ตอนที่ 761 จิตใจโลภมากไม่รู้จักพอ
คำพูดของซ่งซินหัวทำให้หลานซื่อลังเลในทันที แต่ในวินาทีถัดมา นางก็มองซ่งอิงอย่างรังเกียจ “เจ้ามองนางที่ไม่รู้ความเช่นนี้สิ! ต่อให้ข้ายินยอมแล้วนางจะยินยอมยืนกรานไม่ยอมรับเช่นกันหรือ หัวเอ๋อร์ นางกับเจ้าไม่เหมือนกัน นางเกิดมาก็เป็นตัวซวยของข้า!”
ซ่งซินหัวรู้สึกเศร้าสร้อยในใจ
ไม่เหมือนกันหรือ มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน ก็ไม่ใช่เพราะแค่นางไม่มีนิ้วเท้าเกินออกมาเหมือนกับซ่งอิงมิใช่หรือ!
“พี่ใหญ่…ท่านยอมแบกรับความไม่เป็นธรรมสักหน่อยนะเจ้าคะ ท่านชอบหมู่บ้านซิ่งฮวามากมิใช่หรือ หลังจากนี้ไปหากมีคนถามถึงก็ยืนกรานปฏิเสธไปว่าตนเองไม่มีความสัมพันธ์กับจวนโหว ดีหรือไม่” ซ่งซินหัวรีบเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีนัก” ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย “คนอย่างข้าผู้นี้ไม่ชอบพูดโกหก หากมีคนถามจริง ข้าย่อมนำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นพูดอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งไม่ให้ตกหล่นแม้แต่น้อย จะบอกไปว่าจวนโหวของพวกท่านทอดทิ้งลูกอย่างไร อีกทั้งเหตุใดจึงพาตัวลูกคนนี้กลับมาอีกครั้ง”
“ใช่แล้ว ตอนนั้นท่านอ๋องชรามีความประสงค์สู่ขอลูกสาวของครอบครัวท่าน พวกท่านทั้งสองทำใจไม่ได้ที่จะสละซ่งฮวนที่อบรมเลี้ยงดูมาหลายปี ดังนั้นจึงได้นึกถึงสาวน้อยในชนบทอย่างข้าผู้นี้กระมัง ท่านว่า…หากฮ่องเต้รู้ว่าตอนนั้นคนที่หมั้นหมายกับท่านอ๋องชราเป็นสาวชาวบ้านที่ถูกเลี้ยงดูมาในชนบทเป็นเวลาหลายปี เช่นนั้นจะไม่ชอบครอบครัวพวกท่านเอาได้หรือไม่” ซ่งอิงเปรย
แม้ว่าท่านอ๋องชราผู้นั้นแก่หง่อมแล้ว แต่คนเขาก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์!
อีกทั้งท่านอ๋องชราผู้นั้นไม่ได้บีบบังคับให้ท่านโหวซ่งต้องเอาบุตรสาวไปแต่งงานด้วย หากแต่เป็นตัวท่านโหวซ่งเองที่เห็นความสำคัญสถานะของท่านอ๋องชรา จึงอยากจะไขว่คว้าการแต่งงานครานี้ไว้!
ท่านโหวซ่งสีหน้าเปลี่ยนไป
“ทุกคนมัวอึ้งอะไรกันอยู่! จับนางไปขังไว้!” ท่านโหวซ่งโกรธจัด ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที
ซ่งอิงกระตุกมุมปาก
“ไม่ต้อง ข้าเดินไปเองได้ เรือนเฟิงหลันย่วนอยู่ตรงไหน ข้าก็จำได้ชัดเจนเช่นกัน” ซ่งอิงยิ้มตาหยี “จริงสิ ข้าหิวแล้ว ข้าเป็นแขก ดังนั้นอย่าลืมเตรียมอาหารการกินให้ด้วยนะเจ้าคะ ไม่ต้องมากมายหลากหลายเกินไป ปกติแต่ละวันท่านโหวซ่งกินอะไรข้าก็กินเช่นนั้น แค่นี้ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว หากอาหารการกินมาไม่ถึง ข้าก็อาจต้องลงมือด้วยตัวเอง ซึ่งเช่นนั้นก็คงยุ่งยากน่าดู”
พูดจบ ซ่งอิงนำพวกหู่อิ๋งอิ๋งเดินออกไป
ท่านโหวซ่งโกรธไม่เบา “แม้ว่าตอนแรกนางไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้ แต่เมื่ออบรมสั่งสอนชุดใหญ่แล้วก็มีเงาของความเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ขึ้นมาหน่อย นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรเอง ไฉนกลายเป็นนิสัยใจคอเช่นนี้ได้! ดูท่าทางนางที่ไม่เห็นใครในสายตาเลยสิ ผู้ที่ไม่รู้คงได้นึกว่านางต่างหากคือท่านโหว!”
หลานซื่อไม่เข้าใจเช่นกัน
แต่เมื่อคิดๆ ดู จึงกล่าวว่า “วันนี้ข้ามองดูซ่งสวินผู้นั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน ต้องเป็นเพราะคนครอบครัวนั้นจิตใจโลภมากไม่รู้จักพอเป็นแน่ เดิมทีพวกเขาคงคิดว่ารับซ่งอิงมาอยู่ทางด้านเราแล้วจะได้ตักตวงผลประโยชน์อะไรบ้าง ใครจะคิดว่ากลับไม่ได้อะไรเลย เมื่อมีความเคียดแค้นในใจเช่นนี้ จึงสอนให้เด็กนิสัยเสีย”
“พวกยากจนหลังเขาต่ำช้า โง่เขลาและไร้วัฒนธรรม!” ท่านโหวซ่งสบถฮึ
ซ่งซินหัวกลอกตามองบนในใจ
ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของครอบครัวพวกเขาก็เพิ่งได้รับสืบทอดต่อมาสามรุ่นเท่านั้นเอง เมื่อก่อนท่านปู่ทวดก็เป็นคนต่ำต้อยในชนบทเช่นกัน
“ท่านโหว ตอนนี้… ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” หลานซื่อเอ่ยถาม
“ตอนนั้นจัดการอย่างไร ตอนนี้ก็จัดการเช่นนั้น!” ท่านโหวซ่งกล่าวอย่างเย็นชา
“แต่ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกันนะเจ้าคะ ซ่งสวินผู้นั้นถึงอย่างไรก็เป็นถึงจวี่เหริน ปีหน้ายังต้องไปสอบอีก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เช่นนั้นเกรงว่าซ่งสวินผู้นั้นจะไม่อาจอยู่อย่างสงบๆ ได้น่ะสิเจ้าคะ” หลานซื่อกล่าวอีกครั้ง
ท่านโหวซ่งขมวดคิ้วนิ่วหน้า
เมื่อครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขังนางไว้ในเรือนเฟิงหลันย่วน กับภายนอกก็กล่าวว่าหญิงสาวผู้นี้มาจากชนบท มีรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายคลึงกับลูกที่เสียชีวิตไปแล้วของเจ้า เจ้าเกิดความรู้สึกมากมายในใจจึงอยากรับดูแลไว้ เพียงแต่เด็กคนนี้ไม่รู้ความและไม่มีมารยาท เกรงว่าจะกระทบกระทั่งกับคนชนชั้นสูง จึงไม่ได้ให้ออกจากบ้านหรือต้อนรับแขกเหรื่อผู้ใด!”
ก็แค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น หาเหตุผลมาสักข้อก็ทำให้นางหายสาบสูญไปได้แล้ว
ทว่าซ่งสวินผู้นั้น อย่างไรเสียก็มีเกียรติคุณจึงไม่อาจใช้ไม้แข็งได้
ทว่า…
ตอนที่ 762 ไม่เชื่อฟังคำพูด
ท่านโหวซ่งหัวเราะเยาะ จากนั้นเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
ก็แค่จวี่เหริน ทั่วหล้านี้ ที่มีมากคือทั้งชีวิตหยุดอยู่แค่การเป็นบัณฑิตที่มีเกียรติคุณจวี่เหริน และมีบัณฑิตจำนวนมากเช่นกันที่เกิดอุบัติเหตุเหนือความคาดหมาย จึงไม่ได้มีชีวิตอยู่
หลานซื่อเก็บเอาคำพูดของซ่งอิงมาเป็นจริงเป็นจังที่ไหนกัน ในขณะนี้ ซ่งอิงมาถึงเรือนเฟิงหลันย่วนแล้ว
เรือนเฟิงหลันย่วนแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่เจ้าของร่างเคยอยู่อาศัย เป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุดในจวนโหว เรือนไม่ได้ใหญ่โต ไม่มีแม้แต่ห้องครัวเล็กๆ ปากทางเข้าออกเรือนมีหญิงรับใช้วัยกลางคนคอยเฝ้าอยู่ นอกจากนี้ยังมีประตูเล็กๆ หนึ่งบานซึ่งมีแม่กุญแจคล้องเอาไว้บนนั้น
ยามที่เจ้าของร่างเข้ามาอยู่อาศัยตอนนั้น เรือนแห่งนี้ถูกปรับปรุงอย่างเรียบง่าย แต่ก็ยังดูรกร้างมาก
ตอนนั้น เจ้าของร่างอยากจะเก็บกวาดลานบ้านตามจิตใต้สำนึก แรกเริ่มก็เจอการถูกหัวเราะเยาะและกล่าวว่าสมกับที่นางเป็นคนหนึ่งที่มีชะตาชีวิตอย่างพวกทำไร่ทำสวน
ต่อมาเจ้าของร่างก็พยายามฝืนทนอยู่อาศัยไป
บัดนี้ ในลานบ้านแห่งนี้น่าอนาถเสียยิ่งกว่าตอนนั้น หญ้าป่าในลานบ้านขึ้นรกชัฎ ครั้นเปิดบานประตูเล็กๆ ซ่งอิงไม่นึกเลยว่าจะได้ยินเสียงของหนูที่อยู่ข้างในวิ่งผ่านไป
ดีที่ในลานบ้านปูพื้นเอาไว้ด้วยอิฐเทา จึงยังพอเดินได้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้เกรงว่าคงเดินแทรกเข้าไปไม่ได้
เรือนที่ปิดตายมีฝุ่นเกาะหนาเตอะ ทว่าลักษณะเรือนไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด
คนที่มาส่งซ่งอิงคือแม่นมที่อยู่ข้างกายหลานซื่อ ถือได้ว่าเป็นคนสนิทที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ตอนนี้กำลังจ้องมองซ่งอิงไม่วางตา คนทั่วไปเกรงว่าคงกลัวนางจนวิ่งหนีแล้ว
“ทำความสะอาดที่นี่เสีย” ซ่งอิงเอ่ยอย่างสงบ
หญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นั้นสบถฮึ “ท่านโหวกล่าวเพียงแค่ให้พาแม่นางมาที่นี่ มิได้ให้พวกข้าช่วยทำความสะอาดบ้านแต่อย่างใด”
ซ่งอิงขมวดคิ้วในทันที
หญิงวัยกลางคนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นสาวใช้ข้างกายของหลานซื่อ ติดตามมาหลายสิบปี เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด หลานซื่อเกลียดชังนาง หญิงรับใช้วัยกลางคนเหล่านี้ย่อมไม่ชอบนางไปด้วยเช่นกัน เจ้าของร่างในตอนนั้นเสียเปรียบอยู่ในเงื้อมมือพวกนางไม่น้อยเช่นกัน
หู่อิ๋งอิ๋งได้ยินคำพูดของหญิงรับใช้วัยกลางคนก็รู้สึกหงุดหงิดใจเสียแล้ว
นางจึงเดินไปข้างหน้าแล้วดึงแขนของหญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นั้น “เถ้าแก่เหนียงของข้าบอกว่าให้เจ้าทำความสะอาดบ้าน หากไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะหักแขนของเจ้าเสีย!
“โอ๊ย!” หญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นั้นเจ็บจนหน้าบิดเบี้ยว
หญิงรับใช้วัยกลางคนอีกคนหนึ่งสีหน้าเปลี่ยนไป เร่งรีบเตรียมเดินออกไปเพื่อรายงาน ทว่าอิงต้าซานไวกว่าหนึ่งก้าว เข้าไปขวางทางนางไว้ที่หน้าประตู “คำพูดของเถ้าแก่เนียง พวกเจ้าต้องเชื่อฟัง ทำความสะอาดบ้านเสีย เร็วเข้า!”
สีหน้าหญิงรับใช้วัยกลางคนเปลี่ยนไป เมื่อเห็นสองคนที่ดูดุดันเช่นนี้ก็เกิดความกลัวขึ้นมาเล็กน้อยทันใด
“ที่นี่คือจวนโหว…พวกเจ้ากล้าวางมาดบาตรใหญ่ที่นี่ ไม่กลัวหรือว่าท่านโหวจะเอาเรื่องพวกเจ้า!” หญิงรับใช้วัยกลางคนกล่าวด้วยความโมโห
เพียงพอนเหลืองชักสีหน้าเคร่งขรึม ยกยิ้มมุมปาก “โอ๊ย ดูสองท่านนี้พูดเข้าสิ ราวกับหากเถ้าแก่เหนียงของเราว่านอนสอนง่าย พวกเจ้าก็จะไม่หาเรื่องเถ้าแก่เหนียของพวกเราอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เรือนหลังนี้เป็นสถานที่ที่เถ้าแก่เหนียงของพวกเราต้องเข้าพัก สถานที่ที่เถ้าแก่เหนียงต้องอาศัยอยู่จำเป็นต้องสะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นแม้แต่น้อย หากทำไม่ได้ พวกเราอาจไม่มีความสามารถอื่นใด ทว่าความสามารถอย่างการทำให้พวกเจ้าแขนขาหักก็ยังพอมีอยู่บ้าง”
หน้าชราๆ ของหญิงรับใช้วัยกลางคนตกใจสะดุ้งเฮือก
“พวกเราแค่สองคน ทำไม่ไหวหรอก…” สิ่งที่พวกนางทำเป็นปกติคือการดูแลนายหญิง เคยทำงานจิปาถะประเภทนี้ที่ไหนกันเล่า!
“ในเมื่อฮูหยินให้พวกเจ้ามากันสองคนเท่านั้น เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเจ้าสองคนทำได้ หากไม่ได้ ก็เรียกหญิงรับใช้สองคนที่เฝ้าอยู่นอกประตูเข้ามาช่วยด้วยอีกแรงก็สิ้นเรื่อง” ซ่งอิงมองไปข้างนอกปราดหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นมา
“ทำเร็วหน่อย! เถ้าแก่เหนียงยังรอยังพักผ่อนอยู่!” เพียงพอนเหลืองขมวดคิ้วนิ่วหน้า ส่งเสียงตะคอก
เมื่อสิ้นคำ หวงเมี่ยนวิ่งไปยังเก้าอี้หินที่อยู่ในลานบ้านแล้วลงมือปัดถู จากนั้นเชิญซ่งอิงเดินไปนั่งแล้วลงมือบีบนวดบ่าให้ซ่งอิงอย่างประจบสอพลอ
เพียงพอนเหลืองปีศาจตนนี้ เป็นปีศาจตนหนึ่งที่ไม่มีเกียรติที่สุดในเหล่าปีศาจทั้งหมดของซ่งอิง
รูปลักษณ์ไม่ถึงขั้นดูดี พูดจาประจบสอพลอ มิหนำซ้ำอยู่ในหมู่ปีศาจก็ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์อันดีสักเท่าไร
ทว่าซ่งอิงมองนางแล้วไม่รู้สึกขัดตาแต่อย่างใด