หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 17

ตอนที่ 17

เฉียวอิ้งฉิงถึงกับจุก รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายหลอกด่าอยู่ กลายเป็นจ่านหยางที่บังเอิญได้ยินแล้วหลุดหัวเราะออกมา

 

เฉียวอิ้งฉิงกัดริมฝีปากด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปพูดกับเวินหลินยู่ “ใกล้ถึงฉากของฉันหรือยังคะ? วันนี้เหนื่อยมากอยากพักผ่อนแล้ว”

 

เวินหลินยู่ลังเลเล็กน้อย กู้เซียงแสดงได้ลื่นไหลมาก แค่วันนี้วันเดียวก็ถ่ายฉากของเธอหมดแล้ว แถมยังเป็นเด็กของถางรุ่ยอีก แต่เฉียวอิ้งฉิงเป็นนางเอกของเรื่อง ถ้าไม่ให้เข้าฉากก็จะเป็นการขัดใจกัน “งั้นก็ถ่ายฉากของคุณเลยแล้วกัน กู้เซียงไปพักก่อนเถอะ”

 

กู้เซียงเข้าใจเรื่องนี้ดี ดาราหน้าใหม่ไม่ควรมีปากเสียงในกองถ่าย ต่อให้ต้องมารอตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อถ่ายฉากเดียวตอนดึกก็ตาม

 

เฉียวอิ้งฉิงจงใจกลั่นแกล้งเธอ หากไม่ได้ถ่ายต่อก็หมายความว่าวันนี้ต้องแต่งตัวเก้อ แต่เธอก็ยอมเดินตามเกม

 

“ได้ค่ะ” กู้เซียงเดินออกจากฉากไปนั่งดูอยู่ห่างๆ มือก็ถอดปิ่นปักผมที่หนักอึ้งไปด้วย

 

ตอนนี้ถึงคิวถ่ายทำของเจี่ยงลี่ลี่และเว่ยคุนแล้ว ละครอิงประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะต้องเล่าเรื่องทั้งในราชสำนักและวังหลัง เมื่อเป็นฉากหลัก การถ่ายทำก็จะยาวนานต่อเนื่อง

 

สองตอนแรกจะเน้นไปที่การแนะนำความสัมพันธ์ของตัวละคร ตอนที่จูชิงฮวนเพิ่งเข้าวัง ไม่มีตำแหน่งและไม่มีแผนการใดๆ แอบแฝง ยังคงเป็นหญิงสาวใสซื่อ แม้ถูกรังแกก็จะพยายามรักษาความเบิกบานเอาไว้

 

เฉียวอิ้งฉิงถนัดกับบทประเภทนี้อยู่แล้ว แต่ตอนถ่ายทำกลับเกิดข้อผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ผิดที่บทก็ผิดที่แววตาท่าทาง ไม่เพียงเวินหลินยู่ที่ไม่พอใจ แม้แต่เหลียงจี้ก็ยังทำหน้างุนงง

 

กู้เซียงนึกสมน้ำหน้าอยู่ห่างๆ แต่พอก้มลงอ่านบทต่อ ก็มีคนยื่นแก้วน้ำมาให้

 

จ่านหยางนั่งลงที่ด้านข้าง เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วเพราะวันนี้เขามีถ่ายแค่ฉากเดียว

 

“ขอบคุณค่ะ” เธอรับน้ำมาดื่ม

 

“เพิ่งเคยแสดงครั้งแรกเหรอ?” จ่านหยางถาม

 

“เคยเล่นเป็นตัวประกอบครั้งหนึ่งค่ะ”

 

จ่านหยางส่งยิ้มอ่อนโยน ฟันขาวเรียงตัวสวย ดวงตาสุกใสเป็นประกาย

 

“ครั้งแรกแต่แสดงได้ดีมากนะครับ”

 

“ขอบคุณค่ะ”

 

“ได้ยินคุณบอกว่าเป็นคนขี้อาย?”

 

“…..” กู้เซียง

 

“ตอนอยู่ในห้องแต่งตัวไม่เห็นจะขี้อายเลย”

 

“อะแฮ่ม!” เสียงเสียงหนึ่งกระแอมจากทางด้านหลัง “ไม่ยักรู้ว่านายคุยกับคนอื่นเป็นด้วย”

 

 

กู้เซียงเพิ่งเจอพวกเขาเป็นครั้งแรก แต่กลับถูกหยอกเหมือนสนิทกันมานาน

 

“คุณกู้ รู้จักกับเคลาส์ตอนไหนเหรอ?” ถางรุ่ยที่เพิ่งเดินมาสมทบ ถามขึ้น

 

“ที่กองถ่ายค่ะ” เธอตอบ

 

โชคดีที่จ่านหยางไม่เถียง ถางรุ่ยจึงมองทั้งสองสลับกันไปมาแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย บรรยากาศการสนทนาของพวกเขาเป็นไปด้วยดี แต่ในสายตาของคนอื่นกลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

กู้เซียงเป็นดาราหน้าใหม่ แต่กลับได้เล่นละครคู่กับจ่านหยาง จนหลายคนข้องใจไปแอบจับกลุ่มซุบซิบนินทา “ได้ยินว่าถางรุ่ยเป็นคนแนะนำมา สงสัยจะเลียแข้งเลียขาเพื่อให้ได้ละครเรื่องนี้”

 

“ก็สวยซะขนาดนั้น ไม่แปลกที่หล่อนจะได้งาน”

 

“ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก ฝีมือของเธอก็มีให้เห็นอยู่ ดีกว่านักแสดงเก่าๆ บางคนด้วยซ้ำ” เจี่ยงลี่ลี่พูดแทรก

 

เจี่ยงลี่ลี่เป็นคนตรงไปตรงมา เธอรู้สึกดีกับกู้เซียงมาตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดใส่ร้าย จึงพยายามให้เหตุผลแบบเป็นกลาง

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการของเฉียวอิ้งฉิง กู้เซียงไม่ได้เข้าฉากและถูกเปลี่ยนให้ไปถ่ายเฉพาะตอนกลางคืนอีกด้วย

 

การถ่ายละครตอนกลางคืนเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะการรอคิวถ่าย ที่ไม่รู้จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่

 

“จู่ๆ ก็เปลี่ยนให้ไปถ่ายตอนกลางคืน แถมยังสั่งให้ไปนั่งรอที่กองทุกวันแบบไม่รู้ชะตากรรมอีก!” เหวินจิ้งบ่นด้วยความโมโห

 

ปกติดาราหน้าใหม่จะเข้าฉากตอนกลางคืนเฉพาะกรณีเร่งด่วนหรือมีเหตุจำเป็นเท่านั้น

 

“ไม่เป็นไรหรอก”

 

“แต่เธอยังไม่เคยไง ถ่ายตอนกลางคืนมาตรฐานสูงกว่าตอนกลางวันมากนะ”

 

“ฉันทำได้ สบายมาก”

 

ชาติที่แล้วกู้เซียงเคยรับงานอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งการถ่ายทำภาพยนตร์จะหนักกว่าละครมาก แถมเธอยังเล่นเป็นนางเอกอีก ไหนจะงานแถลงข่าว งานเดินพรมแดง งานพรีเซนเตอร์ กว่าครึ่งปีที่ได้นอนแค่วันละสองสามชั่วโมงเมื่อเทียบกับการทำงานอย่างหนักหน่วง แค่ต้องเข้าฉากตอนกลางคืนถือเป็นเรื่องที่เล็กมาก

 

เช้าวันต่อมา เหวินจิ้งไปเจรจากับเวินหลินยู่เรื่องเวลาการถ่ายทำ โดยต้องการให้กู้เซียงไปถึงกองถ่ายตอนหัวค่ำเพื่อรอถ่ายทำในตอนกลางคืน

 

น่าแปลกที่จ่านหยางก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งที่ตอนที่หนึ่งกับตอนที่สองไม่มีฉากของเขาแล้ว แต่กลับมากองถ่ายโดยไม่มีถางรุ่ย

 

กู้เซียงเห็นเข้าก็เดินไปหาจ่านหยาง “วันนี้ไม่มีฉากของคุณนี่คะ”

 

“อ้อ” จ่านหยางพยักหน้า “ผมแค่แวะมาดูน่ะ”

 

เห็นฝ่ายนั้นตั้งใจทำงาน กู้เซียงก็คร้านจะเซ้าซี้

 

อาจเพราะไม่มีกู้เซียงมาเข้าฉากในวันนี้ เฉียวอิ้งฉิงจึงทำผลงานออกมาได้ดีเยี่ยม

 

“มาแล้วเหรอ” เจี่ยงลี่ลี่ทักทาย

 

ใบหน้าของเธอดูเหนื่อยล้ามาก เหมือนเพิ่งถ่ายทำมาทั้งวัน เจอหน้ากันได้ไม่เท่าไหร่ เจี่ยงลี่ลี่ก็เตรียมตัวกลับทันที

 

ค่ำวันนี้กู้เซียงมีถ่ายฉากเดียว เป็นฉากที่หมิงอ๋องมาคิดบัญชีกับเฉินเมี่ยวหลังรู้ว่าชายารองผู้เป็นที่รักถูกสังหารจนตายทั้งกลม

 

เฉียวอิ้งฉิงกะพริบตามองกู้เซียง

 

“วันนี้หนักหน่อยนะ บทก็ยาวได้เรื่อง เตรียมตัวให้ดีล่ะ เดี๋ยวจะตายกลางคัน”

 

“ขอบคุณพี่เฉียวมากค่ะ” กู้เซียงคลี่ยิ้มบาง

 

เฉียวอิ้งฉิงเหมือนไม่อยากรอฟังคำตอบ เธอสะบัดหน้าแล้วเดินจากไปทันที

 

เหลียงจี้ที่กำลังนั่งอ่านบท รีบลุกเดินไปหา

 

“ถ่ายมาทั้งวัน เป็นยังไงบ้าง?”

 

เฉียวอิ้งฉิงรีบปรับสีหน้า ตอบอย่างเขินอาย “พอไหวค่ะ” จากนั้นก็นั่งลงข้างเหลียงจี้แล้วถอนหายใจเบาๆ

 

“เป็นอะไรเหรอ?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง

 

“กู้เซียง…” เฉียวอิ้งฉิงคล้ายอยากพูดบางอย่าง แต่ก็เงียบไป

 

“กู้เซียงทำไม?” เหลียงจี้ขมวดคิ้ว

 

“เธอดูอคติกับฉันมาก”

 

“จริงเหรอ? ผมไม่ทันสังเกต”

 

เฉียวอิ้งฉิงหลุบตาลงต่ำ “เธอดูเย็นชากับฉัน เหมือนไม่ค่อยชอบขี้หน้า แต่กับเจี่ยงลี่ลี่กลับดูสนิทสนม หรือที่คนอื่นเคยบอกว่าเธออยากเป็นนางเอกเรื่องนี้จะเป็นจริง…”

 

“บ้าไปแล้ว!” เหลียงจี้ส่ายหน้า “เด็กใหม่จะเป็นนางเอกได้ยังไง?”

 

“ฉันก็แค่ได้ยินมา ถ้าพระเอกเรื่องนี้ไม่ใช่คุณ ฉันคงไม่รับเล่นหรอก” เธอทำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ

 

“คุณคิดมากไปหรือเปล่า?”

 

“ฉันไม่ได้โกหกนะคะ” เฉียวอิ้งฉิงน้ำตาคลอเบ้า “ก็แค่เด็กใหม่คนหนึ่ง ฉันจะอยากใส่ร้ายไปทำไม”

 

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น” เหลียงจี้รีบแก้ตัว

 

เฉียวอิ้งฉิงไม่เคยมีความแค้นกับใครในวงการบันเทิง นิสัยอ่อนโยน วางตัวดี รับได้กับทุกสถานการณ์ กู้เซียงเองก็เป็นดาราหน้าใหม่ แล้วเธอจะต้องหาเรื่องคนมาทีหลังทำไมกัน

 

เหลียงจี้ครุ่นคิด “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนเข้าฉากด้วยกันผมจะสอนเธอให้รู้จักมารยาทในวงการบันเทิงเอง ดารามีตั้งมากมาย ไม่ใช่แค่หน้าตาดีแล้วจะรอดหรอกนะ!”

 

“แบบนี้จะไม่…” เฉียวอิ้งฉิงทำหน้าลังเล

 

“ถ้าผมไม่สอน เธอจะยิ่งปีนเกลียวไปกันใหญ่นะ”

 

เฉียวอิ้งฉิงพยักหน้าแบบกล้าๆ กลัวๆ

 

ตอนเวินหลินยู่เรียกกู้เซียงมาเข้าฉาก เธอแต่งตัวเสร็จพอดี

 

นี่เป็นฉากแรกที่เธอต้องแสดงกับเหลียงจี้แต่กลับไม่เคยซ้อมบทร่วมกับเขา เพราะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวตอนอยู่ใกล้ยังไง กลัวด้วยว่าความพยายามในการสะกดกลั้นความโกรธและความแค้น จะดึงพลังในตัวของเธอออกไปจนหมด

 

เมื่อทีมงานประจำที่ครบทุกจุด เสียง “แอคชั่น!” ก็ดังขึ้น

 

ตำหนักของสตรีสูงศักดิ์ล้วนหรูหรางดงาม พื้นกระเบื้องเป็นมันวาว มู่ลี่ประดับประดาด้วยเพชรพลอย บนโต๊ะหนังสือมีกลอนหลายเล่มวางทับกันอย่างไม่เป็นระเบียบ น้ำหมึกที่ยังไม่จางดีปรากฏรอยเป็นวงใหญ่

 

ฝนจำลองนอกหน้าต่างโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้ามืดครึ้ม สาวใช้รีบเดินไปปิดประตูหน้าต่างอย่างระมัดระวัง

 

ภายใต้แสงไฟยามค่ำคืน เฉินเมี่ยวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองหมากบนกระดานด้วยแววตาเบื่อหน่าย แม้เธอจะงดงามดั่งภาพวาด แต่สีหน้ากลับอ้างว้าง นัยน์ตาเคร่งขรึมแต่ไม่ดุดัน

 

ประตูห้องถูกเปิดออก สาวใช้รีบค้อมกายคำนับ หลังบุรุษผู้มาเยือนพยักหน้าให้ พวกนางก็ออกจากห้องไป

 

“ท่านอ๋อง!” เฉินเมี่ยววิ่งลงจากตั่งไปต้อนรับ จากท่าทีหงุดหงิดในตอนแรก กลายเป็นยิ้มแย้มด้วยความดีใจ “เราไม่ได้เล่นหมากล้อมด้วยกันนานแล้ว หมากตานี้ข้าไม่รู้จะแก้ยังไง รบกวนท่านช่วยสอนได้หรือไม่เจ้าคะ?”

 

แม้นางจะทำเสียงออดอ้อนเพียงใด แต่บุรุษตรงหน้าก็ยังคงมีสีหน้าเย็นชา

 

“ข้าไม่ได้มาเล่นหมากล้อมกับเจ้า”

 

“ท่านอ๋อง…” เฉินเมี่ยวพยายามคิดหาคำตอบอย่างหนัก “มีธุระอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ?”

 

“คัท!” เวินหลินยู่ตะโกนด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ครั้งก่อนแสดงดีกว่านี้มากนะ ทำไมวันนี้ถึงแผ่วลงได้? เฉินเมี่ยวรักหมิงอ๋องมาก คุณต้องแสดงให้เห็นถึงความหลงใหล ไม่ใช่ทำเหมือนเขาเป็นศัตรู!”

 

“ตื่นเต้นเกินไปหรือเปล่า?” เฉียวอิ้งฉิงแกล้งถาม “เล่นกับเหลียงจี้ครั้งแรกคงจะเกร็งๆ แต่ถ้าไม่รีบปรับตัว จะถูกเปลี่ยนบทเอาได้นะ”

 

เมื่อครู่เขาจงใจเล่นไม่เข้าขากับเธอ พยายามกดดันให้ไปผิดทาง หากเป็นดาราหน้าใหม่ทั่วไปคงจะไปตามอารมณ์ที่เขาถ่ายทอดจนทำให้บทบาทของตัวเองอ่อนด้อยลง แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่กู้เซียงแสดงผิดพลาด เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหลียงจี้ เธอไม่สามารถปรับอารมณ์ให้รักกับศัตรูได้

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท