ชายหนุ่มในชุดลำลองสวมสเวตเตอร์สีเทานั่งเหยียดขายาวอยู่บนโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาด ดวงตาดำขลับคล้ายท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้แสงดาว เยือกเย็นแต่งดงามชวนหลงใหล เขามองกู้เซียงด้วยแววตาเรียบเฉยแต่เป็นกันเอง ในสีหน้าแฝงความประหลาดใจไว้เล็กน้อย
คนบางคนสามารถดูแลรูปลักษณ์ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะสิบปีก่อนหรือสิบปีให้หลังก็ไม่ต่างกัน เพราะใบหน้านี้แทบไม่มีริ้วรอยปรากฏ
กู้เซียงแทบสิ้นสติเมื่อรู้ว่าเขาคือจ่านหยาง คนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายตามอำเภอใจ ไปไหนมาไหนโดยไม่เปิดเผยแต่กลับมานั่งอยู่ตรงนี้ ทั้งยังหล่อกว่าในทีวีเสียอีก
ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เขาได้ยินเรื่องที่เธอทะเลาะกับปู๋หยู่หมดแล้ว มันอาจไม่ใช่เรื่องน่าสนใจสำหรับเขา เพราะการต้องมาปรากฏตัวที่นี่ย่อมสำคัญกว่า
หรือต้นสังกัดของเธอจะเชิญเขามาเพื่อสร้างสีสันในงาน แต่นั่นคงเป็นไปได้ยาก
กู้เซียงเริ่มสับสนกับความคิดของตัวเอง จึงกะพริบตามองจ่านหยางโดยไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเสียงของเหวินจิ้งดังขึ้นที่ด้านนอก
“เซียงเซียง อยู่ในห้องแต่งตัวหรือเปล่า?”
กู้เซียงรีบปิดประตูกระจกแล้วหันไปตอบผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันอยู่ในนี้”
เหวินจิ้งถือกำหนดการเข้ามาหา มองกู้เซียงที่ยืนอยู่กลางห้องแต่งตัวด้วยความสงสัย “ทำอะไรอยู่น่ะ?”
“กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า” กู้เซียงตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ด้วยฝีมือการแสดงที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เธอแสดงพรสวรรค์ด้านนี้ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ทิ้งความน่าสงสัยใดๆ ไว้เลย
“ไม่ต้องรีบหรอก เมื่อกี๊ฉันเจอปู๋หยู่ตรงทางเดิน อุตส่าห์ทักทายแต่ถูกเชิดใส่ สงสัยจะกินยาผิดมา” เหวินจิ้งถอนหายใจ
“คงหงุดหงิดที่ถูกฉันแย่งงานละมั้ง”
“เธอไม่ได้เป็นคนทำสักหน่อย ไปโวยลูกค้าโน่น!” เหวินจิ้งส่ายหน้าด้วยความระอา “ไปห้องแต่งตัวดารากัน หลังแต่งตัวให้เธอเสร็จ ฉันจะแต่งหน้าให้ตัวเองด้วย เผื่อได้เจอพี่จ่าน”
กู้เซียงแทบสะดุดล้ม เหวินจิ้งตกใจรีบเข้าไปคว้าแขนเอาไว้ “ระวังหน่อยสิ เมื่อคืนนอนน้อยเหรอ?”
“เปล่า” กู้เซียงปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วหันกลับไปมองห้องแต่งตัว เธอไม่คิดว่าไอดอลของผู้จัดการคนเก่งจะอยู่ในห้องแต่งตัวด้วย แถมแอบฟังบทสนทนาของคนอื่นอีก
เบื้องหลังประตูกระจก จ่านหยางขยี้ปลายจมูกที่เกือบถูกกระแทกด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะกดรับสายเรียกเข้า “อยู่ที่ห้องแต่งตัว”
“จะมาเมื่อไหร่?”
“ใกล้ๆ เดี๋ยวตัดสินใจเอง”
“อืม”
หลังวางสาย เขาลุกเดินไปเปิดประตูกระจกแล้วออกไปที่ห้องแต่งตัว ก่อนจะก้มลงหยิบกรรไกรคมกริบบนพื้น
ในห้วงความคิดของเขา บังเกิดเสียงของผู้หญิงที่เพิ่งทะเลาะกันเมื่อครู่
“คิดว่ากรรไกรของเธอหรือมือของฉันเร็วกว่ากันล่ะ?!”
จ่านหยางวางกรรไกรไว้บนโต๊ะ เดินยิ้มออกจากห้องไป
งานแถลงข่าวดำเนินไปตามกำหนดการ
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มีช่างมาแต่งหน้าให้กู้เซียง ระหว่างนั้นเธอนั่งอ่านกำหนดการไปด้วยเพื่อให้รู้ลำดับก่อนหลัง แต่ไม่ได้จดจ่ออะไรมากเพราะมัวแต่นึกถึงเรื่องของจ่านหยาง
ชาติที่แล้วกู้เซียงมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องในเวยป๋อจนไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่าย รู้แต่ว่าเขามาเมือง G แต่ไม่รู้ว่ามาร่วมงานแถลงข่าวหรือเปล่า เพราะถ้ามีจ่านหยางมาร่วมงานด้วย ผู้คนอาจไม่ใส่ใจเรื่องที่เธอเสื้อผ้าหลุดกลางงานก็เป็นได้
หากจะบอกว่าการกลับชาติมาเกิดของเธอ ทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงมากมาย เช่นนี้การแก้ไขอดีตเรื่องกระดุมเสื้อ ก็อาจทำให้แผนงานของจ่านหยางเปลี่ยนแปลงไปด้วย เว้นแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ในงาน เพราะซูเปอร์สตาร์คนนี้ค่อนข้างเก็บตัว
กู้เซียงคิดเรื่องนี้จนใจลอย เธอรู้จักจ่านหยางผ่านคำบอกเล่าของเหลียงจี้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ที่เหลือคือข่าวซุบซิบดาราทั่วไป ซึ่งแฟนคลับของจ่านหยางได้รับการยกย่องว่ามีมารยาทมากที่สุด
พฤติกรรมของแฟนคลับมักจะสะท้อนความเป็นตัวตนของไอดอล เห็นได้จากการที่จ่านหยางเป็นคนมีสัมมาคารวะ รู้กาลเทศะ และไม่เคยมีข่าวเสียๆ หายๆ เลย
พอรู้ว่าเขาไร้มลทิน เธอก็เบาใจลงมาก ต่อให้ธาตุแท้จะไม่เป็นอย่างที่คิด เธอก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่คนเลว
เหวินจิ้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นแกว่งตรงหน้ากู้เซียง “เซียงเซียง”
“หือ” กู้เซียงดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
“อีกเดี๋ยวจะขึ้นเวทีแล้ว ห้ามตื่นเต้นเด็ดขาดนะ” เหวินจิ้งกำชับ
ดาราหน้าใหม่ล้วนถูกเทรนด์เป็นอย่างดี แต่เมื่อต้องเผชิญกับผู้จัดชื่อดัง อาจตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก เผลอแสดงจุดด้อยออกมา ทำให้เสียโอกาสดีๆ ในการทำงานไป เหวินจิ้งกลัวว่ากู้เซียงจะตื่นเวทีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสื่อหลากหลายสำนัก เหมือนอย่างที่ดาราหน้าใหม่คนอื่นๆ เป็น
นอกจากงานโฆษณาเครื่องดื่มแล้ว กู้เซียงก็มีแค่บทตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องเหมยจวง ที่ไม่นับว่าเป็นการสะสมประสบการณ์ แต่เป็นการสะสมความโกรธมากกว่า
“ได้สิ” เธอตอบอย่างมั่นใจ
เหวินจิ้งหรี่ตามองกู้เซียงด้วยความสงสัย เพราะสองสามวันมานี้ เธอดูใจเย็นผิดปกติ
ที่ผ่านมากู้เซียงชอบทำตัวไร้เหตุผล เวลาไม่พอใจก็จะเปลี่ยนจากหญิงสาวผู้อ่อนโยนไปเป็นแม่ค้าปากตลาดในชั่วพริบตา
ผิวของกู้เซียงหลังลงรองพื้น ขาวเนียนเปล่งประกายเหมือนไข่ถูกปอกเปลือก เสริมใบหน้าที่อ่อนเยาว์อยู่แล้วให้ยิ่งสวยสะพรั่ง ดวงตาสุกใส ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเป็นกระจับ ผมดำขลับเป็นเงา
เดิมกู้เซียงเป็นคนสวยอยู่แล้วแต่ยังขาดความมีชีวิตชีวาและความอ่อนโยน ซึ่งนิสัยในตอนนี้เริ่มกลมกลืนกับหน้าตาของเธอแล้ว ยิ่งมีบุคลิกสุขุมนุ่มลึกน่าค้นหาประกอบด้วย ก็ยิ่งน่าจับตามอง
“เหวินจิ้ง” กู้เซียงเรียกเสียงเบา
เหวินจิ้งสะดุ้งเล็กน้อย หลังนิ่งมองอีกฝ่ายจนจมดิ่งในห้วงความคิด
ไม่มีใครรู้ว่ากู้เซียงไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว การเติบโตของคนหนึ่งคนมักโหดร้ายเสมอ อาจต้องแลกมาด้วยเวลาและน้ำตา เมื่อจิตใจเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น ชีวิตวัยสาวก็ล่วงเลยจนไม่อาจหวนคืน
ถ้าชีวิตวัยสาวเป็นเหมือนค่าเล่าเรียน การเติบโตก็เป็นเหมือนคะแนนสอบ กู้เซียงในตอนนี้คือคนที่มีคะแนนแต่ยังไม่ได้จ่ายค่าเรียน ช่างคุ้มค่าเหลือเกิน
วงการบันเทิงไม่ต่างจากโรงเรียนดัดสันดาน การที่คนโมโหร้ายอย่างเธอสามารถอยู่ได้นานหลายปี ย่อมต้องมีดีมากกว่าหน้าตา ในเมื่อมีความสามารถด้านการแสดงอยู่แล้ว เธอจึงตั้งใจจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ของตัวเองในครั้งนี้ให้ได้
ชาติที่แล้ว หลังแต่งงานกับเหลียงจี้กู้เซียงก็เปลี่ยนจากหญิงสาวแสนสวยไปเป็นแม่บ้านที่ทั้งแก่และโทรม หากกลับมาผงาดในวงการได้อีกครั้งคงเป็นเรื่องที่ท้าทายน่าดู
ด้วยเหตุนี้ หญิงวัยกลางคนที่เบื่อโลกในร่างของนักแสดงสาวสวยจึงพยายามทำให้ทุกคนมองว่าเธอเป็นคนสุขุม อ่อนโยน เลอค่า ฉายแววความเป็นซูเปอร์สตาร์ในร่างของศิลปินหน้าใหม่วัยละอ่อน จนเป็นที่จับตามองของคนทั่วไป
“พี่จ่านของเธอมีงานแถวนี้หรือเปล่า?” กู้เซียงถามเหวินจิ้ง
เนื่องจากจ่านหยางปรากฏตัวที่เมือง G ซึ่งเป็นเมืองที่ใช้ถ่ายหนังมากที่สุด แถมยังมาโผล่ในงานแถลงข่าวอีก หรือเขาจะอยากมีส่วนร่วมในซีรีส์เน็ตไอดอลที่ชื่อว่า ‘หล่อร้ายไม่ธรรมดา’
“ไม่มีนะ ไปได้ข่าวมาจากไหนเหรอ?”
พอพูดถึงไอดอล ท่าทีของเหวินจิ้งก็เปลี่ยนจากหญิงสาวบ้างานไปเป็นเด็กสาวบ้าดาราแทน
“ถ้าเขามีหนังเรื่องใหม่ คงเป็นข่าวไปนานแล้ว ไม่เงียบขนาดนี้หรอก” เหวินจิ้งขมวดคิ้วถามต่อ “ไปได้ข่าวมาจากที่ไหน?”
“ก็แค่เดา” กู้เซียงเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ “ถ้าไม่มีงาน แล้วเขามาเมือง G ทำไม?”
“คงมาเที่ยวละมั้ง” เหวินจิ้งทำหน้าเสียดาย “ได้ข่าวว่าแฟนคลับเริ่มออกมาเดินตามถนนแล้ว ฉันเองก็อยากเจอเขาเหมือนกัน ขอให้ได้เจอสักทีเถอะ เพี้ยง!”
ระหว่างกำลังสนทนา เสียงตะโกนของทีมงานก็ดังขึ้นที่ด้านนอก “เตรียมซ้อมบทกันได้แล้ว”
พอได้ยิน เหวินจิ้งก็รีบพากู้เซียงไปที่หลังเวที ซึ่งพิธีกรกำลังซ้อมบทร่วมกับดาราหน้าใหม่อยู่
หลังพิธีกรกล่าวเปิดงาน ดารารับเชิญและดาราหน้าใหม่จะทำกิจกรรมร่วมกันบนเวทีเพื่อสร้างสีสัน นับเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทหัวเซินจะได้เปิดตัวเด็กในสังกัดที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
ชาติที่แล้ว กู้เซียงทำกิจกรรมนี้พังด้วยชุดที่หลุดลุ่ย ส่วนปู๋หยู่ที่ทำทีเข้ามาดูแลด้วยความห่วงใยก็ได้รับคำชมไปเต็มๆ
ปู๋หยู่ยืนรอที่หลังเวทีเรียบร้อยแล้ว พอเห็นกู้เซียงเดินมาก็มีสีหน้ากระวนกระวาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง ตอนซ้อมบทพูดด้วยกันก็ยังใจลอยและพูดผิดบ่อยครั้ง
“ไม่สบายหรือเปล่า?” ผู้จัดการส่วนตัวของปู๋หยู่ถาม
ปู๋หยู่ไม่ตอบ ยิ่งเหลือบไปเห็นใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของกู้เซียงก็ยิ่งสะท้านไปทั้งตัว รีบขอไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ดารารับเชิญและดาราหน้าใหม่คนอื่นๆ จะขึ้นเวที พิธีกรต้องสนทนากับปู๋หยู่และกู้เซียงเพื่อเข้าสู่วัตถุประสงค์หลักของงานก่อน นั่นคือการเปิดตัวซีรีส์เรื่องหล่อร้ายไม่ธรรมดา ซึ่งนักแสดงนำเป็นแค่ดาราอันดับสองและสามเนื่องจากมีทุนสร้างน้อย
“พวกคุณเป็นวัยรุ่นด้วยกันทั้งคู่ รู้ไหมคะว่าช่วงนี้มีซีรีส์อะไรออกบ้าง?”
กู้เซียงตอบคำถามงี่เง่านี้ก่อนเป็นคนแรก “เรื่องหล่อร้ายไม่ธรรมดาไงคะ”
ปู๋หยู่รีบพยักหน้าเห็นด้วย