ตอนที่ 783 หลอกหลวงฮ่องเต้
ซ่งอิงแสดงท่าทีว่าจะยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้
กลิ่นเหม็นที่บรรจุในถุงน้ำใบหนึ่งจะไปรุนแรงอะไร นางมีเพียงพอนเหลืองอยู่ข้างกาย ต้องการกลิ่นพิษมากน้อยเท่าไรมีหรือจะปล่อยออกมาไม่ได้
การโจมตีด้วยกลิ่นพิษนี้จึงมีอานุภาพรุนแรงและสร้างขอบเขตความเสียหายกว้างใหญ่ไม่น้อย มิหนำซ้ำยังทำให้คนไม่ได้บาดเจ็บหรือเป็นอะไรมากมาย เหมาะแก่การสั่งสอนคนไม่รู้ความเหล่านี้เป็นที่สุด
…
ในขณะนี้ ตัวกู้หมิงเป่าอยู่ในวังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นางนำผลไม้กวนสองกระปุกมอบให้ฮองเฮาเป็นการพิเศษ ก่อนจะอาศัยสิ่งนี้กล่าวถึงซ่งอิง จากนั้นก็พูดคุยอย่างฉะฉาน ฮองเฮาเดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจมากมาย แต่ครั้นฟังมาถึงท้ายสุดก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ใต้หล้านี้มีบิดามารดาที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ด้วยหรือ
ต่อให้ลูกมีหกนิ้วเท้ามาแต่กำเนิด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมายนี่ ในราชวงศ์ก็มีท่านอ๋องที่มีหกนิ้วเท้าเช่นกัน มีนิ้วเท้าข้างหนึ่งเกินมาหนึ่งนิ้วเท่านั้นเอง หาคนจากตระกูลที่ฐานะต่ำกว่าหน่อยแต่งงานก็เป็นอันใช้ได้แล้ว เหตุใดจึงทอดทิ้งลูกได้ลงคอ!
หากแรกเริ่มทอดทิ้งไม่เอากลับมาอีก เช่นนั้นก็แล้วไป
แต่ดันนำคุณหนูหกนิ้วเท้าที่ให้ครอบครัวชาวชนบทเลี้ยงดูเปล่าๆ ตั้งแต่เล็ก มาแต่งงานกับท่านอ๋องเฒ่า
นี่หมายความว่าอะไร
แน่นอนว่ากู้หมิงเป่าได้พูดถึงความน่าสงสารของซ่งอิงไปไม่น้อยอีกด้วย พูดมาถึงท้ายสุดก็กล่าวว่าบิดามารดาที่เลี้ยงซ่งอิงปฏิบัติกับนางดุจลูกสาวในไส้ นางจึงไม่มีทางเข้าไปสู่จวนโหวอีกในชั่วชีวิตนี้ แต่กลับถูกท่านโหวใช้กำลังรั้งตัวนางไว้…
ฮองเฮาไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่สาวน้อยผู้นั้นต้องเผชิญ หากแต่สนใจเพียงความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้ของจวนโหว
ตกเย็นฮองเฮารีบไปเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้แล้วนำคำพูดของผู้อื่นถ่ายทอดเข้าหูเขาทันที
เดิมทีท่านโหวซ่งยังคิดอยู่ว่าวันรุ่งขึ้นจะไปกล่าวขอภัยในความผิด อย่างไรก็ตาม เขากลับคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้คอยเขาอยู่ก่อนแล้ว หากเขาเอ่ยปากในเวลานี้ขึ้นมาอีกก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะดูไม่บริสุทธิ์ใจ
“เราได้ยินมาว่าบุตรสาวคนโตเจ้ามีชีวิตอยู่หรือ” ครั้นเข้ามายังห้องหนังสือหลวง และท่านโหวซ่งคุกเข่าลง ฮ่องเต้ก็เอ่ยปากถามทันที
เมื่อได้ยินดังนี้ ท่านโหวซ่งก็ตกใจสะดุ้งเฮือก
“ทูลฝ่าบาท…บุตรสาวผู้นั้นของกระหม่อม…ยังไม่เสียชีวิตจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นสงสารนางอายุยังน้อยกลับไม่อาจหาคู่ครองได้แล้ว กลัวว่านางจะต้องเข้าสู่ทางธรรมไปชั่วชีวิต จึงส่งนางไปชนบทพ่ะย่ะค่ะ…”
“อ้อ ไฉนเรายังได้ยินอีกว่าบุตรสาวเจ้าผู้นี้ไม่ใช่ว่าร่างกายไม่แข็งแรงและไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่กลับเป็นผู้ที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในชนบทมาตั้งแต่เล็ก เจ้าวางแผนจับนางแต่งกับราชวงศ์ จึงได้รับคนเขากลับมา” ฮ่องเต้กล่าวอีกครั้ง
เหยียนผิงโหวตัวแข็งทื่อขึ้นมาชั่วพริบตา “ทูลฝ่าบาท…ตอนนั้นบุตรสาวถึงวัยออกเรือนแล้ว จึงอยากให้นางกลับเมืองหลวงมาเจอคู่ครอง ซึ่งประจวบเหมาะกับเรื่องของท่านอ๋องพอดี จึงได้…จึงได้กลายเป็นวาสนาอันประเสริฐนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่เชื่อถ้อยคำดังกล่าวแต่อย่างใด
ไม่กล่าวถึงอย่างอื่น เอาแค่ส่วนที่ท่านอาอ๋องชราผู้นั้นของเขาอายุปูนนั้นแล้ว มิหนำซ้ำยังเจ้าชู้มักมากในกาม สตรีปกติทั่วไปมีหรือจะชายตาแล
“ขุนนางซ่ง คนเราเป็นพ่อแม่ จะมีใจลำเอียงเกินไปมิได้ ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของเจ้า แม้ว่าให้ความรักและความรู้สึกดีๆ แก่นางไม่ได้สักนิด ก็ควรปกป้องคุ้มครองสักหน่อยจึงจะถูกต้อง จะทำเรื่องอย่างที่ปรากฏในข่าวลือเหล่านั้นมิได้ อีกทั้งการที่ว่ามีนิ้วเกินแล้วจะเป็นผู้ทำให้ญาติพี่น้องดวงตกนี้ เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลไร้สาระ พระญาติทางด้านอ๋องอิ่งนั่นมีลูกหลานชายเจริญรุ่งเรืองที่สุด ยามที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็มีหกนิ้วเช่นกัน”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพะย่ะค่ะ เป็นกระหม่อมเองที่ไร้สติปัญญา” ท่านโหวซ่งรีบแสดงทัศนคติในทันที “หลังจากกลับไปกระหม่อมจะดีต่อนางอย่างแน่นอน จะให้ความรักความห่วงใยชดเชยในหลายปีมานี้พะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ตอนนี้ต่อให้เจ้าอยากจะชดเชย ก็ต้องให้คนเขายินยอมด้วยจึงจะถูก ตัวเราแม้เป็นฮ่องเต้ แต่ไม่สะดวกที่จะยุ่งเกี่ยวเรื่องในครอบครัวขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่สะดวกที่จะเข้าข้างเจ้า ข้าได้ยินมาว่าบุตรสาวเจ้าผู้นั้นไม่ใช่ตระกูลเดียวกันกับเจ้าแล้ว ต่อให้เจ้าอยากโยกย้ายกลับมา เกรงว่าก็คงไม่ดีแล้วกระมัง”
“กระหม่อม…” ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนี้เลยจริงๆ หากคิดได้จะไม่ให้ซ่งสวินออกจากวงศ์ตระกูลเป็นอันขาด!
“เอาละ เรื่องนี้เจ้าเป็นฝ่ายผิด ตอนแรกยามที่ข้ามีความปรารถนาจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นาง หากมิใช่เพราะขุนนางฮั่วปรามไว้ ตอนนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องชวนหัวเราะเยาะแล้วหรือ ตัวเราก็จะลงโทษเจ้าด้วยการตัดเบี้ยหวัดหนึ่งปี เอาสิ่งนี้ไว้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน!” ฮ่องเต้กล่าวขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่ 784 เป็นไปไม่ได้
การตัดเบี้ยหวัดหนึ่งปีไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่เมื่อเขาเดินออกจากประตูวังนี้ไปก็จะมีคนรับรู้ว่าเขาถูกฮ่องเต้ลงโทษเพราะเรื่องของบุตรสาว!
อับอายขายหน้ากันพอดี!
ฮ่องเต้เตรียมจะไล่ตะเพิดคนเขาออกไป ทว่าฮั่วเจ้ายวนมาเยือนพอดิบดี
“เข้ามาได้จังหวะดีจริง เรื่องนี้เจ้ายังต้องขอบคุณคนเขาให้ดีๆ เสียด้วย” ฮ่องเต้มองเหยียนผิงโหวขณะกล่าวอีกครั้ง
เหยียนผิงโหวส่งเสียงตอบรับซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฮั่วเจ้ายวนแสดงความเคารพให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก จากนั้นเหยียนผิงโหวจึงเตรียมกล่าวขอบคุณ
ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ฮั่วเจ้ายวนก็หันหน้ามาหาเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านโหวซ่ง ไม่ทราบว่าท่านตั้งใจจะให้ภรรยาข้าอยู่กับท่านอีกนานเพียงใดหรือ”
“หืม?” ซ่งท่านโหวตกตะลึง “ภรรยาอะไรหรือขอรับ”
ฮ่องเต้ตะลึงงันเช่นกัน “เจ้ามีภรรยาตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
“ทูลฮ่องเต้ ภรรยาของกระหม่อมผู้นี้…จะถือว่าเป็นภรรยาก็ไม่เชิง แต่คิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นภรรยา ดังนั้นไม่อยากปิดบังเอาไว้พะย่ะค่ะ” ฮั่วเจ้ายวนพูดจาราวกับปริศนา จากนั้นก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ฮ่องเต้ทรงทราบเช่นกันว่ายามที่กระหม่อมยังเยาว์วัยเติบใหญ่อยู่ในหมู่บ้านชนบท แม่นางผู้นั้นถือว่าเป็นคนรู้จักเก่ากับกระหม่อม ตอนนั้นกระหม่อมใช้นามว่าฮั่วหรง นางจึงคิดว่ากระหม่อมนามว่าฮั่วหรงมาโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ”
“ก่อนหน้านี้มีข่าวเข้าใจผิดแพร่งพรายไป คนทางด้านเมืองยงแห่งนั้นคิดว่ากระหม่อมเสียชีวิตแล้ว ประจวบเหมาะกับแม่นางผู้นั้นกลับสู่หมู่บ้านเช่นกัน นางไม่มีที่พึ่งพิง ทั้งยังสงสารว่าหลังจากกระหม่อมเสียชีวิตแล้วจะไร้ทายาทสืบสกุล จึงแต่งงานกับคนตายอย่างกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยอย่างจริงจัง
ฮ่องเต้ได้ยินดังกล่าว ก็รู้สึกตกตะลึงระคนประหลาดใจอย่างยิ่ง
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ประหลาดมาก!
“ต่อจากนั้นล่ะ” ฮ่องเต้อยากรู้อยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“นางอยู่ในฐานะภรรยากระหม่อม และหาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวไปวันๆ นอกจากนี้ยังเก็บเด็กชายกำพร้าคนหนึ่งมาเลี้ยงช่วยสืบทอดวงศ์ตระกูลให้กระหม่อม หลังจากกระหม่อมกลับเมืองยงก็บังเอิญรู้เรื่องนี้เข้า แต่อันเนื่องจากฐานะตัวตน เดิมทีจึงไม่อยากรบกวนนาง ทว่าตอนนี้นางมาถึงเมืองหลวงพร้อมกับพี่ชายที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง และนางมีความปรารถนาที่จะทำกิจการเล็กๆ น้อยๆ แต่หลังจากเข้าสู่จวนโหวก็ไม่ได้ออกมาอีก กระหม่อมจึงรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ พะย่ะค่ะ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว เขาขบคิดอยู่ว่าซ่งอิงคงได้ระบายความแค้นเคืองออกไปพอประมาณแล้วเช่นกัน
“ภายหลังต่อมา แน่นอนว่ากระหม่อมก็รับรู้เช่นกันว่าที่แท้ซ่งอิงก็คือบุตรสาวของท่านโหวซ่ง บัดนี้…หากท่านโหวคะนึงถึงบุตรสาวจับใจ เอาแบบนี้จะดีกว่า กระหม่อมก็ขอไปพักอยู่ด้วยสักสองสามวัน ทั้งดูแลภรรยาได้ แล้วยังขจัดความห่วงหาของคนเป็นพ่อได้ด้วย” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวอย่างหน้าไม่อายขึ้นมาอีกครั้ง
ท่านโหวซ่งในขณะนี้งงเป็นไก่ตาแตกอย่างถึงที่สุด
เขาพบว่านับแต่ซ่งอิงมาถึงเมืองหลวง หัวใจเขาก็ราวกับม้าศึกพยศ หาสติสัมปชัญญะไม่ได้เลยสักนิด
“อ้อ จริงสิ ว่ากันตามธรรมเนียมปฏิบัติ เกรงว่าท่านโหวซ่งจะอยู่ในนามของบิดาซ่งอิงไม่ได้เช่นกัน” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวเสริมอีกประโยค แทงใจดำเสียยิ่งกว่าไหนๆ “เช่นนี้…ต่อให้กระหม่อมอยากจะเรียกเขาว่าท่านพ่อตา เช่นนั้นก็คงไม่เหมาะสมเช่นกัน”
ท่านโหวซ่งเบิกตาโต
ฮ่องเต้ก็ตระหนกตกใจไม่น้อยเช่นกัน
“คิดไม่ถึงจริงๆ เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ไม่หือไม่อือก็กระทำเรื่องสำคัญยิ่งเช่นนี้เสียแล้ว ก่อนหน้านี้เรายังคิดจะช่วยหาคู่ครองให้เจ้า บัดนี้เกรงว่าไม่ได้เสียแล้วสินะ” ฮ่องเต้กล่าว
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
“เพียงแต่ แม่นางผู้นี้แม้ว่ามีวาสนากับเจ้า แต่หากไม่ใช่บุตรสาวของเหยียนผิงโหว เช่นนั้นในแง่ฐานะ…” ฮ่องเต้ลังเลเล็กน้อย
ครั้นถ้อยคำดังกล่าวหลุดออกมา ฮั่วเจ้ายวนก็คุกเข่าลงทันทีและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมน่าจะเป็นคนที่ตายจากไปแล้ว หากมิใช่เพราะความเมตตากรุณาของฝ่าบาท ก็คงไม่อาจมีวันนี้ได้เช่นกัน บัดนี้วงศ์ตระกูลฮั่วได้พลิกฟื้นคืนมาอีกครั้ง ทว่าผู้คนบนโลกต่างก็ประณามตระกูลฮั่วของกระหม่อมอยู่ไม่น้อย กระหม่อมฐานะสูงส่งแต่กลับต้องดำรงอยู่ด้วยความกลัวและระแวดระวัง…”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่หรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
“กระหม่อมในฐานะทายาทสืบสกุลตระกูลฮั่ว พร้อมทำเพื่อความสงบสุขของปวงประชาทั่วหล้า ยินยอมไม่แต่งภรรยาชั่วชีวิต ทำหน้าที่ขุนนางจวบจนวันตาย เมื่อกลับคืนสู่ใต้พื้นดิน สุสานจะตั้งอยู่ในหมู่บ้านซิ่งฮวา ฝังคู่กับซ่งอิงในฐานะตัวตนฮั่วหรงได้เลยพะย่ะค่ะ…ที่กระหม่อมอยากพูดคือ ซ่งอิงและบุตรชายของนางล้วนเป็นเครือญาติของฮั่วหรง มิได้เกี่ยวข้องกับวงศ์ตระกูลฮั่วแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวกังวานชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้จึงเป็นอันเข้าใจได้
เขาหมายความว่า เพื่อให้คนใต้หล้ารู้ว่าในใจเขาไม่มีความคับแค้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยินยอมไร้ทายาทสืบสกุลฮั่ว และจะไม่มีการล้างแค้นโดยคนรุ่นหลังแต่อย่างใด!