แม้ห้องเช่าของเธอจะเล็ก แต่ก็ตกแต่งอย่างอบอุ่น กู้เซียงค่อยๆ ลูบคลำสิ่งของในบ้าน ราวกับกำลังสัมผัสความทรงจำที่เพิ่งผ่านพ้น
น่าแปลกที่เฟอร์นิเจอร์แสนจะธรรมดาเหล่านี้ทำเธอรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด ดอกไม้ทุกดอกล้วนเป็นฝีมือการประดับตกแต่งของเธอ ไม่ใช่ของที่สามีซื้อให้เพื่อเอาใจ
พอลองเปิดประตูตู้เย็น เธอก็พบกับเบียร์จำนวนมากและของกินเล่น คนหนุ่มสาวมักจะมองว่าตัวเองอายุยังน้อย ชอบทำตามอำเภอใจ พอแก่ตัวจึงสำนึกได้
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่กู้เซียงต้องเข้าโรงพยาบาลก่อนจะเสียชีวิตในชาติที่แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นโรคซึมเศร้า เธอยังเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบขั้นรุนแรงที่เกิดจากนิสัยการกินผิดๆ สมัยยังสาวอีกด้วย
หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็รินน้ำเปล่าใส่แก้ว
ขณะกำลังจะยกขึ้นดื่ม เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น—ดึกป่านนี้แล้ว ไม่เกรงใจกันบ้างเลย!
กู้เซียงเดินไปที่ประตูหน้าแล้วมองลอดตาแมว ภาพที่เห็นทำเธออึ้งเล็กน้อย พอตั้งสติได้ก็เปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน
เขาคือเด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี สวมชุดกีฬา สูงกว่ากู้เซียงหนึ่งช่วงศีรษะ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ
“ได้ยินว่าถูกคนที่กองถ่ายรังแกอีกแล้ว!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“กู้หนาน?” กู้เซียงพึมพำ
หลังจากที่พ่อกับแม่หย่ากันตอนเธออายุได้ห้าขวบ ‘กู้ฉางชุน’ ผู้เป็นพ่อก็พาน้องชายของเธอออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยาใหม่
‘กู้หมู่’ คือแม่ที่เกียจคร้านและขี้ระแวง จากมุมของผู้เห็นเหตุการณ์ กู้เซียงพอจะเข้าใจเรื่องที่พ่อของเธอไปมีหญิงอื่น
หลังหย่าร้างได้ไม่นาน ผู้เป็นแม่ก็แต่งงานและมีลูกกับสามีใหม่ เธอจึงวางตัวค่อนข้างลำบาก รู้สึกเหมือนเป็นคนนอกอยู่ตลอดเวลา
พอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย กู้เซียงก็ย้ายออกจากบ้านเพื่อไปเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ห่างไกล ครั้นเรียนจบก็เดินทางไปเมือง G เพื่อหางานทำและเริ่มต้นชีวิตใหม่
กู้ฉางชุนไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาวอีกเลยหลังแต่งงานใหม่ แต่เมื่อรู้ว่าเธอย้ายมาอยู่เมือง G ก็พยายามจะชดเชยให้ แต่กู้เซียงปฏิเสธที่จะไปมาหาสู่กับเขา
แม้จะได้เจอกับกู้หนาน เธอก็ไม่รู้สึกยินดีเพราะจากกันนานกว่าสิบปีแล้ว ความรู้สึกของคนเราไม่อาจเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งกู้เซียงมีปมเรื่องที่ผู้เป็นพ่อเลือกน้องชายแทนที่จะเลือกเธอ ทำให้ต้องเติบโตท่ามกลางปัญหาครอบครัว ต้องดิ้นรนออกจากบ้านราวกับคนบ้า
ชาติก่อนกู้ฉางชุนกับกู้หนานมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลหลังบุกไปต่อยตีเหลียงจี้ แต่กู้เซียงกลับไม่สนใจพวกเขา แม้แต่วันที่เข้าพิธีแต่งงานก็ไม่บอกให้รู้
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นรังแกได้?” เห็นอีกฝ่ายเอาแต่เหม่อลอย เขาก็กำหมัดแน่นขึ้น “พวกมันเป็นใคร ฉันจะไปจัดการเอง!”
จู่ๆ ร่างบอบบางตรงหน้าก็สวมกอดเขาราวกับจากกันมานาน กู้หนานได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง
ตั้งแต่กู้เซียงปรากฏตัวที่เมือง G กู้หนานกับกู้ฉางชุนก็พยายามเข้าหาเพื่อประสานรอยร้าว แต่ไม่เป็นผล เขารู้ดีว่าพี่สาวต้องผ่านชีวิตที่ย่ำแย่เพียงใด จึงไม่สนับสนุนให้เข้าวงการบันเทิง แต่หากเธอตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
กู้เซียงพยายามตีตัวออกห่างพวกเขาทุกวิถีทาง แม้จะโมโหอยู่บ้าง แต่กู้หนานก็ไม่คิดทอดทิ้งเธอ เพราะยังไงก็พี่น้องท้องเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เซียงกอดเขาหลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน ทำให้ค้นพบว่าพี่สาวที่แสนจะเย็นชาและปากร้าย แท้จริงแล้วอ่อนไหวเพียงใด
กู้หนานขยับริมฝีปากคล้ายจะพูดบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน กู้เซียงจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดแล้วพูดกับน้องชาย
“เข้ามาข้างในเถอะ”
แม้จะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ยอมเดินตามพี่สาวเข้าไปในห้อง
“กินข้าวหรือยัง?” เธอถาม
“กินแล้ว” กู้หนานลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอก นายกลับเร็วหน่อยแล้วกัน พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่เหรอ?”
กู้หนานยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แต่พอได้ยินว่าพี่สาวทะเลาะกับคนในกองถ่ายเรื่องแย่งบท ก็รีบมาหาเพราะรู้ดีว่าเธออารมณ์ร้อนแค่ไหน
“เลิกเป็นดาราเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “บริษัทของพ่อกำลังขาดคน อยากให้พี่ไปช่วยบริหาร”
กู้ฉางชุนไม่มีลูกกับภรรยาใหม่ จึงมีทายาทเพียงสองคนคือกู้หนานกับกู้เซียงเท่านั้น
ได้ยินที่น้องชายพูด เธอก็ไม่ตอบโต้ด้วยความโมโหเหมือนที่ผ่านมา “ฉันชอบการแสดง”
“อะไรนะ?” กู้หนานขมวดคิ้วแน่น
“คอยดูแล้วกัน ฝีมือฉันไม่แพ้นักแสดงคนอื่นแน่นอน” เธอยกยิ้มมุมปาก
“บ้าไปแล้วเหรอไง?” เขาอดไม่ได้ที่จะพูดตรงๆ
“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”
สองพี่น้องเงียบกันไปพักใหญ่ กู้หนานไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเรื่องที่เกิดในวันนี้ รวมถึงพฤติกรรมของพี่สาวที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำเขารู้สึกกังวล กลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดมากจนกลายเป็นบ้า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ฉันกลับก่อนนะ”
ที่หน้าประตู กู้หนานลังเลเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า “จริงสิ คิดจะไปเยี่ยมพ่อเมื่อไหร่?”
เขาไม่ได้คาดหวังกับคำตอบ เพราะการที่กู้เซียงอ่อนลงไม่ได้หมายความว่าเธอจะทำใจยอมรับพ่อแท้ๆ ได้
“ไว้จะหาเวลาไปเยี่ยมแล้วกัน”
คำตอบนี้ทำกู้หนานตะลึงค้าง
“ยังไม่รีบไปอีก” กู้เซียงผลักไหล่น้องชาย
“อืม”
หลังอีกฝ่ายกลับไปแล้ว กู้เซียงก็ยืนพิงประตูแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชาติที่แล้วเธอไม่เคยให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว เมื่อได้กลับมาเกิดอีกครั้ง จึงรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดนั้นมีค่าเพียงใด หากมีญาติพี่น้องคอยอยู่เคียงข้าง เธออาจไม่เป็นโรคซึมเศร้าและไม่มีจุดจบเหมือนที่ผ่านมา ขณะกำลังครุ่นคิด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เซียงเซียง ได้อ่านเวยป๋อบ้างหรือเปล่า?” เหวินจิ้งถามเสียงเครียด
“ยังไม่ได้อ่านเลย มีอะไรเหรอ?”
“เฉินเหล่ยเพิ่งโพสต์ข้อความพาดพิงเธอ!”
v
“พาดพิง?”
กู้เซียงยังไม่ดังถึงขั้นที่มีคนคอยติดตาม เวยป๋อของเธอจึงมีเพื่อนไม่ถึงหมื่นคน ส่วนหนึ่งคือแฟนคลับที่มาจากการปั่นกระแสของเหวินจิ้ง แต่วันนี้กลับถูกพูดถึงกว่าพันข้อความ
เทรนด์อันดับหนึ่งในเวยป๋อถูกโพสต์โดยเฉินเหล่ย ข้อความเชิงกระแนะกระแหนของเธอพูดถึงดาราหน้าใหม่คนหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนบทจนอาละวาดใส่ผู้กำกับและทีมงานในกองถ่าย ตบท้ายด้วยการแท็กเวยป๋อของเฉินซี
“มั่นหน้าจริงๆ ฉันละยอมเลย!” เฉินซีพิมพ์ตอบแล้วกดแชร์โพสต์นี้
แม้เฉินซีจะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ด้วยความที่เติบโตมาจากวงการภาพยนตร์ เธอจึงโดดเด่นกว่าคนอื่น รวมถึงแฟนคลับที่ติดตามก็มากกว่ากู้เซียงหลายเท่าตัว
โพสต์ดังกล่าวยิ่งร้อนแรงมากขึ้น เมื่อมีคนในมาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
“พี่ชายของฉันทำงานในกองถ่าย ดาราหน้าใหม่คนนั้นฟาดงวงฟาดงาและด่าเฉินซีจนร้องไห้เลย” จากนั้นก็แท็กชื่อกู้เซียง
ข้อความนี้ถูกดันจนกลายเป็นความคิดเห็นยอดนิยมอันดับหนึ่ง ทำให้กู้เซียงถูกด่ามากขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นแค่เด็กใหม่ กล้าหาเรื่องขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ดราม่าขนาดนี้ ยิ่งปั่นก็ยิ่งดังนะ”
“น่าสงสารเสี่ยวเฉิน ต้องรับมือกับพวกอยากดังจนเก็บอาการไม่อยู่แบบนี้!”
“ใจดีจริงๆ ขอเป็นแฟนคลับด้วยคนดีกว่า”
ทั้งเวยป๋อเต็มไปด้วยคำด่าและคำดูหมิ่นกู้เซียงจากทั่วสารทิศ ในฐานะดาราหน้าใหม่ ถือว่าเฉินซีประสบความสำเร็จในการสร้างกระแส รวมถึงเฉินเหล่ยที่ได้ดังทางลัด เพราะบรรดาความคิดเห็นเหล่านั้นมีหน้าม้ารวมอยู่ไม่น้อย
“เซียงเซียง ห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามนะ! วงการนี้มีแต่เสือ สิงห์ กระทิง แรด ถ้าตอบโต้จะเป็นผลเสียกับเราเปล่าๆ” เหวินจิ้งเตือนด้วยเหตุผล
“รู้แล้วน่ะ”
เหวินจิ้งตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจเย็น “งั้นก็พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปงานแถลงข่าวอีก”
หลังวางสาย กู้เซียงไล่อ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเฉินเหล่ยอย่างละเอียด
การได้เริ่มต้นใหม่หลังผ่านไปสิบปี ทำให้เรื่องนี้ดูไร้สาระมากสำหรับเธอ ไม่คู่ควรที่จะลดตัวลงไปแปดเปื้อน แต่ชาติที่แล้ว เธอไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ จึงเปิดโปงเฉินเหล่ยเรื่องที่ใช้เส้นสายของเฉินซีในการเปลี่ยนบทให้ตัวเอง
ไม่มีใครเชื่อเธอแม้แต่คนเดียว ทั้งยังติดแฮชแท็กในเวยป๋อด้วยว่า #กู้เซียงไสหัวออกไปจากวงการ
เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของกู้เซียงด่างพร้อย ทุกคนพากันลงความเห็นว่าเธอเป็นพวกอารมณ์รุนแรง เห็นแก่ตัว เรื่องมาก และไม่มีสัมมาคารวะ
อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง แต่เรื่องราวยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
เธอไม่ได้จดจำเลขลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหรือหุ้นตัวที่จะขึ้นราคา ทุกความทรงจำมีเพียงประสบการณ์ของการฝ่าฟันเพื่อเข้าสู่วงการบันเทิง ความสำเร็จ ความล้มเหลว พัฒนาการด้านการแสดง และวีรกรรมในกองถ่าย
แค่เรื่องใส่ร้ายป้ายสีกันในโซเชียล เหวินจิ้งยังต้องเตือนเธอด้วยความเป็นห่วง แต่หลังจากที่เกิดเรื่องของเหลียงจี้ ก็ไม่มีอะไรใหญ่พอจะทำให้เธอโมโหได้อีก ไหนจะถูกด่าว่าเป็นเมียน้อยทั้งที่เป็นเมียหลวงตามกฎหมาย ต้องกลายเป็นหญิงสารเลวในสายตาของคนทั้งประเทศ ชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้
การที่เฉินเหล่ยคิดอยากสร้างกระแสให้กับตัวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับกู้เซียง หากเธอตอบโต้ก็จะยิ่งเข้าทางของอีกฝ่าย