อีกด้านหนึ่ง นางกำนัลถือโคมไฟไว้ในมือแล้ววิ่งเหยาะๆ นำทางพระชายาด้วยความรู้สึกสะใจ คิดอยากให้อีกฝ่ายจัดการกับหญิงชู้ให้เข็ดหลาบ
เฉินเมี่ยวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย เดินตามนางกำนัลด้วยสีหน้าร้อนรน แม้กิริยาจะเร่งรีบแต่บุคลิกยังคงสง่างาม เพราะอย่างไรก็เป็นหญิงสูงศักดิ์ ต้องพยายามสำรวมตามที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
จ่านหยางเลิกคิ้วมองกู้เซียง เธอใช้ความสามารถด้านการแสดงอย่างเต็มที่ ทั้งบุคลิกและอิริยาบถ ล้วนเพิ่มความน่าประทับใจให้กับตัวละครตัวนี้ แม้จะเป็นตัวร้าย แต่ก็เป็นตัวร้ายที่สง่างาม ไม่ใช่พวกเมียหลวงไร้สมองที่สุดท้ายก็ถูกทิ้งอย่างน่าสงสาร
นางกำนัลหยุดฝีเท้าที่ด้านหลังพุ่มไม้แล้วหันมองเฉินเมี่ยวด้วยแววตากังวล จากพุ่มไม้ไปจนถึงเงาของคนทั้งสองที่ใต้ร่มไม้ห่างกันประมาณสิบเมตร แม้จะดูไร้เหตุผล แต่สองคนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้ว่ากำลังถูกจับตามอง
กล้องแพนเข้าใกล้แผ่นหลังของเฉินเมี่ยว นางยืดลำคอเล็กน้อยเพื่อเงี่ยหูฟังบทสนทนาของชายโฉดหญิงชั่ว
เมฆดำค่อยๆ บดบังแสงจันทร์ เงาของทั้งคู่ที่อยู่ใต้ร่มไม้เริ่มเลือนราง บุรุษตรงหน้าดึงร่างของหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้วกระซิบบทกลอนเบาๆ
วิธีที่ชายหนุ่มจะง้อหญิงสาวมีอยู่สองวิธี ที่พบเห็นได้บ่อยคือการซื้อของให้ ไม่ก็สบถสาบาน แต่ในยุคนี้การสาบานดูจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป คนที่มีการศึกษาจึงมักใช้บทกลอนแทนความรู้สึก
“แม้ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง ก็ไม่ขอแยกจากเจ้า”
“แม้หิมะตกในฤดูร้อนหรือฟ้าผ่าในฤดูหนาว ก็จะไม่เปลี่ยนใจจากท่าน”
หลังจากอิงแอบแนบชิดและสาบานความรักต่อกันแล้ว ทั้งสองก็ประกบปากจุมพิต
เนื่องจากเป็นละครย้อนยุคฟอร์มยักษ์ จึงมีการตรวจสอบเนื้อหาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะฉากวาบหวิวที่ไม่ควรมีมากจนเกินไป ฉากจูบจึงถ่ายแค่พอเป็นพิธี
นอกจากฉากรักของจูชิงฮวนกับฮ่องเต้ ซึ่งต้องระมัดระวังอยู่หลายฉาก บทระหว่างพระนางล้วนเป็นรักที่บริสุทธิ์ แม้ฉากจูบจะมาช้า แต่กลับเป็นฉากที่เรียกความกระชุ่มกระชวยให้กับคนดูได้มาก
หมิงอ๋องเข้าใกล้จูชิงฮวน กอดนางไว้แนบกายแล้วจูบอย่างดูดดื่ม
เวินหลินยู่กลืนน้ำลายด้วยความตกตะลึง พวกเขาควรจะจูบเพื่อแสดงความในใจเท่านั้น โดยมีกล้องหมุนถ่ายรอบตัว แต่กลับทำด้วยความเร่าร้อน เข้าถึงอารมณ์ราวกับเป็นคู่รักกันจริงๆ
“ให้ตายเถอะ ใส่กันไม่ยั้งเลย!”
ดวงตาของเวินหลินยู่ฉายแววตื่นเต้น เขาเป็นนักธุรกิจย่อมต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ฉากนี้สามารถนำไปทำเป็นตัวอย่างตอนต่อไปที่เรียกความสนใจจากผู้ชมได้ล้นหลาม
เขาไม่สนว่าละครน้ำดีควรจะมีหรือไม่มีฉากแบบนี้ เพราะยิ่งเร่าร้อนเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จึงตัดสินใจเพิ่มฉากจูบให้ยาวขึ้น
จ่านหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ทุกฉากมีจุดเด่นในตัวอยู่แล้ว การปล่อยให้เหลียงจี้กับเฉียวอิ้งฉิงทำแบบนี้ต่อไป จะเป็นการบิดเบือนความสำคัญของเนื้อหาโดยปริยาย
พูดให้ดูดีก็คือนักแสดงพยายามถ่ายทอดอารมณ์เพื่อให้ละครออกมาสมบูรณ์ แต่กลับดูเหมือนจงใจแย่งซีนกู้เซียง
หลังเพิ่มเวลาให้ฉากจูบ เวินหลินยู่ก็นึกได้ว่ายังมีฉากปะทะอารมณ์อีก จึงให้กล้องเลื่อนไปที่เฉินเมี่ยวตรงหลังพุ่มไม้
สตรีสูงศักดิ์ย่อตัวอยู่ตามลำพัง มือทั้งสองข้างกำกิ่งไม้แห้งไว้แน่น ทั้งร่างสั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าซีดเผือด นัยน์ตาดำขลับมีน้ำตารื้นแต่ไม่ไหลออกมา ริมฝีปากสั่นระริก สีหน้าหลากหลายจนบอกไม่ได้ว่าเจ็บปวด โศกเศร้า หรือโกรธแค้นกันแน่
เวินหลินยู่ไม่เคยเห็นดาราคนไหนสามารถแสดงแววตาที่ทั้งสับสนและซับซ้อนได้อย่างสมบูรณ์ ราวกับเป็นชีวิตจริงไม่ใช่การแสดง แม้จะมีกล้องและอุปกรณ์การถ่ายทำขวางกั้น เขาก็ยังรู้สึกถึงความเศร้าและความโกรธ คล้ายว่าเธอเคยผ่านประสบการณ์ถูกนอกใจมาก่อน ยิ่งมาถูกคนที่รักและไว้ใจตลอดหลายปีทรยศหักหลัง ทำให้รู้สึกสิ้นหวังอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้
กล้องฉายให้เห็นใบหน้างดงามคล้ายดอกไม้ผลิบาน ความเศร้าในดวงตาถูกแทนที่ด้วยความแค้น ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นพลังอย่างรวดเร็ว
เขาจ้องกู้เซียงนิ่งค้างโดยไม่รู้ตัว กระทั่งถูกทีมงานสะกิดเนื่องจากฉากนั้นจบลงแล้ว
กู้เซียงจัดเสื้อผ้าหน้าผมแล้วเดินออกจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะปรายตามองอีกสองคนที่ใต้ต้นไม้
“จูบกันดูดดื่มขนาดนั้น คิดว่าถ่ายหนัง AV อยู่หรือไง?” เธอนึกดูถูกฝีมือของเฉียวอิ้งฉิงและเหลียงจี้ในใจ
จ่านหยางยกนิ้วโป้งให้กู้เซียง
เธอนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงสติกลับมา
ด้วยประสบการณ์ของจ่านหยาง เขารู้ว่าสองคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ รู้ด้วยว่าวิธีแบบนี้กระจอกเหลือเกิน
กู้เซียงในชาติที่แล้วไม่เคยเข้าใจความคิดของเหลียงจี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ เสียแรงที่เขาเคยได้รับรางวัลด้านการแสดง ไม่คิดว่าจะใช้เรื่องวาบหวิวเร้าอารมณ์มาแข่งแบบนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ดาราหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการด้วยซ้ำ
“แม่เจ้า เซียงเซียง เธอเล่นได้ดีมาก!” เจี่ยงลี่ลี่ยกนิ้วโป้งให้เธออีกคน “ฉันน้ำตาไหลตามเลย ตอนแรกก็นึกสงสารอยู่แล้ว แต่พอได้อ่านตอนจบก็ยิ่งสะเทือนใจเข้าไปอีก แบบนี้ต้องขอให้นักเขียนแก้ตอนจบแล้วแหละ”
เวินหลินยู่ที่เพิ่งออกจากภวังค์ เอ่ยชมคู่พระนางที่อุตส่าห์สละภาพลักษณ์ของตัวเองมาเล่นฉากเร่าร้อนให้
“แสดงได้ดีมาก”
เฉียวอิ้งฉิงยิ้มอย่างพึงพอใจ แม้จะใช้วิธีที่ต่ำตมไปบ้าง แต่ความโด่งดังของกู้เซียงน่ากลัวกว่า ไม่ว่าอะไรเธอก็ยอมทำทั้งนั้น
กู้เซียงไม่สนใจว่าเฉียวอิ้งฉิงจะรู้สึกยังไง เพราะตั้งแต่ตอนที่ยี่สิบห้าเป็นต้นไป เฉินเมี่ยวจะได้เข้าฉากมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังต้องแสดงร่วมกับหมิงอ๋องและจูชิงฮวนอีก
ฉากเมื่อครู่แทบไม่นับว่าเป็นการแสดงร่วม เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบเห็นเพียงเงาของพวกเขา ไม่มีการสนทนาใดๆ แต่จากนี้จะไม่ใช่แล้ว
เวินหลินยู่นำฉากของกู้เซียงและเฉียวอิ้งฉิงมารวมกัน เนื่องจากถ่ายตอนกลางคืนทั้งคู่
ฉากต่อไปเกิดขึ้นหลังจากที่เฉินเมี่ยวจับหญิงชู้ได้สำเร็จ นางไม่ได้เข้าไปจัดการพวกเขาในทันที เพราะยังรักสามีอย่างสุดซึ้ง แต่คิดจะสั่งสอนหญิงหน้าไม่อายที่มายั่วยวนสามีให้รู้ผิดรู้ชอบมากกว่า
ในฐานะที่เป็นตัวร้าย จึงคิดจะหาวิธีสกปรกสารพัด จนนำพาตัวเองถลำลึกลงไปเรื่อยๆ
วิธีการของเฉินเมี่ยวมีไม่กี่วิธี ทำร้ายด้วยวาจา ทำร้ายด้วยวัตถุ และทำร้ายร่างกาย
เฉินเมี่ยวกระทำต่อจูชิงฮวนอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา ทั้งตบตี ด่าทอ สุดท้ายก็สั่งให้องครักษ์อย่างเจียงเยว่ไปขโมยพรหมจรรย์ของจูชิงฮวน
นี่เป็นวิธีที่งี่เง่ามาก เพราะจูชิงฮวนเป็นสนมของฮ่องเต้ ย่อมไม่เหลือพรหมจรรย์อีกแล้ว หากอยากให้นางไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ก็ควรเอาเรื่องการคบชู้สู่ชายไปกราบทูลมากกว่า แต่เพราะเฉินเมี่ยวเป็นตัวร้าย จึงต้องใช้วิธีโง่ๆ ตามที่ได้รับบทมา
เฉินเมี่ยวกับฮองเฮาเป็นญาติห่างๆ กัน ตอนอภิเษกสมรสเข้ามาเป็นชายาของหมิงอ๋อง ฮองเฮาในฐานะลูกพี่ลูกน้องมีส่วนช่วยให้พิธีทั้งหมดราบรื่น ด้วยเหตุนี้ การที่เฉินเมี่ยวเดินทางเข้าออกวังจึงเป็นเรื่องปกติ พอเข้าวังได้นางก็รีบไปหาจูชิงฮวนแล้วจับตัวเข้าห้องมืด ข่มขู่ให้หวาดกลัวสารพัด
ฉากนี้กู้เซียงและเฉียวอิ้งฉิงต้องเผชิญหน้ากัน คนหนึ่งหยิ่งยโส อีกคนฉลาดและน่าสงสาร ทั้งสองมีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง ดาราเก่าดาวค้างฟ้าในวงการภาพยนตร์ กับดาราหน้าใหม่ที่เข้าถึงจิตวิญญาณของตัวละคร สิ่งที่กู้เซียงแสดงให้ทุกคนเห็นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนดูไม่อาจคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง
ในฐานะนางเอก เฉียวอิ้งฉิงให้ความสำคัญกับฉากนี้มาก จะไม่ยอมถูกแย่งความสนใจไปจากคนดูเด็ดขาด แค่ทุกวันนี้ก็ถูกเอาความสวยไปเปรียบเทียบกับกู้เซียงแล้ว มีหรือที่ดาราแถวหน้าอย่างเธอจะยอม จึงฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้สีหน้าท่าทางสื่อออกมาได้อย่างสมบูรณ์
กู้เซียงตั้งหน้าตั้งตารอฉากนี้เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะจะได้ประชันบทบาทกับเฉียวอิ้งฉิง แต่เพราะจะได้ ‘ตบ’ แล้วต่างหาก
ฉากตบเป็นฉากยอดนิยมของละคร นอกเหนือจากฉากเลิฟซีน ฉากปะทะคารม และฉากต่อสู้ การตบจำเป็นต้องมีเทคนิค ตบยังไงให้น่าดู ตบซ้ำๆ ยังไงให้ดูดี
หลังหย่าร้าง การเงินของกู้เซียงขัดสนมาก จึงต้องกลับไปรับงานละครอีกครั้ง แต่ในวงการบันเทิง ดาราที่อับแสงแล้วไม่ต่างอะไรกับหมาตัวหนึ่ง จึงได้เพียงละครครอบครัวที่แสดงแบบขอไปที
หากเป็นละครครอบครัวของผู้จัดชื่อดังก็ว่าไปอย่าง เพราะมีชั้นเชิงให้น่าติดตาม แต่ที่เธอได้รับกลับเป็นพวกละครน้ำเน่า ประเภทแม่ผัวลูกสะใภ้ ยิ่งตอนนั้นทุกคนให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตา สวยก็ได้เป็นนางเอก ขี้เหร่ก็ได้เป็นตัวร้าย
มีอยู่ฉากหนึ่งที่กู้เซียงเล่นเป็นมือที่สาม ต้องถูกภรรยาหลวงที่รับบทโดยนักแสดงอันดับสามตบหน้า แทนที่ฝ่ายนั้นจะตบเธอครั้งเดียว กลับตบรัวๆ เกือบสิบครั้ง
ตอนแรกกู้เซียงคิดว่าตัวเองแสดงไม่ดี แต่เมื่อเห็นผู้กำกับและทีมงานหัวเราะเยาะราวกับเป็นเรื่องตลก จึงสืบจนรู้จากปากของผู้ช่วยในกองถ่ายว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง ซึ่งคนคนนั้นก็คือเฉียวอิ้งฉิง
เธอถูกตบจนใบหน้าบวมช้ำทั้งที่เพิ่งจะแท้งลูก ซ้ำยังถูกเอารูปไปประจานในอินเทอร์เน็ต ทำให้โรคซึมเศร้ากำเริบอีกครั้ง