ตอนให้สัมภาษณ์ เฉียวอิ้งฉิงตอบเรื่องนี้ว่า “นักแสดงควรมีความรับผิดชอบต่ออาชีพ ทั้งการถูกตบ การต้องเสี่ยงอันตราย ทุกอย่างล้วนทำเพื่อคุณภาพของงานและความรู้สึกของคนดูเป็นหลัก หากรับไม่ได้ ก็แสดงว่ายังเป็นมืออาชีพไม่พอ”
คำพูดประโยคนี้เปลี่ยนกู้เซียงจากผู้ถูกกระทำให้กลายเป็นนักแสดงไร้ความสามารถในทันที แต่เฉียวอิ้งฉิงเหมือนจะลืมไปว่าเธอคือนักแสดงเพียงคนเดียว ที่ใช้สแตนด์อินในการเล่นฉากบู๊ทุกครั้ง
กู้เซียงวางบทแล้วนวดมือเพื่อเตรียมความพร้อม
“ปวดมือเหรอ?” จ่านหยางถามด้วยความเป็นห่วง
“กำลังซ้อมตบอยู่ค่ะ”
จ่านหยางหลุดหัวเราะ “จัดให้หนักๆ ไปเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เธอยักคิ้วตอบ
ฉากต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้น เหลียงจี้กับจ่านหยางนั่งจดจ่ออยู่หน้าจอมอนิเตอร์ บรรยากาศในกองถ่ายเริ่มจะตึงเครียดเหมือนทุกครั้งที่คู่พระนางต้องเข้าฉากกับกู้เซียง ซึ่งเวินหลินยู่เรียกบรรยากาศนี้ว่า ‘ปฏิกิริยาทางเคมีขั้นสุดยอด’
ภายในห้องที่มืดสลัว สตรีในอาภรณ์หรูหรางดงามนั่งอยู่บนตั่งด้วยบุคลิกน่าเกรงขามอย่างภรรยาหลวง
จูชิงฮวนถูกสาวใช้ลากตัวมายืนตรงหน้าเฉินเมี่ยว สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ยังทำความเคารพตามมารยาท
“จูชิงฮวน” เฉินเมี่ยวลุกขึ้นยืน
จูชิงฮวนยังคงยืนนิ่ง
“จูจาวหรง*” เฉินเมี่ยวเรียกอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหยุดยืนตรงหน้าอีกฝ่าย
จูชิงฮวนค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“สารเลว!” เฉินเมี่ยวเงื้อมือแล้วตบอย่างแรง “เพียะ!”
เสียงตบดังสนั่น ชัดเจนเสียจนทั้งกองถ่ายตกตะลึง
จ่านหยางซึ่งกำลังดื่มน้ำถึงกับพ่นออกมาด้วยความตกใจ รวมถึงเวินหลินยู่ ถางรุ่ย เจี่ยงลี่ลี่ เว่ยคุน และเหลียงจี้ก็ตกใจเช่นกัน
ใบหน้าฝั่งซ้ายของเฉียวอิ้งฉิงค่อยๆ แดงขึ้น แต่กู้เซียงกลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนก เหมือนกำลังจมอยู่ในบทบาทโดยสมบูรณ์
เฉินเมี่ยวถลึงตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “นังแพศยา หน้าไม่อาย! กล้าดียังไงมาหลงรักสามีคนอื่น วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้จักผิดชอบชั่วดีเอง!”
หลังจบประโยคนี้ เสียงตบที่เด็ดขาดและหนักแน่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หัวใจของเวินหลินยู่เต้นแรง—ตบยังไงให้สวยได้ขนาดนี้ สุดยอดจริงๆ!
นี่มันไม่ใช่การแสดงแล้ว แต่เป็นภัยพิบัติมากกว่า
หลังถูกตบถึงสองครั้ง เฉียวอิ้งฉิงก็ตกใจจนลืมบท
กระทั่งเวินหลินยู่สั่งคัท คนแรกที่ลุกขึ้นโวยวายก็คือเหลียงจี้
“ทำบ้าอะไรของเธอน่ะ?!” เหลียงจี้ปรี่เข้าไปหากู้เซียงด้วยความโมโห
“ฉันทำอะไรคะ?” กู้เซียงทำหน้างง
“เธอ…” เฉียวอิ้งฉิงน้ำตาร่วงเป็นสาย
กู้เซียงย่อตัวลงนั่ง “ขอโทษพี่เฉียวด้วยนะคะ ฉันพลั้งมือไปหน่อย คงเจ็บมากเลยสินะ”
เหตุการณ์เมื่อครู่ ใครดูก็รู้ว่าจงใจไม่ใช่พลั้งมือ เพราะใบหน้าของเฉียวอิ้งฉิงเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเจ็บปวด
“ใครเขาตบจริงกัน! ไม่เคยเล่นหนังหรือไง?” เหลียงจี้ตะคอก
กู้เซียงแกล้งทำหน้าสำนึกผิด “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่เคยเล่นหนังมาก่อน ที่ผ่านมาเป็นแค่ตัวประกอบ เลยไม่รู้ว่าตบไม่ได้”
เหลียงจี้จนปัญญาที่จะโต้ตอบ เพราะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ เธอเพิ่งแสดงละครเป็นครั้งแรก ทุกอย่างดูใหม่มาก แต่พวกเขาที่เป็นนักแสดงเก่ากลับจงใจทำให้กู้เซียงขายหน้าหลายครั้ง ทว่าเธอไม่เคยตกหลุมพรางหรือทำพลาดแม้แต่ครั้งเดียว หากไม่รู้ว่าเป็นเด็กใหม่ของหัวเซิน เขายังคิดว่าเธอเป็นนักแสดงเก่าที่เล่นละครมาหลายปีแล้ว
เฉียวอิ้งฉิงยกมือขึ้นกุมใบหน้า ซี้ดปากด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
“ทำไมต้องทำรุนแรงขนาดนี้ด้วย?” เฉียวอิ้งฉิงถาม
“เซียงเซียงเป็นคนมือหนัก ต้องขอโทษด้วยนะคะ” เหวินจิ้งพูดแทรก “หลายครั้งที่เล่นงัดข้อด้วยกัน เธอทำฉันปวดแขนไม่ก็มือเคล็ดตลอด คุณเฉียวอย่าได้ถือสาเลยนะคะ”
“เจ็บมากเลย…” เฉียวอิ้งฉิงทั้งเจ็บทั้งโมโห มือยังคงกุมใบหน้าด้วยท่าทางน่าสงสาร
กู้เซียงมองเฉียวอิ้งฉิงด้วยความอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี
แม้แต่เวินหลินยู่ก็ยังต้องลูบศีรษะล้านเลี่ยนอย่างปวดตับ กู้เซียงแสดงได้สมจริงมาก แต่คนที่แสดงได้ไม่ดีคือเฉียวอิ้งฉิง อาจเพราะถูกตบฉาดใหญ่จึงทำตัวไม่ถูก ซึ่งความอ่อนแอน่าสงสารนี้ไม่ได้ช่วยให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับเธอ แต่สภาพที่คล้ายกับตัวประกอบเข้าไปทุกทีต่างหากที่ทำให้คนดูรู้สึกสงสารปนสมเพช
หากให้แสดงอีกรอบ ใบหน้าของเฉียวอิ้งฉิงจะทนแรงตบไหวหรือ? หากกู้เซียงเกิดพลั้งมือทำรุนแรงอีกรอบจะทำยังไง?
หลังทบทวนอยู่นาน เวินหลินยู่ก็ขบกรามแน่น “ฉากเมื่อกี๊ให้ผ่านแล้วกัน”
เฉียวอิ้งฉิงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะรู้ดีว่ายังแสดงไม่ดีพอ ผู้กำกับที่ใส่ใจทุกรายละเอียดของตัวละครหลักอย่างเขาควรจะลุกขึ้นปกป้องเธอ ทำไมถึงปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ
“เซียงเซียง เธอไม่เคยดูทีวีเหรอ? ไม่มีนักแสดงคนไหนตบจริงหรอกนะ” เฉียวอิ้งฉิงถาม
ประโยคนี้ทำเอาทีมงานต้องยกมือถือขึ้นบันทึกเหตุการณ์
“ฉันไม่รู้จริงๆ นะคะ” กู้เซียงก้มหน้าก้มตา “แค่คิดว่านักแสดงควรมีความรับผิดชอบต่ออาชีพ ทั้งการถูกตบ การต้องเสี่ยงอันตราย ทุกอย่างล้วนทำเพื่อคุณภาพของงานและความรู้สึกของคนดูเป็นหลัก หากรับไม่ได้ ก็แสดงว่ายังเป็นมืออาชีพไม่พอ”
ตอนที่พูดประโยคนี้เธออยู่ในชุดของพระชายา ยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอาง สายตาและท่าทางน่าเกรงขามอย่างมาก
“พูดได้ดีๆ” ถางรุ่ยปรบมือชื่นชม “อุดมการณ์สูงส่ง วิสัยทัศน์ดีเยี่ยม ผมจะคอยจับตาดูคุณนะ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
คำพูดสวยหรูของกู้เซียงตบหน้าเฉียวอิ้งฉิงอย่างแรง ทำให้หลายคนมองว่าเธอไม่ใช่มืออาชีพ แตะต้องไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
เฉียวอิ้งฉิงกลายเป็นผู้เสียเปรียบทันที แม้ไม่รู้ว่าคนทั้งกองถ่ายรู้สึกยังไง แต่ก็ไม่ได้ตำหนิกู้เซียงอีกแล้ว
ทุกครั้งที่มีเรื่อง เวินหลินยู่มักจะชอบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ยิ่งรู้ว่าเฉียวอิ้งฉิงชอบหาเรื่องดาราหน้าใหม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่เข้าข้าง
ไม่ว่าใครจะคิดยังไง ฉากนั้นก็สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อไม่อาจทำอะไรได้อีก เฉียวอิ้งฉิงจึงเดินกุมใบหน้าที่บวมช้ำออกจากฉากไป
ระหว่างรอเข้าฉากต่อไป กู้เซียงรีบไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว แต่เมื่อเดินออกมา ก็ถูกเหลียงจี้ลากเข้าไปในห้องน้ำชายที่ปลอดคน
“คุณเหลียง ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
เหลียงจี้จ้องสาวสวยตรงหน้าไม่วางตา สวยทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง สวยจนไม่จำเป็นต้องแต่งหน้า เหมือนเกิดมาเพื่อโลดแล่นอยู่บนหน้าจอ สามารถเข้าได้กับทุกคน ทั้งยังวางตัวดีและรู้ประสา การแสดงก็สมบทบาทไร้ที่ติ
ผู้หญิงที่หลายๆ คนชื่นชมกลับจงใจหาเรื่องแต่เฉียวอิ้งฉิง อย่างในตอนนี้ก็ไม่ปิดบังแววตาที่สะท้อนความรังเกียจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกทั้งคุ้นเคยและหงุดหงิดกับแววตานี้
“อย่าหาเรื่องเฉียวอิ้งฉิงอีก” เหลียงจี้เตือน
กู้เซียงส่งเสียงหัวเราะเยือกเย็น ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ เฉียวอิ้งฉิงยังคงเป็นนางในดวงใจของเหลียงจี้ ถึงขั้นยอมทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองเพื่อตักเตือนดาราหน้าใหม่ เหมือนที่ผ่านมาเธอเป็นคนไม่เจียมตัว พยายามทำลายรักแท้ของพวกเขา พอนึกย้อนดูก็รู้สึกขำปนเศร้า
รอยยิ้มเย็นชาของเธอกระตุ้นโทสะในใจของเหลียงจี้ จนถูกเขาบีบไหล่แน่นขึ้น “ฟังนะ วงการบันเทิงซับซ้อนกว่าที่เธอคิด อย่านึกว่าตัวเองวิเศษกว่าใคร เฉียวอิ้งฉิงเป็นคนใจดี แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะใจดีด้วย!”
“คุณเหลียงคะ” กู้เซียงดันมืออีกฝ่ายออกจากบ่า “ฉันก็แค่เล่นตามบท ถ้าคุณไม่พอใจก็ไปบอกนักเขียนให้แก้บทสิ พวกคุณจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกัน ฉันไม่สนใจหรอก และก็ไม่เคยหาเรื่องใครด้วย อย่าอินกับบทมากเกินไปสิคะ”
สายตาเหยียดหยามและน้ำเสียงเย้ยหยันของเธอทำเหลียงจี้โกรธจนหน้าถอดสี
“เธอ!”
ขณะที่เขากำลังจะพูดบางอย่าง เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น
“หนวกหูจริง!” จ่านหยางโพล่งขึ้น
v
จ่านหยางก้าวออกมาด้วยท่าทางสบายๆ สีหน้าราบเรียบ
แค่เขาเดินออกจากห้องน้ำไปที่อ่างล้างมือก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเดินแบบอยู่บนเวที
เหลียงจี้คิดไม่ถึงว่าจ่านหยางจะอยู่ที่นี่ด้วย เพราะบทของอีกฝ่ายน้อยมาก แค่สามวันก็ถ่ายหมดแล้วแต่กลับมากองถ่ายแทบทุกวัน ไม่เบื่อหน่ายกับความยุ่งยากในการแต่งตัว แถมยังอยู่ในชุดองครักษ์สีดำเข้ารูปอีกด้วย
หลังล้างมือเสร็จ จ่านหยางก็เดินผ่ากลางระหว่างเหลียงจี้กับกู้เซียง แต่เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันมาบอกกู้เซียงว่า “ฉากต่อไปมีบทพูด มาซ้อมด้วยกันหน่อยไหม?”
แม้จะพูดกับกู้เซียงแต่สายตากลับจ้องเหลียงจี้
ตั้งแต่รู้จักกันมา จ่านหยางอ่อนโยนกับเธอเสมอ ทั้งยังให้เกียรติทีมงาน ไม่ว่าใครที่ได้อยู่ใกล้ต่างรู้สึกสบายใจ ช่างไม่เหมือนกับบทบาทในภาพยนตร์ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวบู๊ล้างผลาญ
เขามีหุ่นนายแบบ ขนาดเหลียงจี้ที่สูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรยังเตี้ยกว่า นอกจากบุคลิกภูมิฐานอย่างซูเปอร์สตาร์แล้ว ความสูงยังช่วยเพิ่มความน่ายำเกรงได้อีกด้วย
จ่านหยางคือผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงอย่างแท้จริง เมื่อครู่เธอเพิ่งจะถูกเหลียงจี้เตือน แต่ท่าทางของเขาในตอนนี้กำลังเตือนเหลียงจี้อยู่
“นายพูดจบแล้วใช่ไหม?” จ่านหยางถามเหลียงจี้ ก่อนจะหันไปทางกู้เซียง “เราไปกันเถอะ”
ไม่รอคำตอบจากเหลียงจี้ กู้เซียงรีบวิ่งตามจ่านหยางออกไปทันที