“หน้าตาของหล่อนตรงข้ามกับเรื่องที่ทำมากนะ”
“โสเภณีนักปรัชญา ถุย!”
กู้เซียงจิบชาพลางอ่านข่าวในนิตยสารบันเทิงรายวันอย่างช้าๆ ซึ่งมียอดขายถล่มทลายกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า
เฉียวอิ้งฉิงเคยทำอะไรไว้กับเธอ ก็จะทวงคืนให้สาแก่ใจ
ชาติที่แล้วรู้อะไรมา ชาตินี้จะขอเปิดโปงให้ครบทุกตัวอักษร
หากจะเหยียบย่ำใคร ก็ควรขยี้ให้จมดิน
ความเมตตา ความสงบนิ่ง ความบริสุทธิ์งั้นเหรอ?
ไปตายซะ!
“เปิดแถลงข่าว ติดต่อสื่อมวลชนให้เร็วที่สุด!”
เฉียวอิ้งฉิงโกรธจนปากสั่น เธอย้ำคำพูดเหล่านี้กับผู้จัดการส่วนตัวหลายครั้ง
ผู้จัดการส่วนตัวของเธอก็แทบเสียสติเช่นกัน สื่อมวลชนนำเสนอข่าวเร็วมาก ทั้งยังพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมายอีก ไหนจะบรรดาเพจข่าวในอินเทอร์เน็ต ที่ช่วยกันโหมกระพือจนแทบตั้งรับไม่ทัน
ยิ่งเวลาผ่านพ้นไป ข่าวด้านลบก็ยิ่งถูกเผย
หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงโยนความผิดให้กับพวกหน้าม้า แต่ครั้งนี้มีหลักฐานประกอบครบถ้วน ทั้งรูปถ่ายที่ชัดเจนและไฟล์เสียง ไม่มีทางที่จะหลุดจากข้อครหาได้ การเปิดแถลงข่าวอาจไม่ช่วย เพราะจะกลายเป็นเป้าให้นักข่าวยิงมากกว่า
แฟนคลับคือกลุ่มคนที่น่าสนใจมาก หากพวกเขาชอบดาราคนไหน ก็จะยกยอปอปั้นและผลักดันจนโด่งดัง แต่หากทำให้เกลียดเมื่อใด ก็อาจได้พบกับความโหดร้ายที่แท้จริงของโลกใบนี้
เฉียวอิ้งฉิงพยายามติดต่อหลี่ซั่ว แต่เขาไม่รับสาย
ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจ เมื่อหมดผลประโยชน์ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนกับสิ่งที่ไม่ได้ผลตอบแทนอีก เขาจึงตัดสัมพันธ์กับเธออย่างเด็ดขาด
เหลียงจี้อ่านข่าวในอินเทอร์เน็ตเช่นกัน สีหน้าของเขาย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ข้อมูลของเฉียวอิ้งฉิงอยู่เหนือความคาดหมายมาก แม้แต่เรื่องที่เธอแอบคบกับเหลียงจี้ก็ถูกนำมาพูดถึงด้วย
หลายคนรู้สึกสงสารเหลียงจี้ หนุ่มหล่อที่ถูกสวมเขา แต่บางคนกลับมองว่าเขารู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ด้วย
ตั้งแต่เข้าวงการมา หน้าตาและฝีมือการแสดงของเหลียงจี้ช่วยให้เขาเดินบนเส้นทางนี้ได้อย่างราบรื่นและสง่างาม มาวันนี้กลับถูกเรียกว่า ‘ไอ้ควาย’ เป็นใครก็ต้องรู้สึกอัปยศ
เรื่องระหว่างเฉียวอิ้งฉิงกับหลี่ซั่วเขาไม่เคยรู้มาก่อน คิดมาตลอดว่าทั้งคู่เพิ่งคบกัน พอมีข่าวฉาวถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกสวมเขานานหลายปีแล้ว
ตลอดสองปีที่คบกัน เฉียวอิ้งฉิงแสดงออกถึงความเป็นผู้ดีจนเขาไม่คิดระแวงสงสัย พอได้รู้ธาตุแท้ของเธอ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน
แม้จะเลิกกันไปแล้ว เฉียวอิ้งฉิงก็ยังพยายามติดต่อหาเหลียงจี้ราวกับเป็นแสงสุดท้าย
เขาเคยหลงรักเธอแบบหัวปักหัวปำ จึงมั่นใจว่ายังไงก็ต้องกลับมา ทว่าเหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาบล็อกเธอทุกช่องทางอย่างไม่ลังเล
ตอนผู้ชายรักก็คือรัก ตอนไม่รักก็พร้อมจะเมินเฉย นับประสาอะไรกับเฉียวอิ้งฉิงที่เป็นเหมือนโคลนตม ใครเข้าใกล้เป็นต้องแปดเปื้อนและซวยไปด้วย
เหลียงจี้รักอาชีพของเขามาก คงไม่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อหญิงแพศยาแน่นอน
ถางรุ่ยฟาดนิตยสารบันเทิงรายวันลงบนอกของจ่านหยาง ซึ่งพาดหัวข่าวแฉเฉียวอิ้งฉิงอย่างต่อเนื่อง
นักข่าวทุกสำนักทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ยิ่งตั้งฉายาให้เธอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งขายดี มีตั้งแต่คุณหนูหยก หญิงโลภ โสเภณีนักปรัชญา แม่ชีถือสาก และอีกมากมาย
“ไม่ต้องให้ใครช่วยเลย เธอคนเดียวจัดการอยู่หมัด” ถางรุ่ยยกนิ้วโป้งให้ “แน่นอนจริงๆ”
แผนโต้กลับของกู้เซียงกระหน่ำจนอีกฝ่ายแทบไม่ได้พักหายใจ ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ชื่อเสียงของเฉียวอิ้งฉิงก็ตกต่ำราวกับหนูในท่อระบายน้ำ ไม่ว่าใครก็อยากจะถ่มน้ำลายใส่ด้วยความเหยียดหยาม
จุดจบของเฉียวอิ้งฉิงครั้งนี้ แม้แต่ผีก็ยังรังเกียจ ชื่อเสียงของเธอย่อยยับป่นปี้ คงต้องบอกลาวงการบันเทิงอย่างถาวรแล้ว
ถางรุ่ยไม่รู้สึกว่ากู้เซียงทำรุนแรงเกินไป เพราะเฉียวอิ้งฉิงสร้างวีรกรรมไว้มากเหลือเกิน ไม่เอาคืนคงโง่เต็มทน
“เด็กของนายนี่โหดได้ใจ!” ถางรุ่ยตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ “ฉันจะคอยดูเธอต่อไป”
จ่านหยางกวาดตามองพาดหัวข่าวของเฉียวอิ้งฉิงแล้วยกยิ้มมุมปาก
“เติมเชื้ออีกดีไหม?”
“พอแล้วมั้ง” ถางรุ่ยปราม “แค่นี้ก็ไม่มีที่ยืนแล้ว”
“แต่ฉันยังมีข่าวเหลืออยู่อีก”
“แล้วแต่พ่อรูปหล่อเลย ว่าไงว่าตามกัน!”
ข่าวเสียหายของเฉียวอิ้งฉิง เป็นกระแสต่อเนื่องยาวนานกว่าหนึ่งเดือน
ปกติดาราหญิงจะเป็นข่าวประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็ซาลงแล้ว แต่ไม่ใช่กับเฉียวอิ้งฉิง
เธอถูกพาดหัวข่าวในเวยป๋อทุกวัน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง แฟนคลับที่เคยสนับสนุนพากันโจมตีอย่างแข็งขัน แถมยังใส่สีตีไข่จนเรื่องราวบานปลายใหญ่โตอีก
บริษัทของเฉียวอิ้งฉิงเคยชี้แจงผ่านฝ่ายประชาสัมพันธ์ แต่ทุกข้อแก้ตัวถูกโต้กลับจนต้องโพสต์ขอโทษลงในอินเทอร์เน็ต
กู้เซียงไม่มีเวลาจะสนใจเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะยุ่งอยู่กับการถ่ายทำเรื่องน้องใหม่
จ่านหยางได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอถึงรู้เรื่องของเฉียวอิ้งฉิงมากขนาดนี้ แต่พอคิดจะถาม เขาก็มีอันต้องเปลี่ยนใจทุกครั้ง
ชาติที่แล้วหลังหย่ากับเหลียงจี้ เฉียวอิ้งฉิงเยาะเย้ยกู้เซียงด้วยการเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังด้วยตัวเอง
สมัยนั้นมีปาปารัสซี่ในตำนานที่ชอบขุดคุ้ยด้านมืดของดาราอยู่คนหนึ่ง เขาคือคนที่ถ่ายภาพได้ชัดราวกับตัดต่อ สามารถทำลายชื่อเสียงของดาราจนสะเทือนไปทั้งวงการ โรงแรมหลายแห่งขาดรายได้จากการเสนอขายภาพในกล้องวงจรปิดเพราะเขา แต่หลังจากโลดแล่นในวงการได้ปีกว่า เขาก็วางมือและยุติอาชีพตั้งแต่นั้น
กู้เซียงเคยตามหาเขาเพราะคิดอยากทำลายเฉียวอิ้งฉิง น่าเสียดายที่เขาวางมือจากงานนี้แล้ว แม้จะอ้อนวอนหว่านล้อมยังไงก็ไม่เป็นผล
ชาตินี้เขายังไม่มีชื่อเสียงในวงการปาปารัสซี่ แต่ก็เริ่มสร้างผลงานบ้างแล้ว เธอจึงลองติดต่อไป ซึ่งเขาก็รับทำงานให้
‘เยว่เหลียงจุน’ เคารพจรรยาบรรณในอาชีพของตัวเองมาก ข้อมูลที่หามาล้วนเป็นความจริง หากศิลปินคนไหนมีอดีตที่ด่างพร้อย มีด้านมืดเกินรับได้ ก็เตรียมตัวถูกเขาขุดโคตรเหง้าออกมาแฉได้เลย
กู้เซียงมีข้อมูลชั้นเยี่ยมที่ประกอบกับหลักฐานของเยว่เหลียงจุนได้อย่างสมบูรณ์ ซ้ำพวกเขายังได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากกลุ่มคนที่เคยถูกเฉียวอิ้งฉิงเหยียบย่ำอีก
แค้นนี้จะช้าจะเร็วก็ต้องชำระ หากเฉียวอิ้งฉิงคิดฆ่าตัวตาย ก็คงโทษใครไม่ได้
เว่ยคุนเดินอ้อมไปอีกทางเพราะไม่อยากประจันหน้ากับกู้เซียง ตอนเข้าฉากด้วยกันก็ออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
ครั้งที่แล้วเฉียวอิ้งฉิงวางแผนจะถ่ายรูปวาบหวิวของกู้เซียง โดยมีเว่ยคุนรับหน้าที่ดูต้นทางให้ แม้ลึกๆ เขาจะรู้สึกชื่นชมความสามารถของเธอ แต่ก็เทียบไม่ได้กับความเห็นแก่ตัวในใจ
เว่ยคุนอายุเยอะแล้ว เหลือเวลาในวงการบันเทิงอีกไม่มาก ในเมื่อหลี่ซั่วรับปากว่าจะหาบทพระรองให้เขา ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ผงาดอีกครั้ง
เขาไม่อยากเป็นนักแสดงสมทบไปตลอดชีวิต จึงตัดสินใจดับอนาคตของกู้เซียง
ความละอายใจถูกแทนที่ด้วยความเห็นแก่ตัวและความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ ทว่าเรื่องราวกลับตาลปัตร ไม่เพียงเธอจะไม่ติดกับ แต่ยังได้จ่านหยางมาช่วยกู้สถานการณ์อีก
เว่ยคุนรู้สึกละอายจนไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย แต่ละวันเหมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตะปู กลัวว่าจะถูกกู้เซียงแก้แค้นเหมือนอย่างเฉียวอิ้งฉิง
กู้เซียงไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่ไม่ให้ความเคารพเว่ยคุนเหมือนที่ผ่านมา ในเมื่อเขาคือคนที่อยากเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็ไม่จำเป็นจะต้องคบค้าสมาคมด้วย
เจี่ยงลี่ลี่กระโดดมายืนข้างกู้เซียงแล้วส่งน้ำให้ขวดหนึ่ง “ถางรุ่ยบอกว่าเดือนหน้าจะปิดกล้องแล้ว ใจหายเลย ไม่รู้จะได้เล่นด้วยกันอีกไหม”
“ก็ไม่แน่นะคะ” กู้เซียงหัวเราะ “เรื่องหน้าพี่คงได้เล่นเป็นนางเอกแล้ว ส่วนฉันคงเป็นได้แค่นักแสดงสมทบ”
เธอจำได้ว่าปีนี้เจี่ยงลี่ลี่จะได้งานภาพยนตร์แนวสะท้อนสังคม เกี่ยวกับความรุนแรงในโรงเรียน โดยจะเล่นเป็นครูสาวที่เพิ่งเข้ามาสอน
“สมพรปากนะ” เจี่ยงลี่ลี่ยิ้มอย่างมีความสุข
คุยกันไปได้สักพัก ถางรุ่ยก็เรียกกู้เซียงไปเข้าฉากจูบ
ก่อนหน้านี้ จ่านหยางขอเลื่อนฉากจูบออกไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้หนังใกล้จะถ่ายเสร็จแล้ว จึงไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้อีก
กู้เซียงไม่คิดว่าผู้ชายบริสุทธิ์อย่างเขาจะถ่ายฉากจูบได้ยากเย็นขนาดนี้ บทก็ไม่ต้องท่อง แค่ทำความคุ้นเคยกับฉากแล้วจูบให้ได้อารมณ์ก็พอ
จ่านหยางจัดเน็กไทให้เข้าที่ แล้วนั่งลงบนโซฟาโดยไม่ละสายตาจากกู้เซียงที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ถางรุ่ยหวังให้การถ่ายทำครั้งนี้ออกมาดี แต่ก็แอบกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีก จึงให้พวกเขาได้พูดคุยกันไปเรื่อยๆ เพื่อละลายพฤติกรรม
กู้เซียงถอดเสื้อคลุมตัวหนาออก เผยให้เห็นชุดราตรีเกาะอกด้านใน ก่อนจะนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้า
สื่อนำเสนอข่าวด้านลบของเฉียวอิ้งฉิงแทบทุกวัน แม้ข้อมูลของกู้เซียงจะเป็นประโยชน์ แต่ก็อาจทำให้จ่านหยางโดนหางเลขไปด้วย เพราะเขาออกหน้าแทนเธอหลายครั้งแล้ว
เหตุผลที่คอยช่วยเหลือคืออะไร หรือจะแอบชอบเธอเข้าจริงๆ?
“ทำไมถึงคอยช่วยฉันตลอดเลยล่ะ?” เธอถาม
เรื่องนี้ควรกระจ่างโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องติดหนี้บุญคุณกัน
จากที่อยากถามเขาว่าชอบเธอหรือเปล่า กลับกลายเป็นประโยคที่ว่า “คุณขาดความรักเหรอ?”
ประโยคนี้ทำจ่านหยางอึ้งไปเล็กน้อย กู้เซียงเองก็ตะลึงไม่แพ้กัน
ใบหน้างดงามภายใต้แสงไฟที่จัดไว้อย่างพอเหมาะ ชวนให้รู้สึกหลงใหลโดยไม่รู้ตัว ความปรารถนาของทั้งสองถูกดึงออกมาทีละน้อย ดวงตาสุกใสคู่นั้นสั่นไหวเบาๆ
จ่านหยางประคองใบหน้าของกู้เซียง แล้วประทับริมฝีปากอย่างอ่อนโยน
“อืม…”
จบเล่มหนึ่ง (โปรดติดตามต่อเล่มสอง)