หลานซื่อทั้งโกรธและหวาดกลัวจริงๆ เมื่อครู่ ณ ตอนนั้น นางมักจะรู้สึกว่าลูกสาวของนางผู้นี้ดูเหมือนอยากจะฆ่านางอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้นางทรุดตัวกองอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้น สุดท้ายก็เป็นหญิงรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดลุกขึ้นมาแล้วลากหลานซื่อออกไปด้วย
“นาง ไฉนนางจึงเป็นเช่นนี้ได้ ไม่กลัวเวรกรรมตามสนองบ้างหรือ!” เมื่อหวนนึกถึงสถานการณ์เมื่อครู่ หลานซื่อก็หวาดกลัวขึ้นมา
นางเป็นถึงมารดาผู้ให้กำเนิดซ่งอิงเชียวนะ!
ซ่งอิงกลับ…กลับเอ่ยว่านางกำลังมอบของขวัญขอบคุณ!
ทันใดนั้น หลานซื่อก็เนื้อตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง
ตอนเย็น นางไปหาท่านโหวอีกครั้ง
แต่ตัวท่านโหวไปอยู่ในเรือนอนุภรรยาคนหนึ่ง ไม่ได้แยแสนางเลยสักนิด
ซ่งอิงนอนหลับสนิทตลอดค่ำคืนนี้ ยามที่เข้ามาในเรือน หญิงรับใช้วัยกลางคนสองคนนั้นก็หยิบผ้านวมมาไว้ให้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของเก่า ซ่งอิงมีของใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ในช่องว่างระหว่างมิติ นางจึงหยิบออกมาใช้ทั้งหมดอย่างเต็มที่
วันรุ่งขึ้น นางให้อิงต้าซานและหู่อิ๋งอิ๋งรื้อกำแพงด้านหนึ่งแล้วขุดดินอีกหน่อย ทำเป็นหลุมวางหม้อขึ้นมาหลุมหนึ่ง
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าเชิญมาบ้านเป็นเรื่องง่าย เชิญออกไปเป็นเรื่องยาก
ไหนๆ ก็มาแล้ว นางจึงไม่อยากไปเลยจริงๆ
นางมีเวลาว่าง และถึงแม้จวนโหวจะไม่ให้ของกิน แต่นางจะอยู่ที่นี่ทั้งชีวิตก็ยังได้
ในวันที่สองนี้ ซ่งสวินไปหาผู้อาวุโสประจำวงศ์ตระกูลซ่ง ปรึกษาหารือเรื่องออกจากตระกูล นับแต่โบราณเรื่อยมา การแตกแขนงออกไปของคนในวงศ์ตระกูลถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก แล้วนับประสาอะไรกับสายเลือดทางด้านหมู่บ้านซิ่งฮวาแห่งนั้นที่ล้วนไม่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับทางด้านเมืองหลวงนี้มาโดยตลอด อีกทั้งคนเขาทางด้านนั้นก็มีหัวหน้าวงศ์ตระกูลเช่นกัน ในหมู่บ้านก็มีบุคคลในวงศ์ตระกูลเดียวกัน หากไม่แยกก็จะเป็นการไม่เหมาะสม
อีกทั้ง เมื่อถึงรุ่นซ่งสวินนี้ ความสัมพันธ์ที่มีกับพวกเขาล้วนเกินห้าชั่วอายุคนแล้ว คนเขาอยากจะออกไปตั้งตระกูลเดี่ยวก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก
ทว่าก็เพราะเป็นการแตกแขนงเล็กๆ การตัดออกไปจึงง่ายดายยิ่ง
กลุ่มชนเหล่านี้ล้วนลงทะเบียนกับส่วนราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำเป็นแค่หลังจากบอกกล่าวบรรพบุรุษให้ทราบแล้วค่อยไปยังส่วนราชการเพื่อดำเนินการโยกย้ายฐานะประจำตัวก็เป็นอันใช้ได้
ซ่งสวินใช้เวลาเกือบสามวันไปกับเรื่องนี้ เมืองหลวงกว้างใหญ่เหลือเกิน และคนของวงศ์ตระกูลซ่งก็ค่อนข้างเมินเฉย ดังนั้นจึงกินเวลาไปไม่น้อย
และสามวันนี้ ทางด้านจวนโหวแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์วุ่นวายขนาดไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน
วันแรกหลานซื่อทำอะไรนางไม่ได้ วันที่สองจึงนำเรื่องราวบอกกล่าวกับท่านโหวซ่ง
ท่านโหวซ่งผู้นี้มีหรือจะเชื่อว่าสามคนที่ดูธรรมดาๆ จะเอาชนะยี่สิบกว่าคนของจวนโหวที่มากความสามารถได้ แต่ติดที่หลานซื่อฟ้องพลางร้องห่มร้องไห้ เขาจึงนำผู้คุ้มกันไปเยือนด้วยตัวเองหนึ่งหน
ผู้คุ้มกันที่พกมีดดาบติดตัวมุ่งหน้าไปถึงด้านนั้น เดิมทีน่าจะทำให้เกรงกลัวอยู่บ้าง
แต่ผลสุดท้ายกลับถึงขั้นถูกพวกซ่งอิงจับโยนออกไปอย่างง่ายดายเช่นกัน
ท่านโหวซ่งตะลึงงัน
เขาเตรียมตรวจสอบพื้นเพของซ่งอิงอย่างถี่ถ้วน
สตรีชาวบ้านธรรมดาๆ ไยจึงมีข้ารับใช้ที่เก่งกาจเช่นนี้ได้เล่า
ท่านโหวซ่งเดิมทีต้องการส่งคนไปตรวจสอบที่เมืองยง แต่ยังไม่ทันได้ไปก็ค้นพบว่าซ่งอิงซื้อคฤหาสน์หลังโตแห่งหนึ่งอยู่ในเมืองหลวงแล้วด้วย!
คฤหาสน์หลังนั้นเป็นจำนวนเงินมากถึงสองหมื่นแปดพันตำลึงเงิน หลังจากซื้อแล้วก็ตกแต่งสิ่งของเข้าไปมากมาย
พูดง่ายๆ ก็คือ นับแต่ซ่งอิงมาถึงเมืองหลวง นางใช้จ่ายเงินไปแล้วกว่าสามหมื่นตำลึงเงิน!
ได้ยินข้อมูลที่ข้ารับใช้รายงานขึ้นมา สองสามีภรรยาถึงกับงงจนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ใช้จ่ายเงินมากมายเพียงนี้เพื่อซื้อคฤหาสน์มาหลังหนึ่ง เหตุใดนางจึงมีเงินให้ใช้จ่ายจำนวนมากเช่นนี้ได้” ท่านโหวซ่งไม่เข้าใจอย่างยิ่ง จากนั้นมองหลานซื่อ “ตอนนั้นที่นางจากไป เจ้าให้เงินแก่นางหรือ”
หลานซื่อรู้สึกถูกใส่ร้ายอย่างใหญ่หลวง “ท่านโหว ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้มีเงินมากขนาดนี้ด้วยนี่”
จวนโหวมีสมาชิกหลายคน ความจริงปกติแต่ละวันใช้จ่ายกันอย่างประหยัดมาก
นึกถึงตอนนั้น ฮวนเอ๋อร์ออกเรือน สินเดิมติดตัวรวมๆ กันแล้วก็แค่สามหมื่นตำลึงเงินโดยประมาณ แค่นี้…หญิงชราก็ยังรู้สึกว่าให้มากเกินไปแล้วเลย!
หลานซื่อยกมือกุมอก “หลายปีมานี้ในครอบครัวกินอยู่กันอย่างประหยัด บรรดาลูกๆ ออกไปสร้างครอบครัวอย่างต่อเนื่อง จึงนำทรัพย์สินในครอบครัวเราออกมาใช้จนใกล้จะหมดเกลี้ยงแล้ว และท่านโหวไม่รู้หรือเจ้าคะว่าข้ารู้สึกอย่างไรกับนาง เงินทองพวกนี้ ต่อให้ข้าเอามาค้ำจุนปิ่งเอ๋อร์อยู่เรื่อย แต่ก็ไม่มีทางมอบให้นางหรอกนะเจ้าคะ”
ตอนที่ 768 วางแผนในทางร้าย
เมื่อท่านโหวซ่งได้ยินถ้อยคำดังกล่าวก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผล
หากหลานซื่อเข้าข้างซ่งอิง ตอนนั้นก็คงไม่ยินยอมให้ส่งนางกลับไป
“เช่นนั้นนางเอาเงินพวกนี้มาจากไหน” ท่านโหวซ่งไม่เข้าใจอย่างยิ่ง จึงมองข้ารับใช้ “ไปเรียกคุณหนูห้าและคุณชายสี่มา”
เด็กทั้งสองคนไปเมืองยงมาก่อนหน้านี้ จะอย่างไรก็น่าจะรู้เรื่องราวบ้างจึงจะถูก
ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็เดินตามๆ กันเข้ามา
พวกเขาทั้งสองสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
“หัวเอ๋อร์สองวันนี้ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาก ได้ยินว่าเจ้ากำลังปักพระคัมภีร์ให้ท่านย่าเจ้าอยู่หรือ” ท่านโหวซ่งเอ่ยถามไปตามความเคยชินก่อนอันดับแรก
“ใช่เจ้าค่ะ ลูกรู้สึกว่าเมื่อก่อนดื้อรั้นเกินไปแล้ว ระยะนี้ท่านย่าก็ร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไร ดังนั้นข้าจึงต้องการขอพรแทนท่านย่าด้วยเจ้าค่ะ” ซ่งซินหัวบอกกล่าวทันที
นางอยากจะเอะอะเอาใจบ้างเช่นกัน แต่สติสัมปชัญญะบอกนางว่าระยะนี้สงบเสงี่ยมเข้าไว้และอย่าได้ออกจากห้องจะเป็นการดีที่สุด
แค่นี้ผู้คุ้มกันและหญิงรับใช้วัยกลางคนในบ้านยังถูกเล่นงานยังไม่มากพอหรือ
ท่านโหวซ่งพยักหน้าอย่างชื่นชม จากนั้นกล่าวว่า “ยามที่พวกเจ้าไปเมืองยงก่อนหน้านี้ ญาติทางนั้นดำรงชีวิตเป็นเช่นไรหรือ”
ซ่งซินหัวยิ้มเล็กน้อยอย่างจนใจ
มิน่าล่ะ ท่านพ่อจึงเรียกพวกเขามากะทันหัน แท้จริงแล้วก็เพราะจะถามเรื่องของซ่งอิง
“ท่านลุงและท่านอาสองสามคนปกติแต่ละวันล้วนค่อนข้างยุ่งกันทั้งนั้น ในตระกูลพอมีที่ดินอยู่บ้าง นอกจากทำนาข้าว ดูเหมือนพวกเขายังทำของกินจำพวกเหลียงผีส่งไปขายด้วยเจ้าค่ะ นอกจากนี้ ท่านอาครอบครัวบุตรชายคนรองก็เปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง น่าจะไม่ได้ใหญ่โตมากมายเจ้าค่ะ” ซ่งซินหัวกล่าว
“เช่นนั้นซ่งอิงล่ะ” ซ่งท่านโหวกล่าวอีกครั้ง
ซ่งซินหัวครุ่นคิด “ยามที่ข้ากับน้องชายอยู่ทางด้านนั้น เห็นพี่สาวคนโตนับครั้งได้ รู้เพียงแค่บ้านของครอบครัวนางถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในหมู่บ้านซิ่งฮวา นอกจากนี้นางก็มีชื่อเสียงอันดีด้วยเช่นกัน จริงสิ พี่เขยเป็นคนหนึ่งที่จิตใจดีมีเมตตา หลายปีก่อนบริจาคเงินให้หมู่บ้านจำนวนไม่น้อย ดังนั้นทุกคนล้วนเคารพนับถือพวกเขาสองสามีภรรยาอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
“บริจาคเงินหรือ สามีของซ่งอิงคือผู้ใดกัน” ซ่งซินหัวตื่นตกใจ
“รู้เพียงแค่นามว่าฮั่วหรง เป็นลูกชายของพรานล่าสัตว์ ต่อมาก็ยุ่งอยู่กับชีวิตภายนอกมาโดยตลอด ส่วนเงินค่าแรงก็น่าจะไม่ได้สูงเป็นพิเศษ เขาบริจาคเงินทุกปีจำนวนมากสุดก็เพียงหนึ่งถึงสองร้อยตำลึงเงินเท่านั้นเจ้าค่ะ” ซ่งซินหัวกล่าวอีกครั้ง
ซ่งท่านโหวได้ยินดังกล่าว ก็ขมวดคิ้วแน่นในทันที
จากนั้นจับจ้องไปยังซ่งถังหัง “เจ้าล่ะ พบเจออะไรบ้างหรือไม่”
“ท่านพ่อหมายความว่าอะไรเจ้าคะ หรือว่าพี่สาวคนโตมีอะไรที่ผิดปกติไปอีกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งซินหัวเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา
“พี่สาวคนโตของพวกเจ้าหลังจากมาถึงเมืองหลวง ก็ใช้จ่ายเงินไปเกือบๆ สามหมื่นตำลึงเงินเพื่อซื้อเรือนหลังโตและส่งเสียซ่งสวินเรียนหนังสือ” ซ่งท่านโหวไม่ปิดบังแต่อย่างใดเช่นกัน
ซ่งซินหัวม่านตาหดตัว ตระหนกตกใจเหลือหลาย “สามหมื่นตำลึงเงิน?”
“พวกเจ้าสองคนคิดทบทวนให้ดีๆ สิว่านางอาศัยอะไรในการหาเงินที่ว่านี้กันแน่ เงินนี้หากไม่ใช่นางหามาด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่ามีคนอื่นส่งให้ แต่ใครจะส่งเงินทองให้มากมายเพียงนี้โดยเปล่าๆ กันเล่า เกรงว่าจะมีแผนการร้ายอันใดต่อครอบครัวพวกเรา จึงจงใจติดสินบนน่ะสิ!” ท่านโหวซ่งกล่าวอีกครั้ง
ซ่งซินหัวรู้ว่าซ่งอิงเหมือนกับทำกิจการบางอย่างเป็นของตัวเอง แต่ก็คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ากิจการที่ว่านั้นจะยอดเยี่ยมเช่นนี้!
“ท่านพ่อ น่าจะเป็นเงินที่พี่สาวคนโตหาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ ข้าจำได้ว่า…” ซ่งซินหัวลังเลเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก เพียงแต่ยามที่ติดตามเด็กๆ ที่นั่นขึ้นเขาไปได้ถามเอาไว้บ้าง คลับคล้ายพวกเขาเคยเอ่ยว่าพี่สาวคนโตทำกิจการสบู่หอมชนิดหนึ่งเจ้าค่ะ…”
“จริงสิ ยามที่ข้าอยู่ทางด้านนั้นก็เคยใช้สบู่หอมนั่นเช่นกัน ใช้ดีมากจริงๆ เจ้าค่ะ ของสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่พี่สาวคนโตทำเจ้าค่ะ” ซ่งซินหัวกล่าว
“ไฉนเมื่อครู่นี้เจ้าจึงไม่พูด” ซ่งท่านโหวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านพ่อ ข้าเพียงแค่คิดไม่ถึงนี่เจ้าคะ ข้าได้ยินว่าสบู่หอมนั่นราคาถูกมาก ก้อนเบ้อเร่อราคาเพียงยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง กิจการประเภทนี้จะทำเงินได้สักเท่าไหร่กันเชียว…ทว่าลองคิดดูอย่างถี่ถ้วน ของสิ่งนี้ราคาถูก ทั้งยังใช้ดีเช่นนี้ แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวล้วนใช้ได้ทั้งนั้น หากนางเป็นรายเดียวที่ทำกิจการนี้ในแถบเมืองยง เช่นนั้น…จะมีทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ก็ไม่ดูเกินไปเช่นกันเจ้าค่ะ” ซ่งซินหัวกล่าวอีกครั้ง