ตอนที่ 675 ให้กำเนิดลูกเก่งจริงๆ / ตอนที่ 676 แม้มีความขัดแย้งกันแต่จะอย่างไรก็ตัดสายสัมพันธ์ไม่ขาด
ตอนที่ 675 ให้กำเนิดลูกเก่งจริงๆ
ซ่งหม่านซานสีหน้าถมึงทึง ค่อนข้างน่ากลัวไม่น้อย เป็นผลให้ซ่งถังหังตกใจกลัว
เขาร่างกายไม่แข็งแรง แต่ก็เป็นถึงคุณชายของจวนโหว นอกจากพี่ชายที่เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูลผู้นั้น ในหมู่ทายาททั้งหมดของจวนโหวก็มีเขาที่ฐานะสูงส่งที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าพูดจากับเขาเช่นนี้
“ท่านอาหม่านซาน…เหตุใดจึงโมโหล่ะขอรับ หากข้าพูดอันใดผิดไป เช่นนั้นข้าก็ขออภัยท่านด้วย หวังว่าท่านอาหม่านซานจะไม่ถือสาเด็กน้อยเช่นข้า” ซ่งถังหังแสดงความนึกคิดตัวเองออกมาในทันที เมื่อพูดจบก็กุมหน้าอกแล้วส่งเสียงไอ
ไอจนซ่งหม่านซานถึงกับขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“นี่เจ้าไม่ได้เป็นวัณโรคกระมัง ไฉนไอไม่เลิกรา จวนโหวพวกเจ้านี่ช่างน่าสนใจจริงๆ ไหว้บรรพบุรุษซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพียงนี้ ท่านโหวผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวไม่มาก็ว่าแย่แล้ว อย่างน้อยๆ ก็น่าจะส่งคนที่ร่างกายแข็งแรงมาสิ หากเกิดเป็นอะไรไปที่บ้านข้า เดี๋ยวไม่แน่ยังจะตำหนิโทษว่าพวกข้าดูแลไม่ดีอีก ช่างเป็นการสร้างความกังวลใจให้กันจริงๆ” ซ่งหม่านซานไม่ให้ความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“…” ซ่งถังหังงุนงงจนทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
ตอนนี้เขาควรพูดอะไรหรือ
“ข้า…ร่างกายแข็งแรงดี…” ซ่งถังหังรีบกล่าวทันที
“แข็งแรงดีเช่นนั้นเจ้าไออะไรของเจ้า” ซ่งหม่านซานบันดาลโทสะขึ้นมาเสียแล้ว “พวกเราคุยกับเด็กน้อยอย่างเจ้าไปก็ไม่ได้อะไร เจ้าจำไว้แค่ประเด็นเดียวว่า ไหว้บรรพบุรุษไปดีๆ แล้วกลับไปอย่างซื่อตรง อย่าเอาแต่ไปป้วนเปี้ยนทางด้านเอ้อร์ยาตลอดทั้งวัน เรื่องที่เกิดขึ้นกับเอ้อร์ยาก่อนหน้านี้ พวกเรายังไม่ได้คิดบัญชีกับครอบครัวพวกเจ้าเลย หากพวกเจ้าคิดทำร้ายนางอีก เช่นนั้นโดนดีแน่!”
ซ่งฝูซานอยากจะห้ามน้องชายที่ดุดันผู้นี้
แต่ซ่งหม่านซานระเบิดอารมณ์ขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องแม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดก็ยังด่าว่าไม่ได้ แล้วมีหรือจะสนใจการส่งสัญญาณผ่านสายตาของซ่งฝูซาน
“เอาละ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ หากเบื่อหน่ายก็ไปปีนเขาเสีย และจำไว้ว่าถึงเวลากินข้าวก็กลับมากินข้าวเป็นอันใช้ได้ หากรู้สึกว่าอาหารบ้านเราไม่พิถีพิถันมากพอก็ไปหาผู้คุ้มกันเจ้าให้ทำใหม่ให้” ซ่งหม่านซานพูดจบก็มองไปยังพี่น้องคนอื่นๆ “พวกท่านว่างมากสินะ ว่างนักก็กลับไปอยู่กับเหล่าภรรยาพวกท่านไป วันๆ ไม่รู้จักอยู่บ้าน กลับมาทั้งทียังมาต่อล้อต่อเถียงเด็กน้อยที่มาจากที่อื่นอีก ไม่รำคาญหรือ!”
พูดจบเขาก็เดินจากไปทันที
เขาค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นวันนี้จึงเพิ่งมาถึงบ้านในตอนเช้าตรู่ นี่เพิ่งกลับมาก็ถูกทุกคนเรียกไปยืนเรียงแถวที่ปากทางเข้าออกหมู่บ้านเพื่อรอคนจากจวนโหวอีก ยังไม่ทันได้พูดคุยกับภรรยาเลย
แล้วยังมีลูกชายของเขาอีก นี่เวลาเพิ่งผ่านไปเท่าไหร่เอง ดูตัวสูงขึ้นอีกไม่น้อยแล้ว คิดถึงเจ้าลูกชายจะแย่แล้ว
“อืม…น้องสี่พูดจาตรงไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ไร้เหตุผล ข้า…” ซ่งจินซานมองพี่น้องตนเอง “ลูกสวินบ้านข้าระยะนี้เอาแต่เล่าเรียนหนังสือตลอด ข้าก็ไม่ได้เจอะเจอมาพักใหญ่แล้ว จะอย่างไรก็ต้องไปถามไถ่เรื่องการเรียนสักหน่อย”
แม้ว่าเขาฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนของบุตรชายไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าฟังลูกชายของครอบครัวคนอื่นพูดพร่ำไร้สาระอยู่ตรงนี้ หลังพูดจบจึงเดินจากไปเช่นกันซ่งอิ๋นซานซาบซึ้งในตัวซ่งอิงอยากยิ่งเช่นกัน ดังนั้นก็ไม่ยินดีฟังถ้อยคำเหล่านี้ จึงสาวเท้าเดินไปในทันที เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เหลือเพียงซ่งฝูซานเท่านั้น
ซ่งฝูซานรู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ บรรดาน้องชายไม่รู้ประสีประสา แต่เขาไม่อาจไม่รู้ประสีประสาได้ ดังนั้นแม้รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ยังคงอดทนเอาไว้ อยู่พูดคุยไร้สาระกับซ่งถังหังตรงนี้
อย่างไรเสียเขาก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง อีกทั้งเป็นผู้รักในศักดิ์ศรีหน้าตามาแต่ไหนแต่ไร
แต่ตัวเขาเองก็ไม่เต็มใจฟังเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งที่เอาแต่พูดนั่นพูดนี่เช่นกัน ดังนั้นไม่นานก็ชิงพูดแทรกขึ้นมา
“ครั้งก่อนไปเมืองหลวงเป็นเรื่องเกือบๆ ยี่สิบปีมาแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีเจ้าเลย ทว่าครอบครัวเราก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับจวนโหวนักเช่นกัน ถึงขั้นยังไม่รู้เลยว่าพี่น้องตระกูลเจ้ามีกันกี่คน”
“รวมข้าด้วย ท่านพ่อข้ามีลูกทั้งหมดสิบคน”
ซ่งถังหังยังจะทำอย่างไรได้อีกนอกจากบอกกล่าวเขาไปตามมารยาท จะให้หันหลังแล้วเดินหนีไปก็ไม่ได้
“อ้อ สิบคนรึ เช่นนั้นท่านแม่เจ้าก็ให้กำเนิดบุตรเก่งจริงๆ! หมู่บ้านเราหาหญิงที่ให้กำเนิดลูกมากขนาดนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ผู้หญิงเล ยขนาดหมูก็ยังคลอดไม่เก่งขนาดนี้” ซ่งฝูซานกล่าวด้วยความตระหนกตกใจ
ตอนที่ 676 แม้มีความขัดแย้งกันแต่จะอย่างไรก็ตัดสายสัมพันธ์ไม่ขาด
ซ่งถังหังรู้สึกเพียงในใจถูกมีดทิ่มแทงอย่างแรง
“ท่านอาฝูซานเข้าใจผิดแล้ว…พี่น้องเหล่านั้น มิใช่แค่มารดาข้าให้กำเนิดเท่านั้น…แต่ยังมีอนุภรรยาคนอื่นด้วย…” ซ่งถังหังกล่าวทันที สุดท้ายก็รู้สึกปวดใจเบาๆ
ซ่งฝูซานฉุกนึกขึ้นได้ทันใด “ใช่ ทางด้านเรานี้น้อยคนจะมีอนุภรรยา ข้าจึงไม่ทันได้คิดไปชั่วขณะ เช่นนั้นบิดาเจ้าแต่ละวันคงใช้ชีวิตไม่เลวเลยจริงๆ มีภรรยาแล้วยังมีอนุภรรยาอีกด้วย ทว่าครอบครัวใหญ่โตขนาดนี้ นั่นคงต้องใช้จ่ายเงินจำนวนไม่น้อย เลี้ยงเด็กสิบคนเชียวนะ ภายภาคหน้าจะแบ่งทรัพย์สินกันอย่างไรล่ะ”
“…” ซ่งถังหังหัวเราะเจื่อน
เขาไม่อยากพูดอะไรเลย
“ถามเจ้าอยู่ ทำไมไม่ตอบล่ะ” ซ่งฝูซานกล่าว
“ว่ากันตามธรรมเนียมปฏิบัติ พี่ชายคนโตของข้าจะเป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ตลอดจนทรัพย์สินส่วนใหญ่ รองลงมาคือข้า ส่วนบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาได้เพียงเงินส่วนน้อยเท่านั้น ภายภาคหน้าหลังจากผู้ชายรับบรรดาศักดิ์ต่อ คาดว่าพวกเขาก็ต้องย้ายออกไปอยู่เรือนอื่น ไม่แตกต่างกับตระกูลร่ำรวยเล็กๆ ทั่วไปแต่อย่างใด ทว่า…หากตนเองสอบขุนนางได้ ชีวิตก็จะสุขสบายขึ้นอีกหน่อยขอรับ” ซ่งถังหังทำได้เพียงตอบกลับ
ซ่งฝูซานพยักหน้า
“ก็พอๆ กับครอบครัวคนในชนบทอย่างพวกเรา บุตรคนโตในตระกูลน่ะล้วนต้องดูแลบิดามารดาและพี่น้อง เป็นหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่งในภายภาคหน้า จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะได้รับมากหน่อย เจ้าเป็นบุตรชายคนเล็ก ปกติแต่ละวันคอยพูดเอาอกเอาใจผู้อาวุโสให้มีความสุขก็เป็นอันใช้ได้ แต่อย่าได้มีใจละโมบโลภมากแล้วทำให้พี่น้องอับอายขายหน้าก็พอ” ซ่งฝูซานกล่าวสั่งสอน
เขาเป็นบุตรชายคนโตในตระกูล ดังนั้นจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
น้องชายเขาแต่ละคนมากความสามารถ เขาผู้เป็นพี่ใหญ่ บางครั้งก็รู้สึกขายหน้าจริงๆ
เพียงแต่ว่า บิดาเขายังอยู่ เขาจึงไม่อาจเปิดเผยความนึกคิดที่รู้สึกไม่เท่าเทียมนั่นออกมาได้ อีกทั้งเพราะเรื่องที่ไปเล่นพนันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ทางบ้านจึงยังตั้งแง่ขาอยู่เสมอ
ตอนนี้ซ่งถังหังรู้สึกอึดอัดใจมากจริงๆ
แม้แต่รอยยิ้มที่ฝืนคลี่ยิ้มในตอนแรกก็เลือนหายไปแล้ว
ซ่งฝูซานมองไม่ออก เขาเป็นผู้อาวุโส จะคำนึงถึงอารมณ์ความรู้สึกเด็กรุ่นหลังทำไมกัน
ขอเพียงพยายามมีมารยาทอย่างถึงที่สุด พูดคุยกับคนเขาและทำความเข้าใจซึ่งกันและกันก็พอ
“จริงสิ ข้าได้ยินว่าบิดาเจ้าตอนนั้นต้องการให้เอ้อร์ยาแต่งงานกับชายแก่คนหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่ความจริงกระมัง” ซ่งฝูซานกล่าว
พวกเขารู้เรื่องราวเหล่านั้นที่เกิดขึ้นกับซ่งอิงไม่มากนัก แต่ในช่วงสองปีมานี้ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นไม่น้อย
ซ่งถังหังเบิกตาโตครู่หนึ่ง “จริงขอรับ…”
“ทำเช่นนี้ใช้ไม่ได้เลย ข้าเองก็เป็นคนที่มีลูกสาวเช่นกัน แม้กล่าวว่าลูกสาวก็เหมือนคนของครอบครัวอื่น แต่จะร้ายจะดีก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง เลี้ยงเติบใหญ่มาอย่างยากลำบาก ต่อให้ไม่แบ่งทรัพย์สินให้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้นี่ อีกทั้งเอ้อร์ยาครอบครัวเราแม้ว่านิสัยเกรี้ยวกราดไปหน่อย แต่กลับเป็นคนเอาการเอางาน มีหรือนางจะไม่คู่ควรคนดีๆ ไฉนจับคู่ให้นางแต่งกับคนชราที่ใกล้ตายเสียได้เล่า พ่อเจ้านี่ไร้คุณธรรมจริงๆ” ซ่งฝูซานกล่าว
เขาเอ่ยฉะฉานด้วยสีหน้าจริงจัง
ซ่งถังหังอดกลั้นความโกรธ ไม่แสดงความเห็นใดๆ
“ข้ายังได้ยินคนในครอบครัวข้าพูดอีกว่า เอ้อร์ยาได้รับการทารุณใหญ่หลวงตอนอยู่ทางด้านพวกเจ้า! และกล่าวว่าทางด้านพวกเจ้านั้นไม่มีใครแยแสนางสักนิดเดียว พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ล้วนย่ำยีนางสารพัด เด็กน้อยเอ้ย นี่มันไม่ดีเลย ระหว่างพี่น้อง แม้มีความขัดแย้งกันแต่จะอย่างไรก็ตัดสายสัมพันธ์ไม่ขาด ก็ควรที่จะพึ่งพาอาศัยกันสิ…”
“ใช่ขอรับ…”
“ทางด้านครอบครัวข้านี้เมื่อก่อนยากจนไปหน่อย แต่ทุกวันนี้ก็ไม่เลวแล้ว ข้าเห็นจินซานรักและทะนุถนอมลูกๆ อย่างยิ่ง หากครอบครัวพวกเจ้ายังคิดจะพาตัวคนเขากลับไปอีก เช่นนั้นคงเป็นไปมิได้แน่ ตัดใจแต่เนิ่นๆ เถิด เด็กคนนี้ไม่ใช่วัตถุ ครั้งแรกที่พวกเจ้าเอากลับคืน เราก็ให้ไปแล้ว ทว่าไม่ทันไรก็ทอดทิ้งกัน ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้คืนพวกเจ้าเป็นครั้งที่สองได้ มิเช่นนั้นคนที่ไม่รู้ความในจะนึกว่าเตระกูลของพวกเจ้าดูถูกพวกเราทางด้านนี้!”
“ต่อให้พวกเจ้าเป็นถึงจวนโหว ส่วนพวกเราเป็นชาวชนบท แต่ก็อยู่ภายใต้บรรพบุรุษเดียวกัน หากบรรพบุรุษรู้ว่าพวกเจ้าดูถูกดูแคลนกัน ฝาโลงศพคงปิดไม่อยู่กันพอดี และต้องไปคิดบัญชีกับบิดาเจ้าแน่”
“เฮ้อ ก็เป็นคนเหมือนๆ กัน ข้าได้ยินว่าปู่ทวดเจ้าเป็นคนหนึ่งที่มีเหตุมีผล ดังนั้นน่ะ…ร่ำรวยสามชั่วอายุคน ครอบครัวใหญ่โตเพียงใด ทว่าถ้าไม่ดูแลจัดการให้ดีๆ และคนในบ้านไม่รู้ความ ไม่ช้าก็เร็วย่อมตกต่ำได้เช่นกัน…”
“…”