หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 39

ตอนที่ 39

เขายังจำภาพของกู้เซียงในภาพยนตร์เรื่องนั้นได้ มีคนมาสอนศิลปะป้องกันตัวให้แม่ของเขาจนวิชาแก่กล้าไร้เทียมทาน

คำถามของเขาไร้เดียงสาจนจ่านหยางไม่รู้จะตอบยังไง

ทีมงานเอากล่องอาหารเย็นมาวางไว้ให้ ในนั้นมีหมั่นโถวสามก้อนและไข่ต้มอีกสองฟอง เป็นความแร้นแค้นที่สมจริงสมจังมาก

จ่านหยางให้จ่านซิงเฉินกินก่อน ซึ่งเขาก็ไม่ได้เกรงใจและลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ที่เอาแต่ร้องไห้กระจองอแง ไม่ยอมกินอาหารธรรมดาทั่วไป จ่านซิงเฉินกลับให้ความร่วมมืออย่างน่าประหลาด แม้อาหารจะไม่ถูกปาก แต่ก็กลืนลงคออย่างเงียบๆ

ตอนเด็กกว่านี้ เขาค่อนข้างเลือกกิน กู้เซียงจึงเปิดละครดราม่าประชดชีวิตที่เธอเคยแสดงให้ลูกดู เพื่อให้เห็นถึงชะตากรรมที่แสนลำบากของตัวละคร

“ดูซิว่าแม่กินอะไร”

พอโตขึ้นอีกหน่อย เขาถึงได้เข้าใจว่ามันคือการแสดง ทว่าเคยชินกับสิ่งที่แม่ปลูกฝังมาแล้ว จึงเป็นเด็กไม่เลือกกิน ใครให้อะไรมาก็กินได้หมด

จ่านหยางมองลูกชายด้วยแววตาชื่นชม กระทั่งอีกฝ่ายกินเสร็จ จึงลงมือกินข้าวที่เหลือต่อ

กินเสร็จก็ถึงเวลาเข้านอน หากเป็นลูกคนอื่นคงได้ฟังพ่อเล่านิทานก่อนนอนไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับคู่นี้

แม้จ่านหยางจะมีอารมณ์อยากเล่านิทานให้จ่านซิงเฉินฟัง แต่บรรยากาศโดยรอบก็ดูจะไม่เอื้อเท่าไหร่

วัดร้างที่มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงและรูปปั้นน่าเกลียดน่ากลัวสองรูป ยังมีกลิ่นอับชื้นพัดเอื่อยเข้ามาเป็นระยะๆ ให้เล่าเรื่องผีน่าจะเหมาะมากกว่า

จ่านซิงเฉินค่อยๆ ปีนขึ้นกองฟาง เลิกผ้าห่มออกแล้วเอนตัวลงนอน

สามสิบวินาทีหลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วพูดกับจ่านหยางว่า “ปะป๊า ผมนอนไม่หลับ”

เรื่องกินข้าวดูจะง่ายกว่าเรื่องนอนมาก ยิ่งจ่านซิงเฉินเป็นเด็กรักความสะอาด ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก

จ่านหยางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปนั่งเป็นเพื่อน

“นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอน ออกไปเดินเล่นกันดีกว่า”

จ่านซิงเฉินพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งที่ในใจรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่น่าจะมีอะไรให้เล่น

“จับจิ้งหรีดกันไหม?” จ่านหยางถามลูกชาย

จ่านซิงเฉินตาเป็นประกาย

“เหมือนหนังที่พ่อเล่นไง พอถึงฤดูร้อนก็ออกไปจับจิ้งหรีด จับได้ก็เอาใส่กล่องไว้ฟังเสียงร้องของมัน อยากไปไหมล่ะ?” เขาโน้มน้าวเต็มที่

“ไปฮะ!” จ่านซิงเฉินผุดลุกขึ้น

ความกระตือรือร้นของเด็กน้อย ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ

สองพ่อลูกที่ชอบวางมาดเก๊กหล่อ กลายเป็นเด็กสามขวบที่กำลังเล่นโคลนกันอย่างสนุกสนาน

กล้องที่ถูกซ่อนไว้ บันทึกทุกอิริยาบถของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นความเบิกบานสดใส จริงใจไม่เสแสร้ง และแววตาแห่งความสุข จนคนดูรู้สึกตามไปด้วย

“ทำอะไรน่ะ?” จ่านหยางขมวดคิ้วถามลูกชาย

“ป๊าต้องยอมให้ป้ายหน้าอีกรอบ ผมถึงจะยกจิ้งหรีดตัวนี้ให้” จ่านซิงเฉินทำหน้าทะเล้น

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

“ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องอยู่นาน จนคนดูพากันหัวเราะตาม

เล่นกันจนหนำใจแล้ว พวกเขาก็เข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ปะป๊า ดาวสวยจังเลยครับ”

ดวงดาวแถบชนบทจะใหญ่และสว่างกว่าในเมือง คล้ายทั้งฟ้ากำลังจะร่วงลงมาให้ได้แตะต้อง

“นอนกันเถอะ” จ่านหยางกระซิบเบาๆ “พรุ่งนี้ยังมีกิจกรรมอีกนะ”

จ่านซิงเฉินพลิกตัวมากอดคอผู้เป็นพ่อแล้วพึมพำเบาๆ

“คิดถึงหม่าม้าจังเลย…”

จ่านหยางไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งจึงรู้สึกถึงเสียงหายใจที่สม่ำเสมอของเด็กชายตัวน้อยในอ้อมกอด

“ป๊าก็คิดถึงม้าเหมือนกัน”

วันต่อมา จ่านซิงเฉินตื่นแต่เช้าตรู่

จ่านหยางกลัวว่าจ่านซิงเฉินจะถูกแมลงกัด จึงกอดลูกชายไว้ในอ้อมแขนทั้งคืน

แม้พ่อลูกคู่นี้จะดูไม่สนิทกัน แต่ที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นว่าจ่านหยางเป็นพ่อที่ปากร้ายแต่ใจดี

หลังจากอาบน้ำล้างหน้าและกินอาหารเช้าเสร็จ จ่านซิงเฉินกับพ่อก็สวมชุดกีฬาแล้วไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

ณ สถานที่นัดหมาย พ่อลูกคู่อื่นๆ ก็มาถึงกันหมดแล้ว เพราะอยู่ไม่ไกลจากจุดทำกิจกรรม

เวินเถียนเถียนวิ่งเหยาะๆ เข้าไปทักทายจ่านซิงเฉิน

“จ่านซิงซิง เมื่อวานเห็นผีหรือเปล่า?”

เติ้งเติงและเกาหนิงรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็อยากรู้เช่นกัน

ช่างกล้องรีบซูมใบหน้าของจ่านซิงเฉินที่ตอบคำถามด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ผีไม่มีจริงหรอก เป็นแค่เรื่องงมงายไม่ใช่วิทยาศาสตร์”

เด็กน้อยแสดงท่าทางและคำพูดราวกับเป็นผู้ใหญ่

เติ้งซินตบบ่าทักทายจ่านหยาง

“เป็นไงบ้างเพื่อน?”

เขากับเติ้งเติงจับได้บ้านมุงฟาง แต่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะยุงเยอะมาก

“ก็พอได้” จ่านหยางตอบ

“เขาไม่งอแงเลยเหรอ?” เวินหลินยู่แทรกวงสนทนาเข้ามาคุยด้วย

เขาได้บ้านที่ดีที่สุด แต่เมื่อเห็นจ่านหยางกับจ่านซิงเฉินมาร่วมกิจกรรมยามเช้าด้วยความสดชื่น ก็รู้สึกประหลาดใจจนต้องเข้ามาถาม

แม้เวินเถียนเถียนจะได้บ้านที่สะอาดมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัว เธอร้องไห้งอแงจนผู้เป็นพ่อต้องปลอบทั้งคืน

เขาแอบสงสัยว่าจ่านซิงเฉินสงบนิ่งทั้งที่ต้องนอนในบ้านผีสิงได้ยังไง หรือจะถูกจ่านหยางใช้วิธีรุนแรงบังคับ เพราะถ้าเป็นเวินเถียนเถียนคงได้ถอนตัวออกจากรายการกลางดึกไปแล้ว

จ่านหยางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงตอบกลับไปว่า “บ้านผมไม่นิยมใช้ความรุนแรง”

“ฮ่าๆๆ” เวินหลินยู่หัวเราะกลบเกลื่อน “ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเขาทนได้ยังไง?”

“ต้องทนได้อยู่แล้ว” จ่านหยางตอบอย่างภาคภูมิใจ

เมื่อทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว พิธีกรหนุ่มผมหยิกก็ประกาศเริ่มเกม

“ภารกิจของพวกเราในวันนี้คือการสำรวจตำบลชิงซาน โดยจะให้คุณพ่อพาเด็กๆ ไปขึ้นภูเขาหยางจิง แล้วเข้าไปในถ้ำซึ่งมีสมบัติซ่อนอยู่ เด็กๆ จะต้องตามหาสมบัติด้วยตัวเอง สมบัติของใครมีมูลค่ามากที่สุดคนนั้นคือผู้ชนะ”

พอได้ยินคำว่าหาสมบัติ เด็กๆ ก็ตาเป็นประกาย แม้แต่คนที่เรียบร้อยที่สุดอย่างเกาหนิงก็ยังตื่นเต้น

ทุกคนต่างใฝ่ฝันว่าจะได้ผจญภัยเหมือนอย่างจ่านซิงเฉิน เขาเชื่อว่าในป่ามีคัมภีร์ลึกลับซ่อนอยู่ หากได้ครอบครองก็จะยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน

“ปะป๊า หนูจะไปล่าสมบัติ” เวินเถียนเถียนพูดขึ้นเป็นคนแรก

บรรดาคุณพ่อมีท่าทีสงบนิ่ง แม้กิจกรรมที่รายการจัดไว้จะน่าสนุก แต่พวกเขาอายุมากแล้ว และเด็กๆ ก็อายุยังน้อย หากออกไปผจญภัยแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝัน กลับบ้านคงถูกเมียด่าหูชาแน่นอน

“เด็กๆ อย่าเพิ่งกลัวนะครับ” พิธีกรหนุ่มผมหยิกเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนออกสำรวจ ทีมงานจะให้เป้คนละหนึ่งใบ ในนั้นสามารถใส่อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นขนม ของเล่น หรือของที่รักที่สุด ถ้าคนไหนพร้อมแล้วก็สะพายเป้แล้วออกล่าสมบัติได้เลย!”

ก่อนเข้าร่วมรายการ คุณพ่อมีหน้าที่เอาเสื้อผ้าของตัวเองและของลูกมา นอกนั้นรายการจะเป็นคนจัดสรรให้

พิธีกรหนุ่มผมหยิกแจกกระเป๋าที่ดูน่ารักสมวัยให้เด็กๆ คนละใบ เด็กผู้ชายได้สีฟ้า เด็กผู้หญิงได้สีชมพู

เวินเถียนเถียนกับเกาหนิงชอบกระเป๋าของตัวเองมาก รีบหิ้วกลับบ้านพักเพื่อไปใส่ของส่วนตัวอย่างกระตือรือร้น

ทางรายการต้องการให้การผจญภัยครั้งนี้เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจสำหรับเด็กๆ แต่ด้วยอายุของพวกเขาอาจยังไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่กำลังจะให้ทำอะไร แค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ยิ่งให้เอาขนมและของเล่นไปด้วย ก็ยิ่งรู้สึกสนุกเข้าไปอีก

เติ้งเติงเป็นคนแรกที่เดินออกจากบ้านพัก

“กระเป๋าของหนูตุงมากเลย ใส่อะไรไว้บ้างขออาดูหน่อยได้ไหม?” พิธีกรหนุ่มผมหยิกถาม

เติ้งเติงเปิดกระเป๋าอย่างไม่ปิดบัง ในนั้นเต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยว นม และน้ำผลไม้ อัดแน่นแบบไม่กลัวหนัก

แม้ทางรายการจะบอกว่ากระเป๋าใบนี้เอาไว้ใส่ของกิน แต่นอกจากของกินแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก แสดงว่าของรักของหวงของเติ้งเติงก็คือของกินนั่นเอง

“กระเป๋าใบนี้เล็กจังเลย” เจ้าหนูจ้ำม่ำแอบบ่นเบาๆ

เกาหนิงเดินออกมาเป็นคนที่สอง ดูเหมือนกระเป๋าของเธอจะเบากว่าเติ้งเติงมาก

“ช่วยเปิดให้ทุกคนดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ?” พิธีกรหนุ่มผมหยิกถาม

เกาหนิงพยักหน้าแล้วเปิดกระเป๋าให้ทุกคนดู ข้างในมีขนมเล็กน้อย หนังสือนิทาน และกล้องถ่ายรูป

เด็กผู้หญิงคนนี้เข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุห้าขวบ ซึ่งเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ มีความเป็นศิลปินสูง เธอมองว่าการผจญภัยในครั้งนี้คือการออกไปท่องเที่ยว เลยตั้งใจว่าจะเอาหนังสือไปอ่านและถ่ายรูปยามว่างด้วย

เกาลี่มองลูกสาวด้วยความภูมิใจ แม้แต่พิธีกรหนุ่มผมหยิกก็ยังเอ่ยปากชม

เวินเถียนเถียนเดินออกมาเป็นคนที่สาม เธอสะพายกระเป๋าทั้งที่ยังปิดไม่สนิท ของข้างในจึงหล่นลงมาตามทาง

“ปะป๊า หนูเอาเสี่ยวหง โตโต้ เอลซ่า กับจูลี่ไปเที่ยวด้วยได้ไหม?”

ในกระเป๋าตุงๆ ของเธอคือตุ๊กตาตัวโปรดทั้งหมด ช่างเป็นเด็กที่อ่อนโยนและอ่อนหวานเหลือเกิน

เวินหลินยู่อุ้มลูกสาวแล้วพูดกับเธอด้วยความเอ็นดู

“ได้สิจ๊ะ พวกเขาเป็นเพื่อนของเถียนเถียนก็ต้องได้ไปเที่ยวกับเถียนเถียน”

ทั้งสามเตรียมของในแบบที่ต่างกันไป ทำให้พอจะเดานิสัยของพวกเขาได้

เติ้งเติงเป็นเด็กชอบกิน เกาลี่เป็นเด็กเรียบร้อยที่อารมณ์ศิลปินสูง ส่วนเวินเถียนเถียนก็เป็นลูกคุณหนู ส่วนคนที่วางมาดเข้มที่สุดอย่างจ่านซิงเฉินจะเตรียมอะไรไปนั้น ทุกคนต่างรออย่างใจจดใจจ่อ

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท