กู้เซียงใช้แรงมหาศาลในการลืมตา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์เพื่อรับสายของเหวินจิ้ง
“เซียงเซียง ฉันมีข่าวดีมาบอก! ผู้กำกับละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนอยากให้เธอไปร่วมเล่นเป็นนางเอกอันดับสาม ตอนนี้บริษัทงงเป็นไก่ตาแตกเลย!”
กู้เซียงพยายามจับใจความด้วยอาการงัวเงีย บทของฟางฟางที่คิดว่าได้แน่นอนกลับหลุดมือไป แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าความสามารถเพียงอย่างเดียวใช้ในวงการบันเทิงไม่ได้ ต่อให้กลับชาติมาเกิด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ศัตรู
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ยังไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน ได้ยินว่ามีคนประทับใจตอนที่เธอไปแคสต์งานเรื่องคืนรัง เลยไปแนะนำกับผู้กำกับเวิน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ ตอนแรกบริษัทอยากให้เธอรับงานแสดงเล็กๆ เพื่อสะสมฐานแฟนคลับไปก่อน แต่กลับมีละครใหญ่มาให้เล่นซะนี่”
กู้เซียงกะพริบตาถี่ๆ เรื่องที่ตั้งใจกลับพลาด เรื่องที่ไม่ตั้งใจกลับได้
“ละครเรื่องอะไร ใกล้เปิดกล้องหรือยัง ทำไมถึงยังไม่ได้นางเอกอันดับสามอีก?”
“เป็นละครแนวพีเรียดน่ะ เห็นว่าเปิดกล้องเดือนหน้า ที่จริงพวกเขาได้ตัวแสดงแล้วแต่เปลี่ยนใจมาเลือกเธอแทน เอาเป็นว่าหาเวลาไปเซ็นสัญญากันดีกว่า ฉันให้คนดูเอกสารแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้าเธอติดใจตรงไหน ค่อยคุยเรื่องรายละเอียดยิบย่อยกันอีกที”
“เปิดกล้องเดือนหน้างั้นเหรอ?” กู้เซียงพึมพำ
หลังจากที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยกลางงานแถลงข่าวเมื่อชาติที่แล้ว เธอก็ถูกพักงานและเก็บตัวอยู่แต่ในคอนโดนานกว่าครึ่งปี
นอกจากเหวินจิ้งกับกู้หนานที่มาเยี่ยม กู้เซียงเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ชีวิตดำเนินไปอย่างยากลำบาก การถูกเชิญไปร่วมเล่นละครในครั้งนี้ ทำให้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีก
“ตกลงตามนั้น” กู้เซียงตอบ
ถ้าเดือนหน้าเปิดกล้องก็แปลว่าเธอจะถูกจัดตารางงานจนแทบไม่มีเวลาว่าง
“เดี๋ยวฉันไปหาที่บ้านนะ”
“โอเค” ขณะกำลังจะวางสาย กู้เซียงก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงถามไปว่า “ละครชื่อว่าอะไรเหรอ?”
“เป็นละครดัดแปลงจากบทประพันธ์ที่เกี่ยวกับสงครามในวังเรื่องฉีโฮ่วจ้วนน่ะ”
โทรศัพท์ในมือของกู้เซียงหลุดร่วงลงพื้นทันที
ภายในห้อง ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งประจันหน้ากัน
“คิดจะทำอะไรกันแน่?” จ่านหยางถามขึ้นก่อน
ถางรุ่ยในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงลำลองหลากสีที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากัน ส่งยิ้มใสซื่อให้อีกฝ่าย
“ฉันก็แค่ช่วยนายรับงานเท่านั้น” เขาตอบ “บทที่จะเล่นเป็นแค่ตัวประกอบ ถ้าเห็นแก่หน้าฉันห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”
“เล่นบ้าอะไรของนาย?” จ่านหยางไม่เชื่อว่าถางรุ่ยจะให้เขารับงานโดยไม่มีเหตุผล
แม้ก่อนหน้านี้ ถางรุ่ยจะเคยช่วยเขาเลือกบทเพราะติดเรื่องเวลาและเหตุผลส่วนตัว ส่วนใหญ่จะได้เล่นเป็นตัวประกอบที่มีบทน้อยมาก ไม่ก็โผล่แค่ตอนสองตอนแล้วหายไป แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ แถมยังเป็นแนวจีนโบราณที่เขาไม่ถนัด เพราะไม่ชอบใส่ชุดยาวรุ่มร่าม
“คิดให้ดี จะมองวงการบันเทิงเหมือนสวนสนุกให้วิ่งเล่นไปตลอดชีวิตไม่ได้” ถางรุ่ยทำหน้าจริงจัง “แบบนี้สู้กลับแคนาดาไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?”
จ่านหยางในชุดกีฬาสีน้ำตาลอ่อนสบายตัว กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เพิ่งสระเสร็จหมาดๆ “จะพูดอะไรกันแน่?”
“บทนี้จะช่วยให้คนในวงการบันเทิงเข้าใจสถานะและทิศทางในการทำงานของนายมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังไม่คิดเปลี่ยนอาชีพในตอนนี้”
“ผู้กำกับติดต่อนายมาเหรอ?” จ่านหยางถามกลับ
“เปล่า” ถางรุ่ยส่ายหน้า “ฉันเป็นคนติดต่อไป ถึงเวลาที่นายต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว”
จ่านหยางวางผ้าขนหนูในมือและหยิบบุหรี่ขึ้นสูบ “ก็จริง”
“แปลว่าตกลงใช่ไหม?” ถางรุ่ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ฉันจะได้นัดวันเซ็นสัญญา”
“แล้วที่บอกว่าเซอร์ไพรส์ หมายความว่ายังไง?” จ่านหยางถามต่อ
“วันเปิดกล้องก็รู้เองแหละ” ถางรุ่ยยกยิ้มมุมปาก
กู้เซียงอ่านบทในโทรศัพท์แล้วนิ่งไปครู่ใหญ่
เดือนหน้าจะเปิดกล้องแล้ว แต่เหวินจิ้งเพิ่งจะได้สัญญาฉบับสำเนากับบทละครมาอ่าน
เธอพยายามทำความเข้าใจกับบทที่ได้รับ โดยอาศัยนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เป็นบทประพันธ์เดิม เพื่อให้เข้าใจตัวละครมากขึ้น
กู้เซียงนั่งจ้องนิยายปกเขียวที่กลับมาโด่งดังจากกระแสละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วน รู้ด้วยว่าอีกไม่นาน หนังสือเล่มนี้จะได้ขึ้นโชว์ในร้านหนังสืออีกครั้ง
เวินหลินยู่คือผู้กำกับมากฝีมือในวงการละคร ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นผู้กำกับมือทองในวงการภาพยนตร์แนวพีเรียด โดยมีฉีโฮ่วจ้วนเป็นใบเบิกทาง
ละครเรื่องนี้ไม่เพียงได้รับความนิยมภายในประเทศ แต่ยังถูกนำไปแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น เกาหลี และอังกฤษ จนได้รับคำชมไปทั่วโลก
ตั้งแต่นั้นมา ละครย้อนยุคแนววังหลังก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทว่าไม่มีเรื่องไหนชนะความอมตะตลอดกาลของฉีโฮ่วจ้วนได้ แม้จะผ่านไปกี่สิบปีก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ละครที่กลายเป็นตำนาน ช่วยให้นักแสดงกลุ่มหนึ่งกลายเป็นตำนานไปด้วย สำคัญคือรายได้จากละครเรื่องนี้ ทำให้นักแสดงจำนวนไม่น้อยมีเงินเลี้ยงตัวอีกเป็นสิบปี
กู้เซียงทั้งอ่านนิยาย ดูละคร และติดตามบทสัมภาษณ์นักแสดงในรายการโทรทัศน์ต่างๆ
เธอหลงใหลละครเรื่องนี้ก็เพราะคู่พระนางคือเหลียงจี้และเฉียวอิ้งฉิงนั่นเอง
รายได้ของเฉียวอิ้งฉิงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากที่เล่นเรื่องฉีโฮ่วจ้วน
เดิมเฉียวอิ้งฉิงโดดเด่นเรื่องฝีมือการแสดงอยู่แล้ว ยิ่งได้เล่นเป็นนางเอกของเรื่อง ก็ยิ่งโดดเด่นเป็นดาวจรัสแสง แซงดาราแถวหน้าคนอื่นๆ แบบไร้คู่แข่ง
ละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนพูดถึงความเข้มแข็งของสตรี เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับขุนนางคนหนึ่งที่ส่งบุตรสาวนามว่า ‘จูชิงฮวน’ เข้าวัง หวังจะให้มีอนาคตที่ดี
ตอนแรกนางมีใจให้กับฮ่องเต้ บุรุษผู้ไร้หัวใจอย่างที่สุด พระองค์เพียงหลงรักความแข็งแกร่งที่เหมือนกับฮองเฮาองค์ก่อน สุดท้ายเธอก็พ่ายแพ้ให้กับแรงริษยาของเหล่าสนมในวังหลัง กระทั่งถูกส่งไปอยู่ตำหนักเย็น
ขณะที่จูชิงฮวนกำลังสิ้นหวัง ‘หมิงอ๋อง’ ก็ปรากฏตัวขึ้น แสดงโดยเหลียงจี้
เขาคือพี่น้องท้องเดียวกันกับฮ่องเต้ แต่ไม่ได้รักใคร่ผูกพันอะไร หลังตกหลุมรักความฉลาดและเข้มแข็งของจูชิงฮวน ทั้งคู่ก็แอบสานสัมพันธ์กัน
นักเขียนพยายามทำให้เจตนาของพวกเขาเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ จนคนดูมองข้ามเรื่องศีลธรรมอันดีงามและลุ้นให้ทั้งสองเผยความในใจต่อกัน
แต่หมิงอ๋องมีพระชายา ซึ่งเป็นบุตรสาวของแม่ทัพเจิ้นหยวนนามว่า ‘เฉินเมี่ยว’ อยู่แล้ว ซ้ำฮ่องเต้ยังเป็นผู้ประทานให้อีกด้วย
เฉินเมี่ยวมีนิสัยเย่อหยิ่ง ทะนงตน เอาตัวเองเป็นใหญ่ ทว่ามีใจรักและภักดีต่อหมิงอ๋องเพียงคนเดียว
ด้วยความที่เป็นคนจิตใจชั่วร้าย คิดแต่เรื่องอิจฉาริษยา จึงชอบกดขี่ข่มเหงเหล่าชายารองให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจไม่เว้นแต่ละวัน
เมื่อรู้ว่าหญิงที่หมิงอ๋องรักคือจูชิงฮวน นางก็เริ่มวางแผนกลั่นแกล้ง แต่ด้วยความที่ไม่รอบคอบ กรรมจึงตามสนองด้วยการถูกสั่งจำคุก กระทั่งตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด
แม้เฉินเมี่ยวจะตายแล้ว แต่หมิงอ๋องกลับไม่ได้ลงเอยกับจูชิงฮวน
ฮ่องเต้สงสัยว่าน้องชายกับสนมแอบมีความสัมพันธ์กัน ยิ่งสงสัยก็ยิ่งสืบหา สุดท้ายหมิงอ๋องก็ตายด้วยน้ำมือของพี่ชายตัวเอง
บาดแผลและความเจ็บช้ำทำให้จูชิงฮวนละทิ้งความอ่อนโยนที่หลงเหลือในใจ กลายเป็นคนอำมหิตโหดเหี้ยม พอได้เป็นใหญ่ในวังหลังก็ลอบปลงพระชนม์ฮองเฮา จัดการกับไท่โฮ่วหรือพระพันปี กระทั่งฮ่องเต้สวรรคตจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮวางไท่โฮ่ว แต่งตั้งบุตรชายให้เป็นองค์รัชทายาท
ละครเรื่องนี้สะท้อนภาพการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวง เรื่องราวความรักระหว่างนางเอกกับฮ่องเต้มีเพียงไม่กี่ตอนในช่วงแรก ที่เหลือจะเป็นความรักระหว่างนางเอกกับหมิงอ๋อง ที่แค่ได้รักแต่ไม่อาจครองคู่
เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นชะตาชีวิตของสตรีผู้อาภัพในวังหลัง ประเด็นนี้ไม่ได้กล่าวโทษใคร แต่ตัวละครเฉินเมี่ยวกลับแสดงให้เห็นว่านักเขียนมีความโกรธเกลียดที่ลึกซึ้งเพียงใด
มีแต่เฉินเมี่ยวที่ไร้ปัญญา จากที่เป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพเจิ้นหยวน กลับพาตระกูลให้ล่มสลายและตายอย่างน่าอนาถ
ส่วนหนึ่งเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ที่อยากจะกำจัดขุนนางหลังใช้งาน แต่เฉินเมี่ยวในฐานะที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ของราชวงศ์ หากไม่สร้างวีรกรรม ครอบครัวก็คงไม่ต้องลำบากไปด้วย
สุดท้ายก็เป็นเพียงหินที่ให้นางเอกเหยียบย่ำไปสู่ทางที่ปรารถนา
เหลียงจี้รับบทเป็นหมิงอ๋อง ชายผู้เชื่อมั่นในรัก ด้วยความที่หน้าตาดีเป็นอันดับต้นๆ ของวงการ มีบุคลิกเฉพาะตัว เมื่ออยู่ในชุดจีนโบราณจึงให้ความรู้สึกน่าหลงใหล และมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นมากจากการเล่นละครเรื่องนี้
ตอนได้ดูละคร กู้เซียงเพิ่งจะเข้าวงการบันเทิง เธอเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นของเหลียงจี้กับเฉียวอิ้งฉิง คอยเชียร์ให้คู่นี้ลงเอยกันตลอด ยิ่งรู้ว่าทั้งสองรักกันในชีวิตจริงก็ยิ่งปลื้มหนักขึ้นไปอีก
ตอนที่เฉียวอิ้งฉิงเลิกกับเหลียงจี้แล้วไปแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ กู้เซียงทั้งเสียดายและเสียใจ แต่หลังจากได้ร่วมงานกับเขาแล้วตกหลุมรัก เธอก็ตกลงแต่งงานทันที
พอมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน