ตอนที่ 799 หย่า
กู้หมิงเป่าทำทีแสดงออกอย่างกล้าหาญขณะพูดคุยกับบรรดาสะใภ้สาวกลุ่มหนึ่ง และในเวลานี้เอง มีคนเห็นกู้หมิงเป่าก็อดนึกถึงท่านอ๋องฮั่วขึ้นมาไม่ได้
“ระยะนี้มักจะได้ยินว่าท่านอ๋องฮั่วมีภรรยาเอกแล้ว แต่ก็ไม่เห็นภรรยาที่ว่านั้นเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นผู้ประเสริฐสูงส่งจากที่ใด”
“ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้คือผู้ที่รู้จักกับท่านอ๋องฮั่วเมื่อตอนอายุสิบกว่าปี ไม่มีฐานะอันใด ดังนั้นท่านอ๋องฮั่วจึงไม่อยากพานางออกมาพบเจอผู้คน”
“เหตุใดข้าจึงได้ยินมาว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่วัยเด็กที่บรรพบุรุษตระกูลฮั่วกำหนดไว้ให้เมื่อตอนมีชีวิตอยู่”
“คู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่วัยเด็กหรือ ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…”
“คุณหนูกู้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้คือใคร”
ทุกคนพร้อมใจกันมองไปที่กู้หมิงเป่า กู้หมิงเป่าถึงกับรู้สึกเหนียมอาย “ข้าไม่รู้เช่นกัน”
“แม้แต่เจ้ายังไม่รู้เลยหรือ” เจ้าเย่ว์เหล่ยถอนหายใจ แต่นางก็รู้สึกว่าถ้อยคำที่ตนพูดออกไปไม่ค่อยดีนัก จึงกล่าวอธิบาย “คุณหนูกู้ อย่าได้ถือสากัน หลักๆ เป็นเพราะท่านกั๋วกงรู้เรื่องต่างๆ มากมาย จึงคิดว่าเจ้าอยู่บ้านก็น่าจะได้ยินอะไรบ้าง”
กู้หมิงเป่ายิ้มอย่างอึดอัดเล็กน้อย
ส่วนซ่งอิงในเวลานี้รู้สึกตะลึงงันและสับสนเล็กน้อย
หากนางเดาไม่ผิด ภรรยาเอกที่ว่านี้หมายถึงนางหรือ
ซ่งอิงลูบจมูกด้วยความร้อนตัว
นึกถึงตอนนั้น…นางก้าวพลาดไปหนึ่งก้าวแล้วจริงเชียว!
แต่ฮั่วเจ้ายวนพูดกับภายนอกเพียงนี้แล้ว และเห็นแก่มิตรภาพที่ผ่านมา นางก็ไม่สะดวกจะเตะคนเขาทิ้งในทันที เห็นทีว่าเรื่องนี้จะจัดการยากเสียแล้ว
เพียงแต่ว่าดีที่ฮั่วเจ้ายวนไม่ได้พูดสู่ภายนอกอย่างชัดเจนเสียทีเดียว และถึงแม้พูด นั่นก็เป็นแค่เรื่องของชื่อแซ่หนึ่งเท่านั้น จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซ่งอิงก็ยิ้มให้กับทุกคนอย่างเปิดเผย
“ท่านอ๋องฮั่วน่ะ เป็นถึงบุคคลหนึ่งที่เป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญอย่างถึงที่สุด” ซ่งอิงกล่าวชมเชยด้วยสีหน้าจริงจัง
“จริงสิพี่ซ่ง เมื่อก่อนท่านอยู่เมืองยงมิใช่หรือ ไม่เคยเห็นท่านอ๋องฮั่วเลยหรือ” กู้หมิงเป่าถามด้วยความประหลาดใจ
“เคยเห็น” ซ่งอิงพยักหน้า
“ท่านอ๋องฮั่วผู้นั้นน่ากลัวหรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าเขา…นิสัยเจ้าอารมณ์ เป็นคนนิสัยแปลกและไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้ใด…” กู้หมิงเป่ากล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ไม่นี่ เป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ใจกว้างและดีต่อประชาชน เป็นขุนนางน้ำดีที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ส่วนนิสัยใจคอก็พอใช้ได้กระมัง” ซ่งอิงพยักหน้า
อย่างน้อยก็เป็นคนที่ช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครั้ง ซ่งอิงจึงไม่อาจพูดเสียๆ หายๆ ใส่คนเขาได้
อีกทั้ง พูดจากใจจริง ฮั่วเจ้ายวนก็เป็นผู้ที่ไม่เลวจริงๆ
“ดีเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าเย่ว์เหล่ยไม่กล้าเชื่อเล็กน้อย “แต่เขาเข่นฆ่าผู้คนไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะมีคุณงามความดีทางการทหาร ก็คงพลิกคดีความของตระกูลฮั่วกลับมาได้ไม่ง่ายดายขนาดนั้น”
“ในเมื่อตอนนั้นเขาเป็นแม่ทัพ ก็ควรสังหารคนไม่ใช่หรือ” ซ่งอิงยิ้มตาหยี
ผิดหรือที่ฆ่าคน นางไม่ชอบฟังถ้อยคำดังกล่าวนั้นเอาเสียเลย
เจ้าเย่ว์เหล่ยนึงอึ้งไป “ก็จริง”
ตอนนี้คนเขาสละอำนาจทางการทหารไปเป็นท่านอ๋องที่เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ แล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ยินเรื่องราวอย่างการเข่นฆ่าผู้คนอีกเลย
“พี่ซ่งให้ความเคารพในตัวท่านอ๋องฮั่วอย่างยิ่งสินะเจ้าคะ” เจ้าเย่ว์เหล่ยพลั้งปากพูดเรื่อยเปื่อย
ซ่งอิงกระตุกมุมปาก “แน่นอน เขาก็สมควรได้รับความเคารพเช่นกัน”
นางคร้านจะปกป้องเขาจากคนรอบข้างเช่นนี้เหมือนกัน แต่ฮั่วเจ้ายวนมีบุญคุณยิ่งใหญ่เหลือเกิน จวบจนถึงปัจจุบัน วิธีการบำเพ็ญเพียรนั่นล้วนเป็นของที่คนเขามอบให้ นางจึงไม่อาจกระทำการโดยไร้มโนธรรมได้จริงๆ
ส่วนด้านนอก ซ่งฮวนเดินจากไปด้วยความโกรธจัด
เจิ้งซื่อพร้อมด้วยบุตรสาวนางก็ตรงกลับไปบ้านมารดาแล้ว นางโกรธจนร้องไห้และร้องทุกข์ยกใหญ่กับคนตระกูลมารดา
ตลอดหลายปีมานี้ที่แต่งเข้าไป นางไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างดีแม้สักนิด เดิมทีก็มีคำพูดแค้นเคืองอยู่ในใจ คนตระกูลเจิ้งก็ไม่ใช่ผู้ที่ดุร้ายกับบุตรสาว บัดนี้ครั้นได้ยินเรื่องแย่ๆ เหล่านี้จึงเกิดความไม่พอใจเช่นกัน และอยากให้บุตรสาวหย่าร้างเสีย
ยุคราชวงศ์ต้าติ้งนี้ไม่ถือว่าโหดร้ายกับเรื่องการแต่งงานของสตรีเกินไป คนที่อยู่ร่วมกันต่อไปไม่ได้จึงหย่าร้างกันก็มีถมเถเช่นกัน
แน่นอนว่าตระกูลสูงส่งซึ่งเป็นผู้สูงศักดิ์ระดับนี้คิดว่าคงมีการหย่าร้างไม่มากนัก แต่ใครใช้ให้ตระกูลเจิ้งไม่ใช่คนเช่นปกติทั่วไปเล่า!
ตอนที่ 800 ใครขัดขาข้า
ลูกสะใภ้ต้องการหย่าร้าง ท่านโหวซ่งได้ยินดังนั้นก็แทบจะกระอักเลือดออกมาทันที
นี่เป็นความซวยตลอดปีชัดๆ!
อีกทั้งคนเขาไม่เพียงแต่ต้องการหย่า มิหนำซ้ำยังจะพาหลานสาวของเขาไปด้วย!
นี่เป็นถึงสายเลือดของตระกูลเขาเชียวนะ ถูกฝ่ายหญิงที่หย่าร้างพาตัวไปด้วย คงได้กลายเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนกันพอดี! แต่ตระกูลเจิ้งก็ยืนกรานเป็นที่แน่นอน และกล่าวว่าขนาดบุตรสาวคนโตที่มีหกนิ้วจวนโหวยังไม่เอาไว้ แล้วนี่หลานสาวที่ไม่มีมารดาจะได้รับการเห็นความสำคัญหรือ
ครั้นเอ่ยพูดถ้อยคำดังกล่าวออกมาก็ทำให้ท่านโหวซ่งและหลานซื่อโกรธเกรี้ยวจัด อยากจะใช้มีดปาดคอหอยให้สิ้นเรื่องไปเสีย
ทางด้านจวนโหวเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เห็นอะไรก็ขัดตาไปหมด ส่วนซ่งสวินตอนนี้หลังได้ยินข่าวลือเล่าขานกันภายนอก ในใจก็มีความรู้สึกวุ่นวายสับสน
เขายังคิดอยู่ว่าจะอาศัยการเล่าเรียนมาทวงความเป็นธรรมให้น้องสาว ทว่าผลสุดท้าย…
นี่เพิ่งมาเยือนเมืองหลวงเป็นเวลาเท่าไรเอง จวนโหวก็ถูกบังคับให้ยอมจำนนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่าดีใจ แต่ซ่งสวินก็เศร้าใจเล็กน้อยเช่นกัน ในฐานะพี่ชาย กลับไม่มีแม้แต่ความสามารถในการปกป้องน้องสาว มิหนำซ้ำยังต้องให้น้องสาวตนเองบุกตะลุยโจมตีข้าศึก เขารู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถไปหน่อยแล้วจริงๆ
ซ่งอิงกลับมาจากจวนจงกั๋วกงก็เห็นซ่งสวินก้มหน้าก้มตาอ่านตำรา ท่าทางนั้นราวกับว่าจะแทะหน้าหนังสือให้เกิดเป็นรูขึ้นมาอยู่แล้ว
เอาเถอะ เขาคงถูกโจมตีทางจิตใจเข้าแล้ว
แต่ชีวิตคนเรา ก็ต้องมีแรงกระตุ้นสักหน่อยจึงจะถูกต้อง
…
กลางดึก เมืองหลวงเงียบสงัด
ในจวนอ๋องอู่เฉินก็เต็มไปด้วยความเงียบเชียบเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าจู่ๆ ในลานบ้านก็ปรากฏคนสองคน ซึ่งสองคนที่ว่านี้สวมอาภรณ์ที่ผิดจากคนธรรมดาทั่วไป
“นี่ นี่ไม่ถูกต้องนี่? จากการคำนวณตามวังลับสวรรค์ ตอนนี้เทพชางเวยน่าจะหมั้นหมายกับคุณหนูกู้แล้วจึงจะถูก…ซ่งซื่อโผล่มาจากไหนหรือ”
“บนโลกมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เป็นปกติเช่นกัน ขอเพียงกลับสู่เส้นทางเดิมได้ก็เป็นอันพอ” อีกคนสีหน้าสุขุม ครั้นตวัดมือเปล่าก็เกิดลำแสงหลากสีสันพุ่งเข้าสู่ห้องนอน “เจ้ากลับวังลับสวรรค์ไปปรับเปลี่ยนดวงชะตาเสียก่อน ข้าจะคอยรับคำสั่งอยู่ที่นี่”
พูดจบ เรือนร่างเซียนทั้งสองก็เลือนหายไปคนละทิศทาง
ฮั่วเจ้ายวนนอนหลับอยู่ดีๆ แต่แล้วก็ฝันขึ้นมากะทันหัน ในความฝันนี้ไม่นึกเลยว่าจะปรากฏแม่นางที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แม่นางผู้นั้นอายุสิบห้าสิบหกปีเห็นจะได้ ดูเยาว์วัยอย่างยิ่ง หากเพียงเท่านี้ก็ไม่เท่าไร แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะกำลังไหว้ฟ้าดินกับสตรีผู้นี้อยู่ด้วย!
ดูจากเครื่องยศสตรีของเจ้าสาวที่อยู่ตรงหน้า ฮั่วเจ้ายวนมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
“สามี?” จู่ๆ แม่นางผู้นั้นก็ส่งเสียงเรียกหนึ่งประโยค ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ในสมองพลันนึกถึงลักษณะได้ใจของซ่งอิงที่เจ้าเล่ห์และฉลาดเป็นกรดผู้นั้น จากนั้นในชั่วพริบตาเดียวเขาก็ตื่นขึ้นมา
ครั้นลืมตา บริเวณโดยรอบก็เป็นสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย
แม้ว่าฉากหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมองเมื่อครู่เรียกได้ว่าเป็นความฝัน แต่ความฝันนี้กลับประหลาดไม่น้อยจริงๆ
“การสร้างฉากความฝันให้เทพชางเวยไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้จริงๆ ดูเหมือนจะผิดพลาดเล็กน้อยเสียด้วย ทว่าความฝันนี้ก็หายไปเสียแล้ว เพียงแต่…ในเมื่อเป็นความฝันการแต่งงาน ไฉนจึงมีปัญหากับการเรียกขานว่าสามีได้เล่า” เซียนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านข้างประหลาดใจเล็กน้อย
เพียงแต่ว่าในเมื่อตื่นจากฝันนี้แล้ว จะฝันไปอีกก็เป็นการยาก อีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็นถึงเทพชางเวย หากเกิดใจระแวดระวังขึ้นมา เข้าฝันไปอีกก็จะยิ่งเป็นอะไรที่ชวนรู้สึกเพ้อเจ้อ
เช่นนี้ ก็ทำได้เพียงสร้างโอกาสเสียแล้ว
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากฮั่วเจ้ายวนเสร็จสิ้นจากราชกิจ เดินพ้นประตูวังออกมา
ที่เดินอยู่ข้างหน้าคือจงกั๋วกงซึ่งฮั่วเจ้ายวนก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ทว่าระหว่างเดินๆ อยู่นั้น จงกั๋วกงผู้นั้นพลันแข้งขาอ่อนยวบ ถึงกับล้มลงไปกองกับพื้นและศีรษะกระแทกเข้ากับผนังหินข้างๆ พอดิบพอดี
“โอย…” จงกั๋วจงกุมหน้าผาก หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นขุนนางสูงศักดิ์ฝ่ายพลเรือน ตอนนี้ก็อยากจะอ้าปากด่าทอเสียจริง “ใครขัดขาข้า!”
ฮั่วเจ้ายวนเห็นอยู่กับตาว่าจงกั๋วกงสะดุดขาตัวเองล้ม เห็นคนรอบข้างรีบเข้ามาช่วยประคอง เขาก็ปรายตามองปราดหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปโดยทันที
“ไปเชิญหมอหลวงเร็วเข้า…” บรรดาเจ้าหน้าที่ขุนนางที่เดินมาด้วยด้านหลังตระหนกตกใจไม่น้อยเช่นกัน
“เชิญหมอหลวงอะไร ข้ายังไม่อยากขายหน้าหรอกนะ ช่างเถอะ เดี๋ยวแพร่งพรายเข้าหูฮ่องเต้แล้วข้าจะไม่ขายหน้าแย่หรือ” หลังจากยกมือปาดเลือด จงกั๋วกงก็ปีนป่ายขึ้นมาจากพื้นทันที
นี่มันอะไรนักหนา