หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 10

ตอนที่ 10

“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ?” กู้เซียงถามกลับ

จ่านหยางเริ่มเปลี่ยนท่ายืน มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างดับก้นบุหรี่แล้วโยนทิ้งถังขยะ

สู่เซินขยับแว่นตาให้เข้าที่ “ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”

“ฉันคิดว่าเขากำลังติดยา” กู้เซียงตอบอย่างหนักแน่น

ถางรุ่ยกับเหวินจิ้งทำตาโต ส่วนจ่านหยางที่กำลังสูบบุหรี่มวนที่สองก็ชะงักเช่นกัน

“เป็นไปไม่ได้!” สู่เซินสวนกลับทันควัน

กู้เซียงคลี่ยิ้มเย็น “ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ยังไง เหลียงจี้เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าฝันร้าย ฉันเห็นลางไม่ดีเลยบอกให้เขาจอดรถ แต่เขากลับเหยียบคันเร่ง” เธอยักไหล่ “ถ้าเขาอยากตายก็ต้องตายคนเดียว ฉันไม่ตายด้วยหรอก!”

“ผมจะเชื่อได้ยังไง คุณพูดอยู่ฝ่ายเดียว” สู่เซินส่ายหน้า

“รถที่พังยับเยินคือหลักฐานไงคะ” กู้เซียงตอบเสียงเรียบ “ฉันตัดสินใจว่าจะแจ้งความ ต่อให้เขาบาดเจ็บสาหัสอยู่ในห้องไอซียู ก็ต้องถูกตรวจปัสสาวะ จะได้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุครั้งนี้”

พูดจบเธอก็เตรียมจะเดินไปเปลี่ยนชุด

“เดี๋ยวก่อน” สู่เซินยังคงไม่ลดละ

รอยยิ้มบางๆ ของกู้เซียงจางหายไป เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนขี้ระแวง ยิ่งฉลาดก็ยิ่งไม่ไว้ใจอะไรง่ายๆ

ที่เธอสงสัยว่าเหลียงจี้ใช้ยาอาจเป็นเรื่องจริง เพราะชาติที่แล้วก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่เมื่อไม่มีการพิสูจน์ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

“ทำแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอครับ? เหลียงจี้ถูกไฟคลอกบาดเจ็บสาหัส แต่คุณกลับจะตรวจปัสสาวะเขา แถมยังพูดแต่เรื่องที่ตัวเองเสียหายอีก?”

ท่าทางหนักแน่นของกู้เซียงทำสู่เซินคิดหนัก หากเหลียงจี้ติดยาจริงๆ อนาคตของเขาต้องดับแน่นอน ต่อให้ผลลัพธ์ออกมาว่าไม่มีสารเสพติดในร่างกาย ก็คงหยุดความคิดของชาวเน็ตไม่ทันแล้ว

“ฉันแค่อยากให้ความจริงเปิดเผย” กู้เซียงยิ้ม “ไม่ว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้จะเป็นยังไง ข้อหาพยายามฆ่าก็จะยังคงเหมือนเดิม”

“ผมว่าเราคุยกันก่อนดีไหม? ต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้แน่นอน”

ถางรุ่ยไม่อยากจะเชื่อว่ากู้เซียงทำให้สู่เซินกลัวได้

“มีอีกวิธีหนึ่งค่ะ” กู้เซียงจ้องอีกฝ่ายราวกับลูกไก่ในกำมือ

“วิธีอะไรครับ?”

“ฉันไม่แจ้งความก็ได้ เพราะยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมอาชีพกัน แต่เขาจะต้องหาหลักฐานมายืนยันว่าเป็นผู้ป่วยทางจิต จะได้ไม่ต้องตรวจปัสสาวะไงคะ”

จ่านหยางหลุดหัวเราะในลำคอ ดวงตาที่มองกู้เซียงเต็มไปด้วยความชื่นชม

ถางรุ่ยกับเหวินจิ้งได้แต่เก็บความสะใจไว้อย่างเงียบๆ

การที่ดาราออกมายอมรับว่ามีปัญหาทางจิต เท่ากับโบกมืออำลาวงการบันเทิงทางอ้อม แต่ก็ดีกว่าถูกตรวจปัสสาวะเป็นไหนๆ

ข้อดีของแบบแรกคือเจ้าตัวออกหน้ารับผิดเอง ไม่ต้องถูกบังคับให้พิสูจน์ความผิด

ได้ยินที่เธอพูด สู่เซินก็โมโหหน้าดำหน้าแดง

“อาการของเหลียงจี้กำลังวิกฤต แต่คุณกลับคิดจะซ้ำเติม!”

“โอ้โฮ ฟังดูคุ้นหูจัง” กู้เซียงจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เหนือกว่า “ฉันไม่ได้ซ้ำเติม แค่ปรับตัวตามสถานการณ์ ในเมื่อไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเหลียงจี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นใจ!”

เธอยกยิ้มมุมปากอย่างมีชัย “เขาอยากหาเรื่องตายเอง จะโทษฉันได้ยังไง?”

สู่เซินไม่เพียงเสียผลประโยชน์ แต่ยังเสียหน้าด้วย

กู้เซียงเหมือนจะเจรจาด้วยความเป็นมิตร แต่ทุกข้อเสนอไม่ต่างจากคมมีดที่ปักลงกลางอกของสู่เซิน จนเขาแทบขาดใจตาย

แม้จะเป็นผู้จัดการส่วนตัว ก็ไม่ใช่คนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดรอดฝั่ง เพียงแต่ความเป็นความตายของเหลียงจี้ ผูกพันกับชะตาของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

สู่เซินสูดหายใจเข้าลึกแล้วเริ่มงัดไม้ตายออกมาใช้

“ต่อให้เรื่องนี้ถึงตำรวจ พวกเราก็ไม่กลัว คุณรู้ใช่ไหมว่าการต่อสู้ทางกฎหมายต้องเสียทั้งเงินและเวลา เหลียงจี้ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน แต่กับคุณผมไม่แน่ใจ กำลังจะรุ่งในวงการแท้ๆ แต่กลับต้องวิ่งเข้าออกศาลเป็นว่าเล่น คิดว่าคุ้มเหรอครับ?”

“เงินกับเวลาไม่ใช่ปัญหาแน่นอน ไม่ต้องห่วง” จ่านหยางอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก

สู่เซินหมดคำจะโต้เถียง ต่อให้กู้เซียงไม่มีเงิน แต่กับจ่านหยางไม่ใช่ปัญหา

ถ้าครอบครัวของจ่านหยางเอาเรื่องเหลียงจี้จริงๆ เขาไม่รอดแน่นอน คนมีเงินไม่น่ากลัวเท่าคนที่มีทั้งเงินและอำนาจ

“ให้ตายเถอะ… ทำไมต้องมีเรื่องกับสองคนนี้ด้วย!” สู่เซินบ่นเหลียงจี้ในใจ

“เรื่องนี้ผมขอทบทวนดูก่อน คุณก็อย่าเพิ่งด่วนทำอะไรลงไป รอให้อาการป่วยของเหลียงจี้ดีขึ้นค่อยว่ากัน อีกสองวันผมจะติดต่อกลับมา” พูดจบเขาก็รีบออกจากห้องไป

กู้เซียงปัดมือคล้ายทำภารกิจสำเร็จลุล่วง แต่จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นได้

“ผู้กำกับฉินเป็นยังไงบ้าง?”

กองถ่ายภาพยนตร์คมมีดอาชาเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ย่อมต้องโดนสื่อตามหาความจริงแน่นอน

คนที่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยอย่างกู้เซียงได้รับการดูแลอย่างดีจนไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์ ส่วนคนที่อยู่ในห้องไอซียูอย่างเหลียงจี้ก็ยิ่งไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้

สาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้ถูกคาดเดาไปต่างๆ นานา ผู้จัดการส่วนตัวของเหลียงจี้กับบริษัทต้นสังกัดไม่สามารถถามหาความรับผิดชอบจากกองถ่ายหรือกู้เซียงได้เลย หลายคนจึงมีอคติกับเรื่องนี้

จู่ๆ เหลียงจี้ก็ประสบอุบัติเหตุหนัก แถมก่อนหน้ายังถูกเฉียวอิ้งฉิงสวมเขาอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจนหลายคนสงสาร ส่วนอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยกลับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย บางคนคิดว่ารถของกองถ่ายเกิดขัดข้อง แต่บางคนก็คิดว่าเป็นฝีมือของกู้เซียง ทว่าไม่สามารถหาข้อขัดแย้งของทั้งคู่ออกมายืนยันได้

ขณะสถานการณ์กำลังคุกรุ่น แฟนคลับของเหลียงจี้คนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตที่ทำลายความสงบนิ่งทั้งปวง

“ถ้าเหลียงจี้เป็นผู้เสียหายจริงๆ ทำไมบริษัทกับผู้จัดการส่วนตัวถึงไม่ออกมาเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นใบ้กันไปหมดแล้วเหรอ?”

หินก้อนใหญ่ที่ถูกโยนลงน้ำสร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง กลุ่มคนที่เสพเพียงข่าวลือเริ่มคิดตามสมมติฐานที่ตั้งอยู่บนความถูกต้องนี้

ตกลงว่าเหลียงจี้ขับรถเป็นหรือเปล่า?

เขามีความแค้นกับกู้เซียงหรือไม่?

หรือเขาจะอยากฆ่าตัวตาย?

หลังทบทวนทุกเหตุปัจจัย ก็มีคนสงสัยว่าเขาอาจป่วยทางจิตไม่ก็ติดยา

อย่าได้ดูถูกสติปัญญาของคนเสพข่าว อาจเพราะเหลียงจี้ใช้บุญเก่าหมดไปตั้งแต่ชาติที่แล้ว ชาตินี้จึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เหลียงจี้อยู่แต่ในโรงพยาบาล จึงไม่รู้ว่าภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะความคิดของสู่เซินที่เตรียมจะสละเรือเพื่อเอาตัวรอด

นอกจากจะถูกไฟคลอกจนเสียโฉม เขายังถูกครหาเรื่องติดยา ปัญหาทางจิต และข้อหาเจตนาฆ่าอีก ต่างจากสู่เซินที่ยังมีความสามารถ มีเครือข่ายที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือ แล้วจะยอมลงเรือลำเดียวกับเหลียงจี้ไปทำไม

การทำงานก็เหมือนนกในป่าใหญ่ เมื่อมีภัยอยู่ตรงหน้า ต้องพร้อมจะบินออกจากรังโดยไม่นึกอาลัยอาวรณ์

สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปเรียกร้องให้ตำรวจเข้าทำการตรวจสอบ เพื่อไขข้อกระจ่างและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น

การถ่ายทำเรื่องคมมีดอาชาต้องหยุดลงชั่วคราว เมื่อใดที่ความจริงปรากฏ ก็จะสามารถดำเนินการต่อได้ตามปกติ

กู้เซียงยังไม่สบายใจเสียทีเดียว เพราะจ่านหยางไม่คุยด้วยหลายวันแล้ว

เธอไม่รู้ว่าทำอะไรให้เขาไม่พอใจ ถึงได้หงุดหงิดขนาดนั้น แม้แต่การสัมภาษณ์คู่รักคู่จิ้นแห่งปี ก็ไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

กู้เซียงเริ่มจนปัญญา จึงอบคุกกี้ไปให้จ่านหยางที่ห้อง

“คุกกี้รสใหม่ ลองชิมหน่อยไหม”

“ไม่อะ” เขาตอบอย่างรวดเร็วแล้วเดินกลับเข้าห้อง

ถางรุ่ยสงสารกู้เซียงจึงรับขนมมากินเอง

“อร่อยดีนี่! ผมนี่นับถือคุณเลย ดาราหญิงส่วนใหญ่กินอาหารเหมือนแมวดม แต่คุณใช้ชีวิตได้มีรสชาติมาก”

เห็นถางรุ่ยกินขนมอย่างมีความสุข กู้เซียงก็ไม่รู้จะพูดอะไร หลังทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

“จ่านหยางเป็นอะไรเหรอคะ? ดูอารมณ์ไม่ดีเลย”

ถางรุ่ยเหลือบมองห้องนอนของเพื่อนรัก แล้วถอนหายใจเบาๆ

“ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะไม่น่าเล่าเท่าไหร่…”

“งั้นไม่เป็นไรค่ะ” กู้เซียงรู้สึกเกรงใจ “คุยเรื่องอื่นก็ได้”

“คุณไม่อยากรู้เหรอ?”

“อยากรู้ แต่คุณบอกว่าไม่อยากเล่า”

“ผมก็พูดให้น่าสนใจไปงั้นแหละ”

ด้วยความที่เธอไม่ใช่คนอื่น ถางรุ่ยจึงเล่าความจริงให้ฟัง

“วันที่คุณกระโดดลงจากรถ เคลาส์ตกใจแทบคลั่ง นอกจากคุณจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ภาพในตอนนั้นยังทำให้เขานึกถึงแม่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างการถ่ายทำด้วย”

เขากับจ่านหยางโตมาด้วยกัน ตระกูลของถางรุ่ยทำงานด้านศิลปะตั้งแต่รุ่นปู่ย่าจนถึงรุ่นพ่อแม่ ทุกคนล้วนเป็นจิตรกร ถางรุ่ยไม่สนใจงานศิลปะแต่ชอบงานภาพยนตร์มากกว่า โชคดีที่เขามีน้องสาวอีกคน ไม่งั้นคงถูกคนในตระกูลเล่นงานแล้ว

ตระกูลจ่านและตระกูลถางสนิทกันมานาน เพราะตระกูลจ่านอยู่ในโลกของศิลปะเช่นกัน

ย่าของจ่านหยางเป็นนักร้องหญิงชื่อดังในกองทัพ ส่วนปู่ของเขาก็เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งพาครอบครัวอพยพไปอยู่แคนาดาหลังเกษียณ

‘จ่านฉางเฟิง’ พ่อของจ่านหยางเป็นถึงเจ้าของโรงแรมชื่อดัง แต่แม่ของเขากลับเป็นแค่นักแสดงอันดับสามที่ไม่โด่งดัง

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท