กู้เซียงมีบทพูดเพียงประโยคเดียว ส่วนปู๋หยู่จะมากกว่าหน่อย แต่สำหรับดาราหน้าใหม่การได้ยืนอยู่บนเวทีก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว
พิธีกรยังคงถามต่อ “พวกคุณรู้จักเรื่องนี้ด้วย กำลังรอดูอยู่เลยใช่ไหมคะ?”
คราวนี้ปู๋หยู่ต้องเป็นคนตอบว่ากำลังรอดูนักแสดงชายหญิงมากความสามารถอยู่ แต่เธอกลับนั่งนิ่ง ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
ปู๋หยู่ยังเป็นเด็กใหม่ อาจประหม่าหรือช็อตไมค์ไปบ้าง ยิ่งเพิ่งจะถูกกู้เซียงจับได้ในห้องแต่งตัวมา ก็ยิ่งกังวลจนจำบทที่ซ้อมไม่ได้ ในหัวจึงมีแต่ความว่างเปล่า
ผู้คนที่มาร่วมงานต่างรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัด พิธีกรจึงคิดจะกู้สถานการณ์ แต่เป็นกู้เซียงที่พูดขึ้นก่อน
“ต้องรอดูแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ซีรีส์เรื่องนี้…”
เธอตอบอย่างคล่องแคล่ว พูดทุกคำที่เป็นบทของปู๋หยู่ออกมาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
สื่อทุกสำนักมองออกว่าปู๋หยู่ลืมบทแต่ได้กู้เซียงมาช่วยกู้สถานการณ์อย่างแนบเนียน ที่น่ายกย่องกว่าคือความกล้าหาญของเธอ ไม่มีดาราหน้าใหม่คนไหนสามารถพูดนอกบทเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา แต่เธอกลับทำได้อย่างแยบยล
ภายในห้องรับรอง จอโทรทัศน์กำลังฉายภาพบนเวทีงานแถลงข่าว โดยมีชายหนุ่มในชุดลำลองและชุดสูทยืนกอดอกดูอยู่
“ขนาดไม่ใช่เวทีใหญ่ ยังตื่นเต้นจนลืมบท” คนที่สวมชุดสูทพูดขึ้นก่อน
พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน จึงหันไปมองแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนมองกู้เซียง “นายชอบเด็กใหม่คนนี้เหรอ? แต่ก็สวยจริงๆ นะ”
“ฝีมือการแสดงไม่เลว” จ่านหยางตอบเสียงเรียบแล้วดันมือของอีกฝ่ายออกจากบ่า
พิธีกรแนะนำดารารับเชิญและดาราหน้าใหม่ตามกำหนดการ
ที่ด้านหลังเวที กู้เซียงนั่งพักดื่มน้ำที่เหวินจิ้งส่งให้ด้วยสีหน้าราบเรียบ ต่างจากปู๋หยู่ที่มีสีหน้าย่ำแย่เพราะรู้สึกอับอายอย่างมาก
หลังจบงานแถลงข่าว ปู๋หยู่ถูกบริษัทเรียกไปอบรมแบบเดียวกับกู้เซียงเมื่อชาติที่แล้ว
ดูเหมือนเรื่องที่เธอลืมบทพูดจะผิดน้อยกว่า จึงถูกลดบทบาทไปแค่ระยะหนึ่ง ไม่เหมือนกู้เซียงที่ถูกพักงานกว่าครึ่งปี
“ปู๋หยู่เป็นอะไรของหล่อน?” เหวินจิ้งพูดด้วยความประหลาดใจ “ก่อนหน้านี้ก็เคยออกกล้อง ทำไมวันนี้ถึงตื่นเต้นขึ้นมาได้”
กู้เซียงทำเพียงยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร
ปู๋หยู่ที่เคยร่าเริงและพยายามหาโอกาสโดดเด่นหน้ากล้องตลอดเวลากลับทำพลาดอย่างน่าละอาย
ชาติที่แล้ว ฝ่ายนั้นเหยียบบ่าของกู้เซียงเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูง แต่ชาตินี้เหตุการณ์กลับพลิกผันโดยที่กู้เซียงไม่ต้องทำอะไรเลย
เหวินจิ้งคิดอยู่นาน เมื่อหาเหตุผลไม่ได้จึงหันมาชื่นชมกู้เซียงต่อ “วันนี้เธอเก่งมากเลยนะ ไม่ตื่นเต้นสักนิดเดียว อีกไม่นานฉันคงได้ถ่ายรูปคู่กับจ่านหยางแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ กู้เซียงก็สำลักน้ำออกมา “รักษาจรรยาบรรณในอาชีพหน่อยได้ไหม!” เธอกลอกตามองบน “ไม่ใช่อะไรก็เอามาโยงกับเขาหมด!”
ที่อีกฟากหนึ่งในห้องรับรองพิเศษ ถางรุ่ยตบบ่าจ่านหยางแล้วถามตรงๆ “บอกฉันมาว่านายชอบเด็กใหม่คนนั้นหรือเปล่า แล้วรู้ได้ยังไงว่าเธอแสดงหนังได้ดี?” ถางรุ่ยมีผมสีน้ำตาลเข้ม หยักศกเล็กน้อย หน้าตาค่อนไปทางคนยุโรป มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกครึ่ง “เราเป็นเพื่อนกัน ยังไงฉันก็ช่วยนายอยู่แล้ว”
หากถางรุ่ยคือภาพวาดสีน้ำมันแสนงดงามของฝั่งตะวันตก จ่านหยางก็คือภาพวาดหมึกดำแสนวิจิตรของจีน ผมของเขาดำขลับ ช่วยขับผิวที่ขาวอยู่แล้วให้กระจ่างยิ่งขึ้น เผยราศีของผู้ดีมีสกุลออกมาอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้” จ่านหยางส่ายหน้า
ถางรุ่ยทำแก้มป่องเหมือนเด็กน้อยตอนกำลังงอน “งั้น… ทำไมนายรู้ว่าเธอแสดงดีล่ะ?”
จ่านหยางหลุบตาลงต่ำ คิดถึงเหตุการณ์ดุเดือดในห้องแต่งตัว ตอนนั้นกู้เซียงเหมือนพร้อมจะเอามีดไล่แทงคนอื่น แต่พอขึ้นเวทีกลับพลิกบทบาทราวกับเป็นดาราใหญ่ที่ผ่านกล้องมามาก ทั้งยังพูดสคริปต์ของคนอื่นได้อย่างคล่องแคล่วอีก เหลือเชื่อจริงๆ
“เผลอยิ้มอีกแล้ว” ถางรุ่ยแซว “ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าสาวสวยคนนั้นเป็นใคร!”
“ฉันไม่รู้จักเธอสักหน่อย”
“ไม่เชื่อ!” ถางรุ่ยทำหน้ารู้ทัน “ฉันจะให้ที่รักของฉันไปสืบ!”
ถางรุ่ยโตมาด้วยกันกับจ่านหยาง ดาราดังที่ไม่เคยมีข่าวเสียๆ หายๆ ต่างจากเขาที่มีแต่ข่าวเชิงลบ ทั้งเจ้าชู้ เพลย์บอย และเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า
ในแง่ของการทำงาน ถางรุ่ยคือโปรดิวเซอร์มือทองคนหนึ่ง ดาราชายหญิงมากมายอยากจะร่วมงานกับเขา แต่ด้วยความที่เป็นคนตรงไปตรงมา เน้นความสามารถมากกว่าหน้าตา ต่อให้สวยหรือหล่อแค่ไหนก็ไม่ได้รับอภิสิทธิ์ทั้งนั้น ที่ถางรุ่ยปรากฏตัวในงานนี้ ก็เพราะแฟนใหม่เป็นนักแสดงหญิงอันดับสามในละครเรื่องหล่อร้ายไม่ธรรมดา
“อุตส่าห์กลับมาทั้งที นายสนใจจะเล่นเป็นพระเอกในละครที่เตรียมออกฉายปลายปีนี้ของฉันไหมล่ะ?”
“ฉันไม่รับบทพระเอก” จ่านหยางปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ทำไมล่ะ?” ถางรุ่ยทำหน้าเสียดาย “เกิดมาเพื่อเป็นพระเอกแท้ๆ กลับเอาแต่เล่นเป็นตัวประกอบ ไม่อยากลองอะไรที่ท้าทายบ้างเหรอ?”
“ไม่อยาก”
“มั่นหน้าเหลือเกินนะ!” ถางรุ่ยเบ้ปาก
เงื่อนไขในการรับงานของจ่านหยางคือไม่เล่นหนังรัก ไม่เล่นเป็นพระเอก เพราะตอนที่เข้าวงการใหม่ๆ เขาเคยเล่นเป็นพระรองแต่ความหล่อกลับไปแย่งซีนคนอื่น จึงรับแค่บทตัวประกอบเล็กๆ ตั้งแต่นั้นมา
คนที่ไม่เข้าใจจะมองว่าเขาหยิ่ง แค่มาวิ่งเล่นหางานอดิเรกในวงการเท่านั้น แต่ถางรุ่ยรู้ดีว่าจ่านหยางมีเหตุผลอะไร เขาไม่อยากถูกวงการบันเทิงจำกัดอิสรภาพ ยิ่งดังก็จะยิ่งถูกคาดหวัง เหมือนอย่างดาราอีกหลายๆ คนที่ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้
ด้วยสถานะและนิสัยของจ่านหยาง ทำให้ไม่สามารถปักหลักอยู่ในวงการบันเทิงได้นาน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเก็บซ่อนความปรารถนาในชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่เขาสามารถทำได้โดยไม่ถูกแฟนคลับเกลียด
ถางรุ่ยส่งสายตาวิงวอน “ฉันยังหานักแสดงมาเล่นเป็นพระเอกไม่ได้ ถ้านายไม่รับ ฉันคงต้องเล่นเอง…”
“บทประมาณไหนล่ะ?” จ่านหยางถาม
“เป็นมาเฟีย มีเงิน มีอำนาจ เย่อหยิ่ง ทะนงตน ป่าเถื่อน เพอร์เฟกต์!” ถางรุ่ยตอบอย่างมั่นใจ “หลังงานแถลงข่าว ไปกินข้าวกับที่รักของฉันกัน”
“ไม่อะ” จ่านหยางโบกมือ “เอากุญแจมา ฉันจะกลับก่อน”
พอได้กุญแจเขาก็ลุกขึ้นยืน สวมแว่นตาดำ ดึงหมวกปิดหน้ากว่าครึ่งแล้วเดินออกประตูไป
“เคลาส์ ถ้านายชอบเธอจริงๆ ให้ฉันช่วยดีไหม?” ถางรุ่ยตะโกนถามไล่หลังด้วยการเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม
จ่านหยางยังคงเดินต่อโดยไม่หันกลับมามอง
กระทั่งอีกฝ่ายคล้อยหลังไป ถางรุ่ยที่ยืนลูบคางครุ่นคิดก็พึมพำกับตัวเอง
“หล่อนชื่อกู้เซียงสินะ”
หลังจบงานแถลงข่าว ดารารับเชิญพากันเดินลงจากเวทีเพื่อไปให้สัมภาษณ์กับสื่อสำนักต่างๆ
เหวินจิ้งพากู้เซียงเดินวนรอบงาน โอกาสของดาราหน้าใหม่มักเกิดจากความบังเอิญเหล่านี้ ก่อนหน้ากู้เซียงทำผลงานไว้ดีมาก การกู้สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เธอเป็นที่จับตามองของแขกในงาน รวมถึงผู้กำกับอย่างเถียนลี่ด้วย
ถ้าไม่นับจ่านหยางที่เป็นซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง เถียนลี่ก็คือแขกรับเชิญที่ทรงอิทธิพลที่สุดในงาน เขาคือชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปี สวมแว่นสายตา รูปร่างสูงโปร่ง บุคลิกเหมือนนักวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้กำกับ
หลังจากเป็นผู้ช่วยผู้กำกับอยู่หลายปี เขาก็ไต่เต้าขึ้นเป็นผู้กำกับเต็มตัวและผลิตภาพยนตร์ดีๆ ออกมาจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ได้ใช้ทุนสร้างมากมาย ยอดขายไม่หวือหวา แต่กลับได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างล้นหลาม
ภาพยนตร์ที่ดีไม่ได้ตัดสินจากยอดขาย บางเรื่องแทบขายไม่ได้ แต่กลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่อยู่คู่วงการอย่างไม่อาจทำลายสถิติได้
ผู้ชมคือผู้ตัดสินที่ดีที่สุด ไม่ใช่ยอดขายที่ถล่มทลายหรือทุนสร้างที่มหาศาลอลังการ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนดูให้ความสนใจจนหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์ หรือหลงเหลือความซาบซึ้งใจไว้ให้บ้างหรือไม่
เถียนลี่คือผู้กำกับที่ถนัดสร้างภาพยนตร์จากพื้นฐานความเป็นจริง เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ถูกขายไปอยู่ในหมู่บ้านบนเขา ครอบครัวที่ขายลูก และรักร่วมเพศที่สังคมไม่ยอมรับ โดยหนังของเขาจะสะท้อนสังคมให้ผู้คนได้ฉุกคิด ตั้งแต่ประเด็นของชีวิตในชนบทไปจนถึงสังคมไฮโซ
กู้เซียงเคยตอบรับคำเชิญจากเถียนลี่ให้ไปแคสต์งานทั้งที่ไม่ชอบหนังประเภทนี้ เมื่อไม่ตั้งใจแสดงจึงไม่ผ่านการคัดเลือก
แต่เมื่อมีโอกาสได้พบกับเถียนลี่อีกครั้ง เธอจะไม่ปล่อยให้เป็นแบบในอดีตอีกแล้ว
“คุณกู้” เถียนลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ผมมีหนังเรื่องหนึ่งกำลังถ่ายทำอยู่ สนใจจะไปคัดตัวนักแสดงช่วงเสาร์อาทิตย์นี้ไหมครับ?”
เหวินจิ้งดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ “เป็นบทประมาณไหนคะ?”
กู้เซียงเริ่มเส้นทางการแสดงจากตัวประกอบไร้ชื่อ การถูกผู้กำกับชื่อดังชวนไปคัดตัวนักแสดงนับว่าดวงดีมากๆ เถียนลี่มองเหวินจิ้งแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “หนังเรื่องนี้มีหลายตอนครับ ผมกำลังหานางเอกของแต่ละตอนอยู่”
“นางเอก?”
หนังเรื่องนี้แบ่งออกเป็นสี่ตอน แต่ละตอนจะมีนางเอกเป็นของตัวเอง ซึ่งจะใช้ดาราอันดับสามเล่นเป็นส่วนใหญ่
เหวินจิ้งตื่นเต้นจนออกนอกหน้า กลายเป็นกู้เซียงที่ต้องเจรจากับเถียนลี่แทน “ฉันสนใจค่ะ ขอบคุณผู้กำกับมากๆ รบกวนทิ้งเบอร์ติดต่อทีมงานไว้ด้วยนะคะ”