“ตกใจแทบแย่ ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เมื่อเธอไม่ตอบ เหวินจิ้งจึงพูดต่อ
“เมื่อกี๊ผู้กำกับโกรธมาก ถ้าเฉินซีอยากจะเปลี่ยนตัวนักแสดงก็ช่างเถอะ ไม่งั้นจะเป็นเราที่เสียเปรียบ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ บทอะไรก็ไม่สำคัญหรอก แค่เป็นที่รู้จักก็พอ”
ชื่อ ‘เฉินซี’ ฟังดูไม่ค่อยคุ้นหู แต่ไม่ทันจะได้ถาม ใครบางคนก็ตะโกนเรียกเหวินจิ้ง
เหวินจิ้งปาดเหงื่อแล้วหันมาบอกกู้เซียง “รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
ห้องพักนักแสดงค่อนข้างแคบ มีเสื้อผ้าและรองเท้าวางระเกะระกะ บนโต๊ะมีของกินเล่นและน้ำดื่มตั้งอยู่ แต่หลังจากเริ่มมีชื่อเสียง กู้เซียงก็ไม่ได้ใช้ห้องแบบนี้อีก
ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความสับสน โดยเฉพาะการได้เจอกับเหวินจิ้ง
ตอนเริ่มเข้าวงการบันเทิง เหวินจิ้งคือผู้จัดการส่วนตัวคนแรกของกู้เซียง พวกเธอมีความฝันที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน
ด้วยความที่วุฒิภาวะยังน้อย เหวินจิ้งจึงต้องอยู่เบื้องหลังเพื่อจัดการเรื่องวุ่นวายต่างๆ ให้กู้เซียง นอกจากจะคอยแก้ปัญหาให้แล้ว ยังต้องออกหน้าขอโทษบรรดาผู้กำกับและเพื่อนร่วมงานแทนเธอบ่อยครั้ง เพื่อที่ทางเดินสู่การเป็นศิลปินของกู้เซียงจะได้ราบรื่นราวกับโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เหวินจิ้งไม่ยอมให้อีกฝ่ายรักกับเหลียงจี้ เพราะตอนนั้นเธอยังเด็กมาก สนใจแค่ความต้องการของตัวเอง
เมื่อทะเลาะกันมากเข้า เหวินจิ้งก็ไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ดาราอีกคน
พอนึกถึงเหลียงจี้ กู้เซียงรู้สึกถึงความแค้นในใจ
เธอยันตัวขึ้นจากเก้าอี้ แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเหลือบไปเห็นภาพในกระจก
ในนั้นคือเด็กสาววัยแรกรุ่น ใบหน้านวลเนียนไร้เดียงสา ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ฟันขาวเรียงตัวสวย ตากลมโตดำสนิท ผมยาวสลวยเป็นมันวาวอย่างคนสุขภาพดี
เมื่อลองยกสองมือขึ้นลูบคลำใบหน้า เงาในกระจกก็เคลื่อนไหวตาม
ปลายนิ้วของเธอสัมผัสถูกผิวที่อ่อนนุ่มเนียนละเอียด ไม่ใช่ผิวที่มีแต่เครื่องสำอางหนาเตอะจากการปกปิดวัยที่เพิ่มมากขึ้นอีกแล้ว
“นี่มันฉัน… เมื่อสิบปีก่อนนี่!”
พอนึกถึงเหวินจิ้งที่ยังดูสาวและสวย กู้เซียงในเสื้อเบสบอลตัวโคร่งก็คลำกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งออกมา
มันคือโทรศัพท์รุ่นเมื่อสิบปีก่อน ภาพพักหน้าจอยังคงเป็นดาราที่เธอชื่นชอบ หลังกดปุ่มปลดล็อกด้วยมืออันสั่นเทา ด้านบนขวาสุดของหน้าจอก็ปรากฏวันที่ 16 เดือน 4 ปี 2014
“สิบปีก่อนจริงๆ ด้วย!”
กู้เซียงหยิกแขนตัวเองอย่างแรงจนผิวขาวเนียนเป็นรอยแดง ความเจ็บปวดที่ได้รับคือเครื่องยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความจริง
เธอปิดปากตัวเอง พยายามกลั้นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา น้ำตาพรั่งพรูไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่ากำลังดีใจหรือเสียใจกันแน่
“กู้เซียง”
ชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา พอเห็นกู้เซียงปิดปากร้องไห้โดยไม่มีเสียง เขาก็หน้าเจื่อนทันที
“คุณร้องไห้เหรอ? วงการนี้ไม่มีใครได้ดั่งใจไปทุกอย่างหรอกนะ รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ผู้กำกับมีเรื่องจะคุยด้วย”
พออีกฝ่ายหันหลัง กู้เซียงเช็ดน้ำตาแล้วนั่งลง สิบปีก่อนเธอเคยมาที่นี่ในฐานะดาราหน้าใหม่ ใช้เวลาช่วงพักในห้องที่แสนจะอึดอัดคับแคบแห่งนี้
เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้แสดงภาพยนตร์ แม้จะเล่นเป็นนางรองที่บทไม่มากนัก แต่กว่าจะแย่งชิงมาได้ก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน
ก่อนเข้าวงการ กู้เซียงไม่ได้มีชาติตระกูลสูงส่ง ไม่มีผู้ใหญ่คอยหนุนหลัง สิ่งเดียวที่มีคือความสวยและใบหน้าที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โชคดีที่ยุคของเธอให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมาก ขอเพียงหน้าตาดี ผู้คนก็พร้อมจะให้อภัยและเอ็นดูแล้ว แต่วงการบันเทิงมีคนหน้าตาดีแวะเวียนเข้าออกไม่ขาดสาย และส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่นาน
กู้เซียงเดินทางมาเมือง G เพื่อหางานทำ ไม่คิดว่าจะถูกแมวมองชวนไปถ่ายโฆษณาเครื่องดื่ม และได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีหลังออกอากาศ บริษัทจึงชวนเธอเข้าสังกัดเพื่อปั้นให้เป็นศิลปิน
บริษัทที่เธอเซ็นสัญญาด้วยยังไม่โด่งดังเท่าไหร่ เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ที่หลายคนมองข้าม เธอเองก็เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ งานส่วนใหญ่จึงได้มาจากการดิ้นรนและแย่งชิงอย่างหนักหน่วงของเหวินจิ้ง
ภาพยนตร์ทุนสร้างต่ำเรื่องนี้ชื่อว่า ‘เหมยจวง’ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมความรักระหว่างนักแสดงสาวกับทหารในช่วงแรกของการปฏิวัติประเทศ
เมื่อผู้กำกับสนิทกับผู้บริหารของบริษัท เหวินจิ้งจึงพยายามผลักดันให้กู้เซียงได้บทนางรอง
บทนี้มีความสำคัญไม่น้อยเพราะเล่นเป็นเพื่อนของนางเอก แม้จะไม่โดดเด่นมาก แต่ก็ได้ออกหลายฉากอยู่
สำหรับดาราหน้าใหม่ นี่คือโอกาสดีที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง
เฉินซีคือนางเอกของเรื่องนี้ แต่หากเทียบกันแล้ว กู้เซียงมีประสบการณ์และถูกจับตามองมากกว่า ต่างจากอีกฝ่ายที่ได้รับบทเด่นในภาพยนตร์เป็นครั้งแรก
กู้เซียงไม่ได้อยากจะชิงดีชิงเด่นกับใคร แต่เป็นเฉินซีที่ขอเปลี่ยนตัวนักแสดง เพราะอยากให้ ‘เฉินเหล่ย’ ลูกพี่ลูกน้องสาวได้เล่นบทนี้แทนกู้เซียง
เฉินเหล่ยมีจุดเริ่มต้นคล้ายกู้เซียง ต่างตรงที่ยังไม่เคยผ่านงานแสดง ไม่เหมือนกู้เซียงที่เคยถ่ายโฆษณามาแล้ว เธอจึงต้องอาศัยเส้นสายของตระกูลเฉินเพื่อให้ผู้กำกับยอมสลับบท
เมื่อเป็นเช่นนี้ กู้เซียงจึงต้องรับบทหญิงใบ้แทนบทนางรองที่เป็นเพื่อนนางเอก
บทของหญิงใบ้ง่ายกว่ามาก แค่หนึ่งชั่วโมงก็ถ่ายจบแล้ว เพราะไม่มีบทพูดแม้แต่บทเดียว
ที่กู้เซียงต้องแสดงคือฉากเดินทางผ่านหมู่บ้านของเหล่าทหาร พวกเขาบังเอิญเจอกับหญิงใบ้ที่กำลังซักผ้า ก่อนที่เธอจะชี้บอกทางให้
นี่คือทั้งหมดที่กู้เซียงต้องแสดง จากตัวประกอบที่พอจะมีบทพูดอยู่บ้าง เปลี่ยนไปเป็นนักแสดงที่ไม่มีบทพูดและออกเพียงฉากเดียว เป็นใครจะยอมรับได้ เช่นนี้เธอจึงมีปากเสียงกับผู้กำกับ รวมถึงเฉินซีด้วย
ระหว่างคนที่ไม่เคยมีผลงานด้านการแสดง กับคนที่เป็นนางเอกหน้าใหม่อย่างเฉินซี แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต้องเลือกเข้าข้างนางเอก
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว กู้เซียงถูกรุมตำหนิจนเป็นลม ทำให้ต้องไปโผล่อยู่ที่ห้องพักนักแสดง
เมื่อนึกย้อนถึงการกระทำที่ผ่านมา เธอก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่ามาก
ผู้บริหารระดับสูงเรียกเธอไปอบรม ทั้งยังกำชับให้สงบเสงี่ยมเจียมตัว จนเหวินจิ้งต้องออกหน้าไปขอโทษผู้กำกับและพี่น้องตระกูลเฉินแทน ไม่อย่างนั้นกู้เซียงจะไม่มีโอกาสได้แสดงแม้แต่บทของหญิงใบ้
เมื่อไม่พอใจกับบทบาทที่ได้รับ เธอจึงแสดงแบบขอไปที ภายหลังเมื่อกลายเป็นคนมีชื่อเสียง จึงถูกชาวเน็ตหยิบยกผลงานเก่าๆ ขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์
“นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว หล่อนก็ไม่มีอะไรโดดเด่น โดยเฉพาะความสามารถด้านการแสดง”
“เล่นแข็งทื่อเหมือนแจกัน* ที่ไร้ชีวิต”
ตอนนั้นเธอแค่ทำในสิ่งที่แจกันควรจะทำ แต่กู้เซียงในวันนี้ไม่ได้คิดเหมือนเดิมอีกแล้ว
แม้หน้าตาจะเป็นส่วนสำคัญ แต่ฝีมือการแสดงก็สำคัญไม่แพ้กัน
เพราะเคยมีประสบการณ์ เธอจึงรู้ว่าทุกครั้งที่ปรากฏตัวหน้ากล้องมีความหมายเพียงใด นักแสดงที่ฉลาดจะไม่ทิ้งโอกาสในการแสดงแม้แต่ครั้งเดียว
อาจเพราะตอนนั้นยังเด็กเลยคิดไม่ได้ ในเมื่อวันนี้เข้าใจทุกอย่างแล้ว เธอจึงปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำตัวเป็นดาราหน้าใหม่ที่ไร้ประสบการณ์อีก
กู้เซียงเดินไปหยุดที่หน้ากระจก หญิงสาวในนั้นงดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชื่อดัง
ที่ผ่านมาเธอแทบไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยปละละเลยจนร่างกายทรุดโทรม เหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าชีวิตวัยสาวนั้นสำคัญเพียงใด รูปโฉมที่งดงามนั้นมีค่าแค่ไหน
“มีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่ จะต้องกลัวอะไรอีก!” เธอพึมพำกับตัวเอง
กู้เซียงจะทวงคืนทั้งรูปโฉม หน้าที่การงาน และตำแหน่งในวงการบันเทิงทั้งหมด ยกเว้นผู้ชายเฮงซวยคนนั้น
แม้แต่ความตายเธอก็ไม่กลัว ก็แค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของกู้เซียง ก่อนที่เธอจะผลักประตูแล้วก้าวออกจากห้องพักนักแสดงด้วยความมั่นใจ
ผู้กำกับกำลังหารือเรื่องเปลี่ยนตัวนักแสดงกับเฉินซีและเฉินเหล่ย
พอเห็นกู้เซียงเดินเข้ามา ทุกคนก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะเมื่อครู่เพิ่งจะมีปากเสียงกันใหญ่โต
บรรยากาศภายในห้องทำเหวินจิ้งรีบกระซิบถามกู้เซียง “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“สบายมาก” เธอตอบ
เธอไม่ใช่คนใจเย็น แม้จะแต่งงานกับเหลียงจี้แล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนนิสัยใจร้อนได้ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงความโกรธออกมา
ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ‘เกาลี่’ เดินออกมาจากด้านข้าง รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา รับงานภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง แต่ไม่เคยเล่นหนังรักสักครั้ง
เกาลี่ไม่อยากเกี่ยวข้องกับการมีปากเสียงของนักแสดงหญิง จึงพยักหน้าให้กู้เซียงตามมารยาท แต่พอเธอยิ้มตอบ เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย
เฉินซีปรายตามองกู้เซียงเพราะไม่เคยเจอดาราหน้าใหม่ที่ไม่รู้กาลเทศะขนาดนี้มาก่อน แต่กู้เซียงไม่สนใจ ยังเดินไปขอโทษผู้กำกับด้วยท่าทางสำนึกผิด “ต้องขอโทษผู้กำกับที่เมื่อครู่ฉันอารมณ์ร้อนเกินไป ตอนนี้ฉันอารมณ์เย็นลงแล้ว เริ่มถ่ายกันเลยดีไหมคะ”