หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 29

ตอนที่ 29

ก่อนผู้คุมจะจากไปได้บอกวันเวลาที่จะประหารเฉินเมี่ยวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม ขณะที่นางยังคงนั่งหลังตรงอย่างสง่างาม ไม่ได้ขดงอตัวด้วยความหวาดกลัวเหมือนนักโทษทั่วไป สีหน้าไร้ซึ่งความหวั่นไหว

สายตาของเฉินเมี่ยวจับจ้องพื้นดินตรงหน้า ที่ต้นหญ้าน้อยๆ พยายามแทรกตัวขึ้นมาเพื่อแตกหน่อและเติบโต

นางนึกย้อนไปถึงชีวิตช่วงวัยสาว ได้ขี่ม้าตัวงามท่องเที่ยวแถบชานเมืองกับแม่ทัพเฉิน กระทั่งได้พบกับเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีขาว

นางรักเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งชีพ ยอมเสียเวลาทั้งชีวิตไปกับเขา ช่างเป็นเรื่องน่าขันเหลือเกิน น่าขันที่ยังคงจมปลักอยู่กับความรู้สึกนั้น

สิ่งที่น่าอนาถที่สุดคือการรักคนผิดคน เลือกทางเดินผิด หากผิดแล้วครั้งหนึ่งก็อาจจะก้าวพลาดซ้ำๆ โดยกลับไปแก้ไขไม่ได้อีก

แววตาของนางปรากฏภาพองครักษ์ชุดดำผู้หล่อเหลา สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก

“ข้า เจียงเยว่ จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่เหนียงเหนียงเคยนึกเสียใจบ้างหรือไม่?” เขาถาม

เฉินเมี่ยวหลับตาลง น้ำตาคลอเบ้า “ข้าเสียใจ เสียใจเป็นที่สุด…”

เสียงทุ้มต่ำเจืออ้างว้างทำคนดูปวดใจไปตามๆ กัน

นางไม่เสียใจที่เคียดแค้นจูชิงฮวนจนคิดวางแผนสังหาร ไม่เสียใจที่เคยอยากจบชีวิตไปพร้อมกับหญิงชู้ แต่เสียใจที่ตระกูลเฉินต้องล่มสลาย เสียใจที่ส่งเจียงเยว่ไปตาย เสียใจที่ต้องสูญเสียชีวิตวัยสาวที่งดงาม และเสียใจที่ชีวิตนี้ไม่เคยถูกรักอย่างจริงใจ

ภายในห้องขังที่มืดมิด เฉินเมี่ยวเอ่ยคำว่า ‘เสียใจ’ ออกมาซ้ำๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงไก่ขันต้อนรับอรุณรุ่ง

สตรีสูงศักดิ์ใช้ผ้าคาดเอวผูกกับขื่อ แล้วเตะกองฟางที่ใช้เป็นฐานออก

แม้ต้องตายก็ไม่ขอตายต่อหน้าผู้คน แม้ไม่ได้สูงส่งก็จะคงไว้ซึ่งความภาคภูมิ

หากได้ย้อนเวลาอีกครั้ง ขอให้นางไม่ต้องเสียใจ ขอให้นางไร้ซึ่งความโศกเศร้า

ตู้หมู่ถอนหายใจเบาๆ แม้จะเป็นนิตติ้งเงื่อนสุดท้าย ก็ไม่อาจถักต่อได้ ส่วนตู้หยู่ก็ร้องไห้น้ำตานองหน้า

เธอเคยดูละครทำนองนี้มาก่อน ทั้งยังเคยอ่านบทประพันธ์เรื่องฉีโฮ่วจ้วน แต่ก็ยังคงเสียน้ำตา รู้สึกปวดใจ คับแค้นใจ คล้ายว่ากำลังผ่านประสบการณ์น่าเจ็บปวดไปพร้อมกับเฉินเมี่ยว

กู้เซียงแสดงได้ดีมาก แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด ไม่เพียงแสดงบทของเฉินเมี่ยว แต่ยังสามารถถ่ายทอดชะตาชีวิตทั้งหมดของนางให้ทุกคนได้เห็น

ความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นสสารที่ถูกบันทึกไว้กลางใจคน ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่เห็นได้ในเชิงประจักษ์ ดวงตาของตู้หยู่เปล่งประกายราวกับดวงดาวที่รายล้อมเฉินเมี่ยวอยู่

เธอหยิบโทรศัพท์ทั้งน้ำตาเพื่ออ่านข้อความในกลุ่มวีแชต ซึ่งทุกข้อความล้วนเป็นสติกเกอร์ร้องไห้

ต่างคนต่างพูดไม่ออก รู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

การต้องพลัดพรากจากคนรักนับว่าเจ็บปวดแสนสาหัสแล้ว แต่นางยังต้องตายอย่างอนาถอีก หากเทียบกับทั้งชีวิตของเฉินเมี่ยว พวกเธอก็รู้สึกว่าตอนอื่นๆ ดูกระจอกไปเลย

“ฉากนี้ของเฉินเมี่ยวดีกว่าทุกตอนที่ผ่านมา แล้วที่เหลือจะมีใครรอดู?”

คืนนั้นตู้หยู่น้ำตาไหลแม้ตอนหลับฝัน แล้วตื่นขึ้นในตอนเช้าด้วยดวงตาแดงก่ำ

ทันทีที่เปิดคอมพิวเตอร์ หน้าเว็บไซต์ของเวยป๋อก็เต็มไปด้วยข่าวของละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วน ซึ่งมีเรตติ้งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามด้วยข่าวเรื่องคู่จิ้นแมวรัตติกาล และจุดจบของเฉินเมี่ยว

ช่วงสุดท้ายของชีวิต เฉินเมี่ยวระลึกถึงเจียงเยว่ องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ คนคนเดียวที่จริงใจต่อนาง ทำเอาบรรดาแฟนคลับปลื้มปริ่มไปตามๆ กัน

คอมเมนต์ใต้ภาพ ล้วนเป็นข้อความจากแฟนคลับคู่จิ้นทีมแมวรัตติกาล

“รู้ทั้งรู้ว่าต้องเศร้า ก็ยังแอบหวานให้ได้ฟินกัน”

“นักเขียนใจร้าย เปลี่ยนจุดจบให้หน่อยก็ไม่ได้!”

“ทำไมถึงอนาถขนาดนี้ แทบจะตรอมใจตายตามเลยทีเดียว”

“ใจสลายไม่ไหวแล้วจ้า”

“ขออยู่เงียบๆ สักพักนะ”

“จุดจบคือโคตรแย่ ขอภาคสองต่อเลยเถอะ นักเขียนได้โปรดอ่านคอมเมนต์นี้ด้วย”

“เมนต์บนขอภาคสองอะไรกัน ไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งสักหน่อย”

ขณะที่ทีมคู่จิ้นแมวรัตติกาลยังคงปักหลักสร้างกระแส นักวิจารณ์ละครก็นั่งไม่ติดเบาะเช่นกัน

เว็บไซต์ชื่อดังต่างออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับละครเรื่องนี้ นอกจากบุคลิกของตัวละครเฉินเมี่ยว พวกเขายังวิเคราะห์ฝีมือการแสดงของกู้เซียงด้วย

การแสดงเมื่อคืนเกินมาตรฐานไปมาก เพชรเม็ดงามที่เคยถูกบดบัง เปล่งประกายสู่สายตาสาธารณชนจนรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดา

ก่อนจะจากลา บทบาทของกู้เซียงได้เปิดเผยตัวตนให้ทุกคนเห็นอย่างถ้วนหน้า

เป็นตัวร้ายแต่กลับแสดงได้ดีขนาดนี้ หรือหลายสิบตอนก่อนหน้า เธอเพียงซ้อมมือเท่านั้น

น่ากลัวจริงๆ

ปิดเทอมภาคฤดูร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เหมือนแค่นั่งตากแอร์ ติดตามดารา กินขนมจุบจิบทั้งวันจนเริ่มมีน้ำมีนวล แล้วความสนุกสนานทั้งหมดก็จบลง

การปิดเทอมภาคฤดูร้อนปี 2014 ที่ผ่านมา เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นสองเรื่อง เรื่องแรกคือละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนกลายเป็นตำนานของวงการ โดยครึ่งแรกมียอดผู้ชมสูงจนน่าตกใจ ราวกับสร้างตัวเลขปลอมขึ้นมา ต่างจากครึ่งหลังที่มียอดผู้ชมน้อยจนน่าตกใจ แม้ช่องบานาน่าจะมีรายการที่สร้างกระแสได้มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกแต่งยอดผู้ชมให้เกินจริง

เรื่องที่สองคือผลที่เกิดจากการได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทำให้นักแสดงสมทบโด่งดังขึ้นในพริบตา ส่วนนักแสดงหลักกลับหล่นลงมาเป็นนักแสดงอันดับสอง

หากจะบอกว่าชาติที่แล้ว เฉียวอิ้งฉิงกับเหลียงจี้ได้เปรียบเพราะหน้าตาและคุณสมบัติโดยกำเนิด หลังละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนถ่ายทำจบ พวกเขาก็กลายเป็นคนในวงการบันเทิงที่เปิดตัวอย่างงดงาม มาวันนี้กลับถูกลดระดับ ทำเอาบรรดาแฟนคลับแทบคลั่ง

“ไหนบอกว่าจะยิ่งส่งเสริมให้ดังขึ้นไงล่ะ ละครเรื่องนี้เหมือนถูกสาปยังไงก็ไม่รู้!”

เฉียวอิ้งฉิงกับเหลียงจี้คือตัวละครหลักของเรื่อง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทว่าคนอื่นๆ กลับดังเป็นพลุแตก เช่น เว่ยคุนที่มารับบทฮ่องเต้อีกครั้ง เจี่ยงลี่ลี่ที่เพิ่งกลับเข้าวงการ จ่านหยางที่เล่นเป็นตัวประกอบ หรือแม้แต่กู้เซียงที่เป็นดาราหน้าใหม่

ไม่ว่านักวิจารณ์จะเขียนยังไง สายตาของคนดูคือสิ่งที่ซื่อตรงที่สุด ช่วงครึ่งแรกสนุกมาก แต่พอเฉินเมี่ยวกับเจียงเยว่ตาย ละครก็ไม่น่าดูอีกต่อไป

ตอนเป็นนิยายก็ไม่มีเหตุการณ์ที่ผู้อ่านเทครึ่งเล่มหลัง จึงสรุปได้ว่าเป็นความผิดของนักแสดงไม่ใช่นักเขียน

กู้เซียงแสดงได้ดีมาก ขณะที่คู่พระนางไปไม่ถึงฝั่งฝัน

เวินหลินยู่ปวดกบาลอย่างหนัก ศีรษะที่ล้านอยู่แล้วถูกถูไปมาจนเป็นมันวาว เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ ที่ละครครึ่งแรกกับครึ่งหลังมียอดผู้ชมต่างกันราวฟ้ากับเหว

มีคนกล่าวไว้ว่า กู้เซียงทำให้ฉีโฮ่วจ้วนเกิด ฉีโฮ่วจ้วนก็ทำให้กู้เซียงเกิดเช่นกัน

หลังเปิดเรียนได้หนึ่งเดือน ละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนก็ออกอากาศจนจบ โดยที่เหลืออีกสิบกว่าตอนมีการตัดบางฉากให้น้อยลงเพื่อกระชับเนื้อหา

ปกติผู้ชมจะตั้งตารอตอนใหม่ที่กำลังจะออกอากาศในวันพุธและพฤหัสบดี แต่บทสรุปของเรื่องคล้ายการโยนก้อนกรวดลงสระบัว ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมมากมาย หากไม่ใช่เพราะสัปดาห์นี้จะมีงานเลี้ยงปิดกล้อง ก็คงไม่มีใครรู้ว่าตอนจบเป็นยังไง

ตั้งแต่เฉินเมี่ยวตาย ละครเรื่องนี้ก็เหมือนดำเนินถึงจุดจบแล้ว ไม่มีใครสนใจจะติดตามต่อ

ชาวเน็ตที่นิ่งเงียบอยู่นาน ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง เพราะกู้เซียงที่หายไปนานถึงสามเดือนจะปรากฏตัวที่งานเลี้ยงปิดกล้อง

ตั้งแต่ที่เฉินเมี่ยวจบชีวิตลง เธอไม่เคยโผล่ไปที่กองถ่ายและไม่เคยไปร่วมกิจกรรมของบริษัทอีกเลย

แม้ศิลปินทุกคนจะต้องค่อยๆ ไต่เต้าจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดที่สูงขึ้น แต่กู้เซียงมั่นใจในจุดที่เธอยืนมาก หากได้ใช้ความสามารถด้านการแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่บริษัทจัดขึ้นเพื่อเรียกคะแนนนิยมอีก

คนส่วนใหญ่ชอบความทรมาน หากเที่ยวออกรายการให้เห็นบ่อยๆ นานวันเข้าคนดูก็จะเบื่อ แต่ถ้าหายไปหลายๆ เดือน ก็ยิ่งทำให้คิดถึง

หลายเดือนที่ผ่านมา กู้เซียงได้รับการติดต่อจากผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘ฆ่าทั้งอาฆาต’

เธอเคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อชาติที่แล้ว ซึ่งเล่าถึงสังคมเมืองฮ่องกงยุค 90 ‘ฉางหยู’ เป็นมือสังหารตั้งแต่ยังสาว แต่เมื่อได้พบกับคนรัก เธอก็หยุดอาชีพนักฆ่า ทั้งสองแต่งงานและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทว่าสามีเกิดล้มป่วยกะทันหัน ทำให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสองด้วยความยากลำบากเพียงลำพัง

ในเขตที่พวกเขาอาศัยอยู่ เกิดเหตุชายขี้เมาทำร้ายร่างกายหญิงขายบริการจนถึงขั้นเสียโฉม แต่ตำรวจท้องที่กลับตั้งข้อหาแบบไร้สาระ ทำให้ผู้ก่อเหตุยังคงลอยนวล บรรดาหญิงขายบริการจึงรวมเงินเพื่อจ้างมือสังหาร โดยให้ฉายาว่า ‘ไอ้หนุ่มทำดี’

เนื่องจากเพิ่งออกจากสำนักที่ร่ำเรียนวิชาได้ไม่นาน เขาจึงมีวรยุทธ์ติดตัวเล็กน้อย ขณะที่ศัตรูนั้นแสนจะเจ้าเล่ห์ ฉางหยูทนดูไม่ได้จึงแอบเข้าช่วยเหลือ ตอนหลังสถานะของเธอถูกเปิดเผย เพื่อให้ลูกทั้งสองได้อยู่ในครอบครัวที่มั่นคง ฉางหยูจึงตัดสินใจร่วมมือกับไอ้หนุ่มทำดีแล้วกลับเข้าสู่วงการนักฆ่าอีกครั้ง

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท