หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 32

ตอนที่ 32

ภาพยนตร์เรื่องไล่ล่าฆ่าเบคจะเข้าโรงหลังปีใหม่ ภาพยนตร์แนวไซไฟที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็ใกล้จะปิดกล้องแล้ว ส่วนภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับนักสืบก็ถ่ายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ด้วยความพยายามที่จะสั่งสมประสบการณ์ ทำให้ทุกคนได้เห็นในเชิงประจักษ์ การประกาศรางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นในปีนี้ ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงที่ถูกจับตามอง

“ถ้าได้รางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นจริงๆ ฉันจะพาคุณไปเที่ยวต่างประเทศ” กู้เซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้แทบไม่ได้พักเลย เหนื่อยจัง”

มือข้างหนึ่งของจ่านหยางกุมพวงมาลัยรถ ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นไปลูบศีรษะของกู้เซียง

“ใครให้คุณลำบากขนาดนั้นล่ะ”

“คนเราเกิดมาครั้งเดียว ถ้าไม่สู้ให้ถึงที่สุดก็คงเสียดายแย่” เธอถอนหายใจเบาๆ “แต่ฉันก็มีความสุขดี”

คอนเสิร์ต ‘ความรักของเติ้งซิน’ จะเริ่มตอนสองทุ่มครึ่ง

ด้านนอกมีผู้ชมต่อแถวรออย่างคับคั่ง เติ้งซินเติบโตได้ดีในวงการดนตรีอย่างน่าประหลาดใจ และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการ ใครที่อยากดูคอนเสิร์ตต้องแย่งกันซื้อตั๋วด้วยความยากลำบาก

“ยังไม่เริ่มเก็บตั๋วกันอีกเหรอ หนาวจังเลย” ตู้หยู่บ่นกับกู้หนานพลางถูมือไปมา

ผู้คนที่แออัดยัดเยียดทำให้อากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจคลายความหนาวจากหิมะที่โปรยปรายในเมือง G ได้

อุณหภูมิโดยรวมค่อนข้างต่ำ ตู้หยู่แทบจะซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของกู้หนานแล้ว

กู้หนานก็มีสีหน้าไม่สู้ดี ที่ผ่านมาเขาค่อนข้างถือตัว จึงไม่ชินกับการถูกผู้หญิงเข้ามาทำตัวสนิทสนม แม้จะพยายามหลีกเลี่ยง ก็เหมือนจะไม่เป็นผล

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ตู้หยู่ตามตื๊อจนเขายอมคบหาด้วย จากนั้นเธอก็อ้อนหนักขึ้นทุกวัน

กู้หนานก้มมองตู้หยู่ที่หนาวสั่นจนริมฝีปากซีด เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญาแล้วยื่นชาร้อนในมือให้ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

ตู้หยู่ก็รีบโอบเอวอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ

ไม่ไกลจากตรงนั้น เด็กหนุ่มผมหยิกยืนต่อแถวอยู่กับเพื่อนชายที่มาด้วย

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มผมหยิกรับหน้าที่เป็นพิธีกรจนได้รับการยอมรับในวงการบันเทิง ส่วนในวงการข่าว เขาคือดาวดวงใหม่ที่กำลังเติบโต เพราะมักจะหาข่าวสดใหม่มาเซอร์ไพรส์ได้เสมอ

เขาทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ทั้งยังมีไหวพริบ ที่สำคัญคือไม่เคยเขียนข่าวมั่ว ทุกข้อมูลคือความจริงที่น่าเชื่อถือ จนเพื่อนร่วมวงการต่างอิจฉา แต่ก็ทำได้แค่มองอีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเขามีปาปารัสซี่ในตำนานคอยหนุนหลังอยู่

วันนี้ก็เช่นกัน เขาถูกรุ่นพี่สั่งให้มาเก็บภาพบรรยากาศคอนเสิร์ตด้วยกัน แม้จะอยากปฏิเสธ แต่หนุ่มผมหยิกก็สำนึกในบุญคุณที่อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือ จึงอยากจะตอบแทนบ้าง แต่ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะเอากล้องถ่ายรูปมาด้วย

สำหรับนักข่าว การถ่ายภาพที่ไม่มีมูลค่าใดๆ นับเป็นเรื่องเสียเวลามาก แม้คอนเสิร์ตของเติ้งซินจะซื้อบัตรได้ยาก แต่เขาไม่ใช่แฟนคลับและไม่ใช่ปาปารัสซี่ที่ชอบแอบถ่ายเป็นชีวิตจิตใจ จากที่คิดว่าแค่มานั่งดูคอนเสิร์ต กลับกลายเป็นความอึดอัดที่ยากจะอธิบาย

“เก็บกล้องเถอะพี่ ผมไม่อยากได้ภาพของไอ้หมอนั่นสักหน่อย”

บรรดาสาวๆ ที่รายล้อมพวกเขา ต่างไม่พอใจเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไอ้หมอนั่น’

“ประสาทหรือเปล่า! ไม่ชอบแล้วมาดูทำไม?”

“ไม่ชอบแล้วเอากล้องมาทำไม? หรือว่าหิวแสง?”

“ไปให้พ้นๆ เลย อย่าให้ต้องไล่!”

“เหนื่อยใจจริงๆ พวกโรคจิตมีมากขึ้นทุกวัน!”

เด็กหนุ่มผมหยิกมีสีหน้าลำบากใจ ขณะจะหันหลังกลับ รุ่นพี่ก็พูดขึ้นว่า “อย่าเพิ่งไปสิ มีสิ่งที่นายอยากถ่ายรออยู่นะ”

พอได้ยิน เขาก็ตาเป็นประกาย

“รุ่นพี่ได้ข่าวอะไรมา? บอกผมเลยดีกว่า”

ยิ่งไม่ได้รับคำตอบ เขาก็ยิ่งตื่นเต้น

“หรือจะมีการถล่มคอนเสิร์ต ไม่ก็มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ไม่ก็มีภาพโป๊หลุด!”

ยิ่งคิด จินตนาการของเด็กหนุ่มผมหยิกก็ยิ่งไปไกลกว่าเดิม จนลืมที่จะสังเกตแววตาโกรธเคืองรอบด้าน

ในที่สุดคอนเสิร์ตก็เริ่มขึ้น

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เด็กหนุ่มผมหยิกที่นั่งแถววีไอพีหน้าสุด หาวหวอดด้วยความเบื่อหน่าย หากเป็นคนอื่นคงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นไปแล้ว

“รุ่นพี่หลอกผมเปล่าเนี่ย ไม่เห็นมีข่าวอะไรเลย”

ฝ่ายนั้นก้มดูเวลาแล้วตอบว่า “อีกแป๊บหนึ่ง”

ขณะนั้น เติ้งซินร้องเพลงจบพอดี

“นี่คือครั้งที่สองที่ผมได้มาเล่นคอนเสิร์ตในเมือง G เลยอยากร้องเพลงที่ไม่เคยร้องที่ไหนมาก่อน เพื่อมอบให้กับคู่รักทุกคู่ในที่นี้ หวังว่าจะชอบกันนะครับ”

จากนั้นทำนองที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น เพลงนี้ถูกนำมาเปิดจนติดหู แม้จะเป็นเพลงบอกรักทั่วไป แต่เนื้อหากลับกินใจจนเปลี่ยนบรรยากาศของคอนเสิร์ตได้ในฉับพลัน

บรรยากาศทรมานคนโสดปกคลุมไปทั่ว โดยเฉพาะเสี่ยวหมิ่นกับเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่นั่งคู่กัน

กู้หนานให้บัตรคอนเสิร์ตเพื่อนๆ ไปหลายใบ บอกเพียงว่าได้มาจากเพื่อนอีกคน แต่ในความเป็นจริงคือได้มาจากกู้เซียงซึ่งเป็นแขกรับเชิญพิเศษ

ตู้หยู่ซบกู้หนานแล้วคลอเพลงตาม ร้องเพี้ยนเสียจนคนรอบข้างหันมามอง กู้หนานแทบแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอาย แต่เมื่อถูกบรรยากาศพาไป ก็เผลอคลอเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัว

เด็กหนุ่มผมหยิกยืดหลังตรงด้วยความสนอกสนใจ เพราะนอกจากจะจำเพลงของกู้เซียงได้แล้ว ยังร้องตามได้ทุกคำอีกด้วย

ทำนองหวานปนเศร้าถูกบรรเลงผ่านเปียโนโดยเติ้งซิน เมื่อเข้าสู่ประโยคแรกของบทเพลง เสียงร้องที่คุ้นเคยของผู้หญิงก็ดังขึ้น

“ฉันเองก็ใช่ว่าจะกล้า…”

ทุกคนในที่นั้นนิ่งไปชั่วขณะ เพราะที่ได้ยินไม่ใช่เสียงของเติ้งซินแน่นอน

ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ เด็กหนุ่มผมหยิกก็ผุดลุกขึ้น คนอื่นอาจไม่รู้เพราะกู้เซียงเป็นนักแสดงที่มีผลงานเพลงไม่มาก แต่เขาในฐานะแฟนคลับตัวยงย่อมจำได้อยู่แล้ว

“แต่ใช่ว่าจะไม่กล้าตาย

ก่อนที่จูบแสนหวานจะผ่านถึงใจ

จะทำยังไงให้ความหวั่นไหวเหมือนใกล้หน้าผา

เปลี่ยนเป็นความมั่นใจ เหมือนได้ยืนบนดาดฟ้า…”

เสียงนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ม่านขนาดใหญ่บนเวทีเปิดออกทั้งสองด้าน กล้องหยุดอยู่ที่ผู้ชมแถวหน้าสุด บนเวทีปรากฏภาพของใครคนหนึ่งยืนถือไมค์และแย้มยิ้มอย่างสดใส

“เซียงเซียงเหรอเนี่ย?” ตู้หยู่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “เซียงเซียงจริงๆ ด้วย!”

ส่วนเด็กหนุ่มผมหยิกก็รีบคว้ากล้องจนมือไม้พันกันไปหมด

“ทำไมรุ่นพี่ไม่บอกตั้งแต่แรก!”

“รักคุณโดยไร้เหตุผล

ขอให้เสียงหัวใจผ่านไปไขว่คว้า

แค่มีคุณอยู่ในใจ ก็มีพลังมหาศาล

โอบประคองสองแขนที่ไร้เรี่ยวแรง ให้ก้าวต่อไป…”

สิ้นเสียงหวานก้องดังกังวานของเธอ ภาพของชายใบหน้าหล่อเหลาอีกคนก็ปรากฏขึ้นบนจอ

เสียงโห่ร้องของคนทั้งฮอลล์ดังสนั่นจนงานแทบระเบิด

“ซูเปอร์สตาร์จ่าน? ให้ตายเถอะ โคตรสมกันเลย!”

กู้เซียงกับจ่านหยางจูงมือกันเดินมาข้างหน้า บรรยากาศของงานคึกคักขึ้นในพริบตา

สองคนนี้มีงานถ่ายภาพยนตร์ตลอด ไม่ค่อยออกรายการทีวี โอกาสที่จะมาเป็นแขกรับเชิญยิ่งไม่ต้องพูดถึง

คนที่ได้ดูคอนเสิร์ตในวันนี้ รู้สึกคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะได้เห็นคู่รักเปิ่นเป๋อมาขึ้นคอนเสิร์ตอวดความหวานแบบตัวเป็นๆ

“คนอื่นไม่เข้าใจ

เหตุผลร้อยพันไร้ความหมาย

ยังคงทุ่มเทใจ คล้ายเจ็บไม่เป็น

เหมือนวิ่งตามความฝัน

แต่ใครกันจะมุ่งมั่นกว่าที่เห็น

ไฟแดงแล้วดับ ห้ามอย่างยากเย็น

แต่เธอก็เห็น ไม่มีใครขวางฉันได้

มุ่งหน้าเผชิญไม่ไหวหวั่น

เพราะฉันไม่ได้อ่อนหวานเหมือนใคร

มีเพียงใจกล้าหาญหนึ่งเดียว…”

ทุกคนในคอนเสิร์ตร่วมกันร้องเพลง กล้องบันทึกภาพบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักของผู้ชมแล้วฉายขึ้นจอ บ้างก็จับมือกันหวานชื่น บ้างก็กอดกันอย่างอบอุ่น ส่วนคู่รักที่ถ่ายทอดบทเพลงอยู่บนเวทีก็หวานใส่กันไม่หยุด

“เซียงเซียงของฉัน!”

ตู้หยู่แทบไม่สนใจกู้หนาน พอเห็นว่าตัวเองถูกฉายภาพขึ้นจอก็กรีดร้องด้วยความตื่นเต้น เป็นกู้หนานที่ต้องแสดงความรักด้วยการกุมใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปาก

คู่ถัดไปที่ถูกฉายภาพขึ้นจอเริ่มกระวนกระวาย ชายแก่อ้วนกลมที่นั่งอยู่ด้านข้างนึกสนุกขึ้นมา จึงคว้าร่างของหญิงสาวที่มาด้วยไปประทับจูบอย่างเร่าร้อน

เด็กหนุ่มผมหยิกที่ตั้งใจจะถ่ายภาพไอดอลของตัวเอง แต่ต้องได้เห็นภาพของหญิงสาวที่ถูกชายแก่จูบอย่างเร่าร้อนก็สบถด้วยความขยะแขยง

“ไปบอกรักกันเถอะ” เด็กหนุ่มร่างอ้วนกวาดตามองบรรยากาศหวานชื่นที่อยู่รอบตัวอย่างเขินอาย ก่อนจะประสานมือเข้ากับเสี่ยวหมิ่น

เติ้งซินยังคงบรรเลงเปียโนไปเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ชมด้านล่างพากันเผยความในใจ ไม่ก็แลกจูบเพื่อบอกรักกัน

เพลงนี้ช่วยให้พวกเขากล้าหาญมากขึ้น โดยมีกู้เซียงที่กำลังสอดประสานมือกับจ่านหยางอย่างมั่นคงเป็นตัวผลักดัน

เมื่อได้มอบความกล้าให้แก่กัน ความรักจึงค่อยๆ บังเกิด

เช้าวันรุ่งขึ้น ภาพของคู่รักเปิ่นเป๋อว่อนไปทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต

กู้เซียงได้คะแนนนิยมจากคนดูเป็นจำนวนมาก ส่วนการปรากฏตัวของจ่านหยางก็ฆ่าคนโสดทั้งฮอลล์ให้ตายสนิท

แต่ก็มีอีกเรื่องที่ถูกพาดหัวข่าวด้วยเช่นกัน…

ในงานคอนเสิร์ตของเติ้งซิน กู้เซียงกับจ่านหยางกำลังร้องเพลงบนเวที กล้องก็คอยจับภาพผู้ชมเพื่อฉายขึ้นจอใหญ่ไปด้วยกาศรางวัลโล่ทองคำแล้ว ถ้าคุณได้รางวัลนักแสดงหญิงดีเด่น เราไปพักผ่อนกันดีไหม?” จ่านหยางถามขณะขับรถ

“เร็วจังเลย หนึ่งปีแล้วเหรอเนี่ย?” กู้เซียงอุทาน

หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องคมมีดอาชาออกฉาย ฝีมือการแสดงของกู้เซียงไม่เพียงทำให้เธอได้แฟนคลับเพิ่มขึ้น แต่ยังสร้างความประทับใจให้กับบรรดานักวิจารณ์อีกด้วย

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท