“พักก่อนแล้วกัน อีกเดี๋ยวค่อยถ่ายต่อ” เวินหลินยู่ทำหน้าผิดหวัง
เหลียงจี้ปรายตามองกู้เซียง ก่อนจะเดินไปหาเฉียวอิ้งฉิง
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก” จ่านหยางยื่นขวดน้ำให้กู้เซียง
“ขอบคุณค่ะ” กู้เซียงรับน้ำมาดื่ม
“เขาจงใจลดบทบาทของคุณ” ดวงตาดำขลับของจ่านหยางคล้ายมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจของเหลียงจี้ “ไม่จำเป็นต้องแสดงตลอดเวลาก็ได้ เอาความเป็นตัวเองสอดแทรกเข้าไปบ้าง หรือถ้ามีช่วงชีวิตที่เคยรู้สึกแบบเดียวกัน ก็แค่เอาออกมาใช้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก” เขาตบบ่ากู้เซียงเบาๆ
กู้เซียงนิ่งไปเล็กน้อย คำพูดของจ่านหยางสามารถแก้ปัญหานี้ได้พอดี
เธอเคยมีช่วงเวลาที่หลงรักเหลียงจี้แบบหัวปักหัวปำ หากลืมเรื่องการแสดงแล้วพาตัวเองย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ก็คงไม่ต้องเหนื่อยใจขนาดนี้
“ผมช่วยซ้อมบทให้ดีไหม?” จ่านหยางถาม
v
“เริ่มได้ เริ่มได้” เวินหลินยู่ตะโกนเรียกให้ทุกคนเตรียมตัวอีกครั้ง
ฉากเดิม การแสดงเดิม
หมิงอ๋องก้าวเข้ามาในห้อง สตรีที่นั่งอยู่บนตั่งผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจ แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ คล้ายภรรยาที่รอสามีกลับบ้านยามดึก
“เราไม่ได้เล่นหมากล้อมด้วยกันนานแล้ว หมากตานี้ข้าไม่รู้จะแก้ยังไง รบกวนท่านอ๋องช่วยสอนได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“เฉินเมี่ยว ข้าไม่ได้มาเล่นหมากล้อมกับเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้น มีธุระอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ?” นางเอียงคอถามด้วยความสงสัย นัยน์ตายังคงสื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์
หมิงอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ ตอบอย่างเย็นชา “ชิวจื่อแท้งแล้ว”
ความยินดีบนใบหน้าของเฉินเมี่ยวค่อยๆ จางลง “ที่มาหาก็เพื่อจะกล่าวโทษข้าอย่างนั้นรึ?”
“อย่าบอกนะว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้า!”
“ไม่ผิด เป็นฝีมือข้าเอง”
เฉินเมี่ยวคือตัวร้ายที่ไร้ชั้นเชิง เมื่อใดที่มีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นในวัง นางจะไม่พยายามปิดบังพฤติกรรมโหดเหี้ยมของตัวเอง คล้ายคนเสียสติที่ทั้งกล้า บ้าบิ่น และจองหอง ไม่ว่าใครที่อยู่ข้างกายหมิงอ๋อง ล้วนต่ำเตี้ยเรี่ยดินราวกับยอดหญ้า ไม่มีทางที่นางจะเห็นหัว
หมิงอ๋องมีนิสัยเย็นชา เมื่ออยู่ด้วยกัน เฉินเมี่ยวจึงกลายเป็นคนที่เสียเปรียบตลอด
“ข้าเป็นภรรยาเอก เป็นชายาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แค่จัดการนางบำเรอคนเดียวจะเป็นไรไป?” เฉินเมี่ยวยกยิ้มมุมปากอย่างเลือดเย็น “ลูกข้ายังไม่ทันมาเกิด นังแพศยาก็คิดจะเอาลูกตัวเองมาเดินในบ้านเสียแล้ว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ท่านคิดว่าสตรีที่กินยาคุมกำเนิดแล้วยังมีลูกได้คือคนที่ไม่มีเจตนาแอบแฝงงั้นหรือ? โลกใบนี้ยังมีเรื่องเลวๆ อีกมากที่ท่านอ๋องยังไม่รู้นะเจ้าคะ”
นางพูดโดยปราศจากท่าทีสำนึกผิด ทั้งที่บรรยายถึงตอนใส่ยาจนทำให้คนอื่นแท้งลูก แต่กลายเป็นว่ากำลังทำเรื่องที่ถูกต้อง สมเหตุสมผลจนหมิงอ๋องไม่อาจตอบโต้ได้
หากเป็นนักแสดงคนอื่น คงจะแสดงเอกลักษณ์ของตัวร้ายออกมาอย่างเต็มที่ แต่กู้เซียงไม่อยากให้เฉินเมี่ยวเป็นจุดบอดของเรื่อง จึงเรียกความสงสารจากผู้ชมด้วยคำพูด แววตา และน้ำเสียงที่โศกเศร้าแทน
เธอรู้ดีว่าตัวร้ายที่จะได้รับความนิยมในอนาคตต้องมีนิสัยตรงไปตรงมาอย่างเฉินเมี่ยว แค่เพิ่มความจรัสแสงให้กับตัวละครอีกนิด ก็ดังไม่แพ้คู่พระนางแล้ว
ลูกผู้หญิงเหมือนกันย่อมสงสารกัน การที่เฉินเมี่ยวมีชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว ทั้งที่ฮ่องเต้พระราชทานการแต่งงานให้นาง ไม่ได้ไปบีบบังคับใจใครด้วยซ้ำ แต่กลับต้องแย่งชิงสามีกับหญิงสาวอีกมากมาย สุดท้ายก็มีจุดจบที่น่าอนาถเพราะความรัก
กู้เซียงมีช่วงชีวิตที่คล้ายกับเฉินเมี่ยวมาก เหมือนที่จ่านหยางเคยพูดไว้ครั้งก่อน หากแสดงไม่ได้ก็แค่ย้อนนึกถึงความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันก็พอ
มันคือการแสดงที่ไหนกัน ก็แค่เอาภาพเดิมๆ มาฉายซ้ำเท่านั้นเอง
บทพูดเพียงไม่กี่ประโยคที่กู้เซียงถ่ายทอดออกมา ทำอารมณ์ของผู้ชมพลุ่งพล่านไปตามๆ กัน
“สารเลว ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
“ท่านอ๋องต่างหากที่ไร้เหตุผล ข้าเป็นภรรยาหลวงแต่กลับไม่ได้รับความโปรดปรานเท่านังแพศยาตำหนักจื่อหลาน ทั้งที่เป็นแค่ชายารองแต่กลับจองหอง วางอำนาจบาตรใหญ่ อย่าว่าแต่ทำให้แท้งเลย ต่อให้ต้องลากนางไปฆ่า ฟ้องท่านพ่อ ฟ้องฝ่าบาท ก็ไม่มีใครกล่าวหาว่าข้าผิดหรอก!”
“คิดจะขู่ข้างั้นรึ?” หมิงอ๋องกำหมัดแน่น
เฉินเมี่ยวยิ้มเยาะ “ข้าขู่ท่านที่ไหนกัน เราเป็นผัวเมียกันนะเจ้าคะ”
“คัท!” เวินหลินยู่ตะโกน
กู้เซียงปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แสดงได้ดีมาก” จ่านหยางลุกขึ้นปรบมือแบบไม่อายใคร
“ดีมากจริงๆ” เวินหลินยู่พยักหน้าเห็นด้วย
ตอนกล้องซูมเข้าใกล้จนเห็นสีหน้าของกู้เซียงอย่างชัดเจน ทุกคนในที่นั้นพลันตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกับเธอจนยากจะถอนตัว แต่เหลียงจี้กลับรู้สึกไม่พอใจ จึงย้อนดูภาพในกล้องอีกครั้งแล้วก็พบว่าฉากที่ทำให้ทุกคนรู้สึกขัดตาไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของกู้เซียง เพราะเธอส่งอารมณ์ได้ดีมาก กลับเป็นเขาที่ถูกแย่งซีนจนหมดความสง่างามในตัว หากลองพิจารณาให้ดีจะพบว่าเหลียงจี้ทำผิดพลาดอย่างที่ไม่ควรจะเกิด ทั้งสีหน้าที่แข็งกระด้างและการนิ่งอึ้งไปหลายวินาที
เวินหลินยู่แอบตำหนิเหลียงจี้ในใจ ทั้งที่เป็นถึงนักแสดงอันดับต้นๆ ในวงการ แต่เขากลับถูกดาราหน้าใหม่ลดบทบาทจนมิด
เหลียงจี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือสั่นเทาเล็กน้อย
ตอนที่เขาเข้าฉากกับกู้เซียง จู่ๆ เธอก็ปลดปล่อยอารมณ์ออกมา ทั้งแววตาและน้ำเสียงราวกับเป็นคนละคน ไม่รู้ว่าอินกับบทบาทหรือเกลียดเขามาแต่ชาติปางไหน จนเหลียงจี้รู้สึกเหมือนกำลังทำผิดต่อภรรยาจริงๆ ดุเดือดจนเขาไม่สามารถเล่นตามบทหรือถ่ายทอดอารมณ์ของตัวเองได้
เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกอีกฝ่ายลดบทบาทจนดูน่าอนาถ ทุกคนในกองถ่ายก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ความรู้สึกอับอายค่อยๆ ก่อตัวจนอดที่จะหันมองกู้เซียงไม่ได้
พอเห็นแววตาที่มองมา เธอก็ส่งยิ้มและพยักหน้าให้อย่างสุภาพ
“การแสดงเมื่อครู่ ต้องขอบคุณพี่เหลียงที่ช่วยแนะนำนะคะ”
ครั้งแรก เหลียงจี้ลดบทบาทของเธอ
ครั้งที่สอง เธอลดบทบาทของเขา
การที่นักแสดงแถวหน้าของประเทศถูกดาราหน้าใหม่แย่งซีน ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงดี
ใบหน้าของเหลียงจี้ร้อนผ่าวเมื่อรู้ว่ามันคือการโต้กลับของกู้เซียง
ใช่แล้ว เธอกำลังโต้กลับ
ในเมื่อเขาต้องการจะสอนการแสดงมา เธอก็จะสอนความเป็นคนตอบกลับไป
ฉากถัดไป กู้เซียงทำได้อย่างราบรื่น
เธอมีความสามารถด้านการแสดงอยู่แล้ว จึงจงใจลดบทบาทของเหลียงจี้จนเขากระวนกระวายทำตัวไม่ถูก
ตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นความบังเอิญ แต่เมื่อเหลียงจี้ผิดพลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้รู้ว่าเขาต่างหากที่เป็นนักแสดงสมทบ มีหน้าที่เสริมให้กู้เซียงโดดเด่นขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่รู้ปัญหา เหลียงจี้ก็พยายามปรับอารมณ์ ทว่าเรื่องเหนือความคาดหมายกลับผุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นดั่งใจ จึงต้องยอมให้ฉากนั้นผ่านไปแบบจำใจ
เหวินจิ้งเลิกคิ้ว หันไปสะกิดเคลวิน “เซียงเซียงของฉันสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ”
เคลวินแค่นเสียงฮึในลำคอแล้วทำเป็นไม่สนใจ กลายเป็นเฉียวอิ้งฉิงที่ได้ยินบทสนทนาแล้วโมโหหน้าดำหน้าแดง
รอจนเลิกกอง เวินหลินยู่ตบบ่ากู้เซียงด้วยความพึงพอใจ “คุณต้องอนาคตไกลแน่นอน”
กู้เซียงขอบคุณคำชมของอีกฝ่ายแล้วเดินไปหาจ่านหยาง “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ”
คำพูดของเขาทำให้การแสดงของเธอมีชีวิตชีวามากขึ้น ในฐานะนักแสดงด้วยกัน คนคนนี้ช่างใจดีเหลือเกิน หากเป็นนักแสดงคนอื่นๆ คงไม่ใส่ใจเด็กใหม่อย่างเธอถึงขนาดนี้
“ไม่เป็นไรหรอก” จ่านหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แย่งซีนเขา ง่ายจะตายไป”
กระทั่งจ่านหยางคล้อยหลังไป เหวินจิ้งจึงชะโงกหน้าเข้ามา
“เมื่อกี๊เธอแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก ทีมงานชมกันไม่ขาดปากเลย ส่วนใหญ่จะบอกว่าเล่นเหมือนดาราแถวหน้าที่แสดงมาแล้วหลายปี”
กู้เซียงแอบขำในใจ—หลายปีที่ไหนกัน หลายสิบปีแล้วต่างหาก!
“อาทิตย์หน้าจะออกอากาศแล้ว กระแสตอบรับต้องดีมากแน่นอน” เหวินจิ้งยิ้มไม่หุบ
กระแสตอบรับต้องดีอยู่แล้ว เพราะบทประพันธ์เดิมทั้งมีชื่อเสียงทั้งมีฐานแฟนคลับคอยติดตามอย่างเหนียวแน่น แถมก่อนออกอากาศยังไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นอกจากเรื่องที่จ่านหยางมาร่วมแสดงด้วย ทำให้บรรดาแฟนละครตื่นเต้นมาก
ละครอาจถูกเผยแพร่และดึงดูดความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก ส่วนเธอจะสามารถอาศัยบทบาทนี้เพิ่มความโด่งดังให้กับตัวเองได้หรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป…
ละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนจะออกอากาศทางโทรทัศน์เพียงช่องทางเดียว สัปดาห์ละสองตอน ช่วงเย็นวันพุธและวันพฤหัสบดี
ทีมผู้จัดใช้เงินประชาสัมพันธ์ก้อนใหญ่เพื่อปั่นกระแส จนเกิดการโต้เถียงกันระหว่างแฟนหนังสือกับแฟนละคร รวมถึงข่าวหลุดที่ว่าเฉียวอิ้งฉิงกับเหลียงจี้คือพระนางของเรื่องนี้
ก่อนออกอากาศหนึ่งสัปดาห์ จู่ๆ ก็มีข่าวว่าจ่านหยางมาเป็นดารารับเชิญ ทำให้ละครเรื่องนี้ดังตั้งแต่ยังไม่ออกอากาศ
‘ตู้หยู่’ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า แอบเปิดโทรศัพท์ดูความเคลื่อนไหวในเวยป๋อ แล้วพูดกับ ‘เสี่ยวหมิ่น’ เพื่อนร่วมชั้นเรียนภาคค่ำที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “อีกสองชั่วโมงจะออกอากาศแล้ว ถ้าฉันแกล้งปวดท้องประจำเดือนแล้วขอกลับบ้านก่อน เธอว่าครูจะให้ไหม”
“ไม่ให้แน่นอน” เสี่ยวหมิ่นส่ายหน้าด้วยความระอา “ที่ปรึกษาของพวกเรายังจับตามองอยู่นะ”
“ฉันติดตามฉีโฮ่วจ้วนตั้งแต่ตอนที่เป็นหนังสือ ตอนนี้เอามาทำเป็นละครแล้ว ถ้าไม่สนุกละก็ จะด่านักเขียนไปถึงโคตรเหง้าเลย”