Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1926 สง่างามไร้เทียมทาน

ตอนที่ 1926 สง่างามไร้เทียมทาน
ตอนที่ 1926 สง่างามไร้เทียมทาน
“เคาะกระดิ่งวิญญาณจักรพรรดิเพลิง มีศัตรูภายนอกบุกหรือ”
ทันทีที่เจียงหลิวหั่วและเจียงหลันสุ่ยมาถึง สายตากพลันจับจ้องที่ป๋อหยาจื่อ
เจียงอวี่ถงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทันที
ฟังจบเจียงหลิวหั่วปลดน้ำเต้าเพลิงแดงตรงเอวลง ดื่มเหล้าคำหนึ่ง สีหน้าเย็นชา “สู้สุดชีวิตหรือ เจ้าลองดูได้ว่าจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับตระกูลเจียงของข้าได้หรือไม่”
เจียงหลันสุ่ยที่ผมขาวทั้งหัวราวกับชายชรากลับถอนหายใจยาวคราหนึ่ง เอ่ยพูดว่า “เวรกรรมจริงๆ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดคีรีดวงกมลของพวกเจ้าถึงไม่หยุดซะบ้าง”
ป๋อหยาจื่อแค่นเสียงขึ้นจมูก “เหตุใดข้าจำได้ว่าก่อนศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ ท่าทีที่เผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียงมีต่อคีรีดวงกมลของข้าไม่ใช่แบบนี้”
เจียงอวี่ถงสีหน้าอึมครึม “แต่คีรีดวงกมลของเจ้าล่มสลายไปแล้ว ตระกูลเจียงของข้าก็เสียหายอย่างหนักเพราะเรื่องนี้ ยังจะให้พวกเราปฏิบัติกับเศษเดนอย่างพวกเจ้าอย่างไร”
“เศษเดนหรือ”
หลินสวินที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอด ตอนนี้พลันเอ่ยขึ้น นัยน์ตาดำดุจเหวลึกล้ำหาใดเปรียบ “ข้านับถือพวกเจ้าเป็นผู้อาวุโส จึงทนมาโดยตลอด แต่พวกเจ้า… กำเริบเสิบสานเกินไปหรือไม่”
น้ำเสียงราบเรียบ
บุคคลระดับจักรพรรดิสี่คนอย่างเจียงอวี่ถง เจียงรุ่ย เจียงหลิวหั่วและเจียงหลันสุ่ยอึ้งไปโดยพร้อมเพรียง
เจ้าตัวจ้อยระดับมกุฎราชันอริยะคนหนึ่งกล้าพูดแบบนี้กับพวกเขาได้อย่างไร
นี่เห็นชัดว่าเหลวไหลมาก
ควรรู้ว่าทอดสายตามองไปทั่วโลกฟ้าดารา ระดับจักรพรรดิก็เหมือนนายเหนือหัวสูงสุด เป็นที่เชิดชูของผู้คนนับไม่ถ้วน
แม้เป็นกึ่งจักรพรรดิ ในสายตาระดับจักรพรรดิที่แท้จริงก็ยังเล็กจ้อยเหมือนมดปลวก!
แต่ตอนนี้มกุฎราชันอริยะคนหนึ่งกลับบอกว่าพวกเขา… กำเริบเสิบสานเกินไป!
“กำเริบเสิบสานหรือ ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับการบี้มดตัวหนึ่งตาย”
เจียงอวี่ถงน้ำเสียงเหี้ยมโหด อานุภาพน่าสะพรึงไร้ขอบเขตสายหนึ่งแผ่ออกมา ราวกับเจตจำนงฟ้าเบื้องสูงมาเยือน กดข่มหลินสวิน
“คิดเล่นงานอาจารย์อาเล็กของข้า ข้ามศพข้าไปก่อน!”
ป๋อหยาจื่อก้าวออกไปก้าวหนึ่ง เสื้อผ้าพลิ้วไหว ปลดปล่อยกลิ่นอายสายหนึ่งออกมา สลายอานุภาพสายนั้นจนไร้รูป
ท่าทางเขาเด็ดขาดผงาดผยอง
“อาจารย์อาเล็กหรือ”
เจียงหลิวหั่วอดหัวเราะไม่ได้ “ระดับจักรพรรดิเช่นเจ้า กลับเรียกเจ้าตัวจ้อยคนหนึ่งว่าอาจารย์อาเล็ก ช่างขายหน้าระดับจักรพรรดิของพวกนัก”
“ช่างเถอะ จับตัวพวกเขาไว้ก่อน ถามจุดประสงค์แท้จริงที่พวกเขามาที่นี่ให้ชัดแล้วค่อยจัดการพวกขา”
เสียงเจียงหลันสุ่ยแก่ชราแหบพร่า แต่ท่าทีกลับแข็งกร้าวและเผด็จการอย่างที่สุด
ประโยคเดียวดุจคำสั่ง ทำให้พวกเจียงอวี่ถง เจียงรุ่ยและเจียงหลิวหั่วทั้งสามคนล้วนโคจรพลังโดยไม่ได้นัดหมาย
ตูม!
กลิ่นอายระดับจักรพรรดิที่ราวกับมังกรใหญ่มากมายออกจากเหวครอบฟ้าคลุมตะวัน ทำให้ถ้ำสวรรค์แดนมงคลแถบนี้ถูกปิดล้อมทั้งหมด ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เจียงหลันสุ่ยค้ำไม้เท้าไผ่เขียวเจ็ดฉื่อ เคาะพื้นดินพลางเอ่ย “ที่นี่คือเมืองจักรพรรดิเพลิงของพวกเรา เดี๋ยวตอนลงมือต้องระวังหน่อย อย่าให้เกิดความเสียหายต่อคนในตระกูลเรา”
“นี่ย่อมแน่นอน”
พวกเจียงอวี่ถงล้วนเผยรอยยิ้ม ท่าทางผ่อนคลาย
ระดับจักรพรรดิสี่คน ยังจะจัดการเศษเดนแห่งคีรีดวงกมลคนหนึ่งไม่อยู่เชียวหรือ
บรรยากาศคุกรุ่น
ป๋อหยาจื่อสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เอวพลันยืดตรง ท่าทางเด็ดเดี่ยว สื่อจิตว่า ‘อาจารย์อาเล็ก ในมือข้ายังมีไพ่ตายอยู่บ้าง หากสู้สุดชีวิตน่าจะพอมีหวังส่งท่านออกไปอย่างปลอดภัยได้ ต่อไปหากท่านมีโอกาสได้พบท่านอาจารย์ โปรดบอกท่านอาจารย์ว่าปีนั้นที่ข้าสามารถติดตามท่านฝึกปราณ ชีวิตนี้ชาวประมงน้อยอย่างข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจแล้ว!’
พูดจบเขาก็จะลงมือ แต่ข้างหูกลับมีเสียงสื่อจิตของหลินสวินดังมา ‘หากเจ้านับถือข้าเป็นอาจารย์อาเล็ก เรื่องนี้ก็ให้ข้าเป็นคนจัดการ’
อะไรนะ
ป๋อหยาจื่อนัยน์ตาหดรัด แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง นี่มันเวลาใดแล้ว อาจารย์อาเล็กยังกล้าล้อเล่นแบบนี้
นั่นมันระดับจักรพรรดิสี่คนเชียวนะ!
“ลงมือเถอะ”
เจียงหลันสุ่ยเอ่ยปาก ใบหน้าแก่ชราเต็มไปด้วยความเฉยชา
พวกเจียงอวี่ถงต่างพยักหน้า
ตูม!
บนตัวของพวกเขาสี่คนล้วนมีกฎเกณฑ์ของระดับจักรพรรดิปรากฏ ราวกับโซ่เทพแห่งสวรรค์ที่พร่างพราวเป็นสายๆ ตัดสลับเข้าด้วยกัน สว่างไสวร้อนแรง กลิ่นอายน่ากลัวเยี่ยมยอดพรั่งพรูออกมา
เพียงแค่อานุภาพนั้นก็สามารถถล่มภูผาธาราได้!
“กำราบ!”
พวกเจียงอวี่ถงสี่คนลงมือพร้อมกัน
เจียงอวี่ถงเรียกกระบี่มรรคเล่มหนึ่งออกมา คมกระบี่ดุจสายฟ้า สะดุดตาดั่งตะวัน สะท้อนภาพน่ากลัวที่เพลิงหลอมสวรรค์ สรรพสิ่งล้วนมอดไหม้
กระบี่มรรค ‘วิญญาณผลาญ’!
เจียงรุ่ยสะบัดแขนเสื้อ แส้อ่อนสีทองเส้นหนึ่งทะยานฟ้า เงาแส้เป็นชั้นๆ กลายเป็นทะเลกฎเกณฑ์สีทอง ราวกับแม่น้ำเซียนไหลลงมาจากฟ้า
แส้เทพ ‘นทีทอง’!
วู้ม…
น้ำเต้าเพลิงแดงในมือเจียงหลิวหั่วบินขึ้น ประกายไฟพวยพุ่ง ปากน้ำเต้าพรั่งพรูกะทันหัน ปรากฏสะเก็ดเพลิงหม่นมัว
น้ำเต้าวิญญาณ ‘เพลิงขุ่น’
เจียงหลันสุ่ยชูไม้เท้าไผ่เขียวเจ็ดฉื่อในมือขึ้นมาจรดกลางอากาศ สายฟ้าเขียวมรกตนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน กลายเป็นใบไผ่ที่โปร่งแสงเป็นประกาย สว่างไสวกลางอากาศ
สมบัติโบราณ ‘ไม้เท้าไผ่อสนีฟ้า’!
พริบตาเดียวระดับจักรพรรดิทั้งสี่เรียกสมบัติจักรพรรดิออกมาสี่ชิ้น ลงมือพร้อมกันด้วยอานุภาพประดุจอสนีบาตร เห็นชัดว่าต้องการเร่งการต่อสู้ให้จบลงอย่างรวดเร็ว กำราบป๋อหยาจื่อในคราเดียว
เพราะถ้ายื้อเวลานานไป จะต้องส่งผลกระทบต่อเมืองจักรพรรดิเพลิงแน่!
นี่เป็นสิ่งที่พวกเจียงอวี่ถงทนไม่ได้เด็ดขาด
ชั่วพริบตาไอสังหารปกคลุมมา
ป๋อหยาจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที กลั้นหายใจ รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่แรงกล้าอย่างที่สุด
เขาไม่อาจสนใจสิ่งอื่น และไม่อาจมัวแต่ซักถามความคิดของหลินสวิน ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้หลินสวินร่วงหล่นที่นี่ได้
ทว่าตอนที่ป๋อหยาจื่อจะลงมือ
เงาร่างสง่างามสายหนึ่งชิงปรากฏตัวก่อนเขากะทันหัน ยกมือกดลงกลางอากาศ
นี่คือหญิงที่ราวกับมายาคนหนึ่ง ร่างกายอาบอยู่กลางประกายหมอกเทพที่ราวกับภาพฝัน เจือกลิ่นอายโดดเด่นศักดิ์สิทธิ์
นางราวกับอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว ท่าทางใจเย็น การกระทำก็ราบเรียบ แต่ตอนที่มือหยกขาวผ่องเรียวยาวของนางกดลงกลางอากาศ
เสียงวู้มหนึ่งดังครวญ กระบี่มรรควิญญาณผลาญราวกับงูที่ถูกแทงจุดสำคัญ พลันสั่นอย่างรุนแรงแล้วทะยานถอยออกไปอย่างโซซัดโซเซ ประกายเพลิงอับแสง
เจียงอวี่ถงใจสะท้าน เลือดลมย้อนกลับ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
จากนั้นเสียงหนักทึบน่ากลัวระลอกหนึ่งก็ดังมา กลิ่นอายมรรคจักรพรรดิระเบิดออกในที่นั้นราวกับภูเขาถล่มสมุทรซัดสาด ละอองแสงกฎเกณฑ์ที่พร่างพราวงดงามโปรยปรายลงมา
ก็เห็น…
แส้เทพนทีทองของเจียงรุ่ยกลับตวัดกลับ ฟาดใส่ร่างเจียงรุ่ยอย่างแรง ฟาดจนไหล่เขาเลือดสาด ส่งเสียงครวญในคอ เงาร่างเซถอยไปหลายก้าว
ก็เห็น…
น้ำเต้าเพลิงแดงของเจียงหลิวหั่วกระแทกลงพื้นดังปัง ส่วนริมฝีปากเขามีเลือดไหลออกมา สีหน้าก็พลอยหวาดหวั่น
ก็เห็น…
เสียงตูมดังขึ้น ใบไม้ที่ควบรวมจากสายฟ้าเขียวมรกตนับไม่ถ้วนพลันระเบิดออก กลายเป็นละอองแสงหลากสี
เจียงหลันสุ่ยลมหายใจสะดุด ไม้เท้าไผ่เจ็ดฉื่อที่ชูขึ้นสั่นไหวรุนแรง
ทุกอย่างพูดเหมือนช้า ความจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
เร็วเกินไปแล้ว!
เร็วจนหลินสวินยังไม่ทันตอบสนอง การโจมตีจากระดับจักรพรรดิทั้งสี่อย่างพวกเจียงอวี่ถงก็ถูกสลายไปหมดแล้ว
และตั้งแต่ต้นจนจบ เงาร่างสง่างามที่ราวกับมายานั่น เพียงแค่ลงมือกดกลางอากาศครั้งเดียวเท่านั้น!
ป๋อหยาจื่อที่เตรียมเผชิญความตายอยู่แล้วสูดหายใจสะท้านโดยพลัน เขาเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าที่บรรลุจักรพรรดิมานานแล้วคนหนึ่ง ทว่าแม้แต่เขายังถูกภาพอันเหลือเชื่อนี้ทำเอาสะท้านสะเทือน
ยามทุกอย่างสงบลง สีหน้าของพวกเจียงอวี่ถงต่างเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สายตาล้วนจับจ้องแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
นี่เป็นผู้หญิงที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจนคนนหนึ่ง เงาร่างสง่างามสูงโปร่ง มีแสงพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนฝันดุจมายาไหลหลั่ง
นางยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เผยความสันโดษและเย็นชา
ทว่ากลิ่นอายบนตัวนางกลับทำให้พวกเจียงอวี่ถงหวั่นหวาด เพราะไม่สามารถมองตื้นลึกหนาบางออกได้เลย!
“ผู้อาวุโส ถูกบีบจนหมดหนทาง จึงทำได้เพียงรบกวนให้ท่านลงมือแล้ว”
และตอนนี้หลินสวินถึงเอ่ยปากอย่างแฝงความจนใจ
หญิงผู้นี้ก็คือ ‘ซี’ ที่อยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์!
หลายปีมานี้หลินสวินคิดว่าจะไม่ยืมพลังของซีอีกแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็พบว่ายามเผชิญหน้ากับตัวตนระดับจักรพรรดิ เขายังคงเล็กจ้อยเกินไป!
ประโยคเดียวทำให้พวกเจียงอวี่ถงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเจ้าตัวจ้อยที่ถูกพวกเขามองว่าไร้ค่าราวมดปลวก ดันเตรียมตัวมาก่อน
ด้านป๋อหยาจื่อยามนี้ถึงค่อยโล่งอก ในใจนอกจากความตะลึงยังอดภาคภูมิใจไม่ได้ นี่เป็นถึงศิษย์น้องเล็กของท่านอาจารย์ จะใช่คนที่ใครก็รังแกได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
ความรู้สึกเช่นนี้ของเขา เหมือนตอนเหิงเซียวเห็นหลินสวินชิงอันดับหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นเมฆามาได้ไม่ผิดเพี้ยน
“เรื่องเล็กเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่ถึงกับลำบากอะไร ข้าเองก็ไม่ได้ออกมาสูดอากาศนานแล้ว”
เสียงของซีเย็นชาและว่างเปล่า
เรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง…
หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้ นี่เป็นถึงศึกระหว่างระดับจักรพรรดิ ทว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่ง เหตุใดมาถึงมือซีกลับกลายเป็นเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งไป
“สหายยุทธ์เป็นใคร จะยุ่งเรื่องของตระกูลเจียงด้วยอีกคนหรือ”
เจียงหลันสุ่ยเอ่ยเสียงขรึม ไม่กล้าลงมือโดยพลการ
กลิ่นอายบนตัวของซีคลุมเครือยากคาดเดา ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามยิ่งยวด
พวกเจียงอวี่ถงก็เช่นเดียวกัน การปรากฏตัวของซีกะทันหันมาก แต่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหญิงที่น่ากลัวอย่างที่สุดคนหนึ่ง
เพียงยกมือก็สามารถสลายการโจมตีเต็มกำลังของพวกเขาได้แล้ว นี่จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
ซีไม่ได้สนใจเจียงหลันสุ่ย เพียงถามหลินสวินเสียงเบาๆ “ดูออกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะรังแกเจ้า เจ้าว่าตอนนี้จะจัดการพวกเขาอย่างไร”
ประโยคเดียวทำเอาเจียงอวี่ถงอดพูดไม่ได้ “สหายยุทธ์ นี่เป็นถึงเมืองจักรพรรดิเพลิง แม้เจ้ามีความสามารถยิ่งใหญ่ ก็…”
พูดยังไม่ทันพบก็เห็นซีดีดนิ้วคราหนึ่ง
ปัง!
ทั้งตัวเจียงอวี่ถงกระเด็นถอยออกไป ริมฝีปากกระอักเลือด สะบักสะบอมอย่างที่สุด
นี่ทำให้พวกเจียงหลันสุ่ยต่างอกสั่นขวัญแขวน
ระดับจักรพรรดิยืนตระหง่านบนยอดฟ้าดารามาเนิ่นนาน ถูกมองว่าเป็นตัวตนระดับนายเหนือหัวสูงสุด ครองอานุภาพปกฟ้าคลุมดิน
ทว่าคนที่อยู่ในระดับจักรพรรดิเท่านั้นที่รู้ว่า ระดับจักรพรรดิเป็นเส้นทางที่คลุมเครือและยาวนานอย่างที่สุดสายหนึ่ง อยู่ในระดับจักรพรรดิเหมือนกัน ช่องว่างระหว่างกันกลับห่างกันมาก
ก็เหมือนดั่งการปีนขึ้นภูเขาใหญ่ลูกเดียวกัน บางคนเพียงยืนอยู่ตรงตีนเขา บางคนปีนถึงกลางเขา และบางคนก็ขึ้นไปถึงยอดเขานานแล้ว!
หญิงที่ดูลึกลับอย่างที่สุดคนนี้ เป็นบุคคลน่ากลัวซึ่งมีพลังเหนือกว่าที่พวกเขาคาดอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ตอนที่ข้าพูด ไม่ชอบให้ใครแทรก”
ซีเอ่ยพูดอย่างเย็นชาในยามนี้
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ได้ยินคำพูดนี้พวกเจียงอวี่ถงจะต้องไม่พอใจแน่ แต่ตอนนี้พวกเขาต่างเงียบกริบ แต่ละคนสีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้
พวกเขาตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหาแล้ว
ต่อให้ที่นี่คือเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียง เป็นอาณาเขตของพวกเขา แต่เผชิญกับหญิงลึกลับคนนั้น กลับไม่มีค่าให้พูดถึงสักนิด!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท