลดปล่อยออกมาล้วนถูกกลืนกิน หายลับอย่างเงียบงัน…
ไม่รอให้เขาตอบสนอง เขตแดนมรรคที่คล้ายหุบเหวใหญ่นั้นพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นเตาหลอมปั่นป่วนโลกหล้า สยบเขาเอาไว้ภายในนั้นและหลอมอย่างดุเดือด
“ไม่…!”
เขาตกใจกลัวในที่สุด ส่งเสียงร้องลั่นออกมา
ร่างกายเลือดเนื้อของเขาเริ่มหลอมละลายไปทีละกระเบียด สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณแห่งตนแทบจะระเหยไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น…
ชายร่างผอมแห้งสลายกลายเป็นควัน!
ครืน…
ยามหลินสวินเก็บเขตแดนมรรค ระดับกึ่งจักรพรรดิคนนี้ก็อันตรธานหายไปแล้ว แม้แต่ร่องรอยและกลิ่นอายยังไม่เหลือสักเสี้ยว
“นี่…”
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
กึ่งจักรพรรดิสามคนที่เหลืออยู่อย่างพวกชายชุดม่วง แต่ละคนผุดไอเย็นวาบขึ้นกลางใจ ดวงตาแทบถลน
ตูม!
พวกเขาไม่กล้าลังเลอีก บุกโจมตีเต็มกำลัง เกือบจะสู้สุดแรงเกิดแล้ว
ครั้งนี้หลินสวินไม่ได้ฝืนเข้าปะทะอีก เขามีประสบการณ์มาแล้วในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ อาศัยเพียงพลังในยามนี้ของเขา ยังยากจะสังหารระดับกึ่งจักรพรรดิหลายคนพร้อมกันด้วยการเข้าปะทะตรงๆ
ทว่าขอเพียงไม่ปะทะตรงๆ แต่โจมตีทำลายไปทีละคนก็หาใช่เรื่องยาก
สวบ!
เงาร่างเขาขยับไหว เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ เบี่ยงหลบไม่ขาดสาย ไม่เข้าปะทะอย่างแข็งกร้าวกับอีกฝ่ายเลยสักนิด
จนกระทั่งครู่ต่อมา ในที่สุดหลินสวินก็คว้าโอกาสหนึ่งได้ เคลื่อนตัวไปเบื้องหน้าโดยพลัน ปรากฏตัวต่อหน้าผู้แข็งแกร่งกึ่งจักรพรรดิที่มือถือทวนศึกสีทองคนนั้น
และกลางฝ่ามือของเขาปรากฏขวดหยกมันแพะที่สูงไม่กี่ชุ่น ตัวขวดแวววาวโปร่งแสง ปากขวดมีประกายแสงทรงคลุมเครือยากหยั่งถึงไหลเวียน
พุ่งเป้าไปที่คนผู้นี้!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท