ประการแรก พ่อแม่ของเหลียงจี้เป็นคนอนุรักษนิยม พวกเขาอยากให้เธอเป็นแม่บ้านเต็มตัว ไม่ต้องการให้ทำงานในวงการบันเทิงอีก เรื่องนี้ทำให้เหลียงจี้กับเฉียวอิ้งฉิงทะเลาะกันบ่อยครั้ง ตอนแรกเหลียงจี้เลือกที่จะปกป้องเธอ แต่นานวันเข้าเขาก็เริ่มรำคาญ
ประการที่สอง อายุที่เพิ่มขึ้นของเหลียงจี้เย้ายวนและดึงดูดหมู่ภมร เมื่อก่อนเฉียวอิ้งฉิงไม่นึกถือสา เพราะเธอก็คือหนึ่งในหมู่ภมรเหล่านั้น แต่เมื่อได้กลายเป็นภรรยาของเขา ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนของสามีกับสาวๆ เหล่านั้นก็ทำเอาเธอจิตตก
พวกเขาทะเลาะกันทุกสามวันห้าวัน พอรู้ข่าวหลี่ซั่วก็นัดเธอออกมาเพื่อรำลึกความหลัง ส่วนเธอก็อยากให้เขาช่วยหางานดีๆ ให้ แต่กลับถูกปาปารัสซี่แอบถ่ายและแชร์ไปทั่วทุกหนแห่ง แถลงข่าวยังไงก็คงล้างมลทินไม่หมด
เหลียงจี้เดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
เฉียวอิ้งฉิงกัดริมฝีปากด้วยความประหม่า ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง
เพียงก้าวเท้าเข้าไป เธอก็ได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงจากเสื้อคลุมที่สามีพาดไว้บนพนักเก้าอี้
“ไปมีอะไรกับนังสารเลวอีกแล้วใช่ไหม?” เฉียวอิ้งฉิงแผดเสียงดังลั่น
เหลียงจี้ปรายตามองภรรยาด้วยความรังเกียจ “มีสิทธิ์อะไรมาถาม? เป็นผู้หญิงสารเลวเหมือนกันยังจะกล้าด่าคนอื่นอีก!”
เขาเดือดดาลไม่น้อย เพราะการเป็นบุคคลสาธารณะทำให้ถูกจับตามองตลอดเวลา
ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร เหลียงจี้จะถูกมองด้วยแววตาสมเพชตลอด ทุกคนต่างรู้ว่าเขาถูกเฉียวอิ้งฉิงสวมเขา ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็คงทำใจยอมรับไม่ได้
“ในเมื่อคุณออกไปมั่วข้างนอกได้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้!” เฉียวอิ้งฉิงตอกกลับ
เหลียงจี้แค่นเสียงหัวเราะ เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับผู้หญิงตรงหน้า เธอเคยอ่อนโยน ใจดี สง่างาม และวางตัวเป็นกันเอง ทว่าหลังแต่งงานได้สามปี ทุกอย่างในตัวก็ค่อยๆ ลดน้อยลง
แท้จริงเฉียวอิ้งฉิงเป็นคนเกรี้ยวกราด เสแสร้ง จอมปลอม ไร้ความปรานี เขาเหนื่อยใจมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ได้แค่กัดฟันอดทน
“ก่อนหน้านี้ยอมแต่งงานกับมันเพื่อให้ได้งาน” เหลียงจี้เอ่ยเสียงเย็น “แล้วตอนนี้ยังต้องการอะไรอีก? สิ่งที่คุณอยากได้ ผมให้ไม่ได้หรือไง? หรือมันช่วยให้ปีนได้สูงกว่า?”
คนอย่างหลี่ซั่วไม่ต้องพูดถึงหน้าตา การศึกษา หรือข้อดีอย่างอื่น เพราะทุกคนที่เข้าหาเขาต้องการแค่ผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น
ด้วยความเย่อหยิ่งทะนงตนของเหลียงจี้ ทำให้ไม่อาจยอมรับสิ่งที่เฉียวอิ้งฉิงทำได้
เขาเหมือนถูกเหยียบหน้าอย่างแรง จึงด่ากราดอย่างอดรนทนไม่ได้
“นอกจากทะเลาะกับพ่อแม่ผม ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย คุณทำอะไรเป็นอีกไหม? วันๆ เอาแต่ทำเรื่องไร้สาระ ไม่รู้อะไรบังตา ผมถึงคว้าคุณมาเป็นเมีย!”
“เหลียงจี้!” เฉียวอิ้งฉิงตวาดลั่น “พูดเอาดีเข้าตัว หน้าไม่อาย! โง่มาตามตื๊อฉันเอง ตอนนี้มาทำเป็นโยนขี้ให้ ที่นังกู้เซียงมันตายก็เพราะคุณนั่นแหละ!”
“คุณ!”
เหลียงจี้ตวาดกลับ เพราะคำพูดของอีกฝ่ายเหมือนสาดเกลือลงบนแผลในใจเขา
มนุษย์เราคล้ายกันอยู่อย่าง มักจะนึกเสียดายสิ่งที่สูญเสียไปในภายหลัง ทว่าตอนมีกลับไม่รักษา
หลังกู้เซียงตาย นอกจากความตกใจเขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีก เพราะกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน และไม่คิดว่าผู้หญิงอีกคนจะยอมสละชีวิตเพื่อแก้แค้นเขา
ตอนแรกเหลียงจี้พยายามทำใจให้ชินที่เฉียวอิ้งฉิงไม่ทำกับข้าว ไม่รอกินข้าว และไม่นึกถึงใจเขาก่อนเหมือนอย่างกู้เซียง นานวันเข้าคนที่ถูกสลัดทิ้งอย่างไม่เห็นคุณค่ากลับค่อยๆ ปรากฏความสำคัญในวันที่สายเกินไป
ทุกครั้งที่พวกเขาทะเลาะกัน เหลียงจี้จะนึกถึงความดีของกู้เซียงตลอด สุดท้ายจึงเข้าใจว่าการแก้แค้นที่ดีที่สุดคือการทำให้อีกฝ่ายนึกเสียใจในภายหลัง
พอเห็นว่าเหลียงจี้ไม่ตอบโต้ เฉียวอิ้งฉิงก็ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก
เธอพุ่งตัวเข้าไปตบตีเขาด้วยโทสะ รูปคู่ที่เคยตั้งไว้บนโต๊ะถูกปัดจนแตกกระจาย
ในห้องทำงานของสำนักข่าวบันเทิงรายวัน
ชายหนุ่มผมหยิกนั่งอยู่ในตำแหน่งบรรณาธิการหลัก พูดคุยเกี่ยวกับเอกสารที่ชายอีกคนยื่นให้
“ข้อมูลเปิดโปงรอบต่อไปเตรียมพร้อมหมดแล้ว อยากบอกทางนั้นให้รู้ก่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ลงมือแบบไม่ทันให้ตั้งตัวดีที่สุด” ชายหนุ่มผมหยิกตอบ
แม้ชายอีกคนจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่ก็พยักหน้ารับคำโดยดี
กระทั่งอีกฝ่ายออกจากห้องไป นักข่าวฝึกหัดที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มผมหยิกก็ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมรอบนี้ลูกพี่ถึงเกาะติดข่าวของเหลียงจี้กับเฉียวอิ้งฉิงเป็นพิเศษ? ข่าวของพวกเขาก่อนหน้านี้ก็ใหญ่เหมือนกัน ไม่เห็นจะใส่ใจขนาดนี้เลย คนอื่นๆ ในที่ทำงานบอกว่าลูกพี่น่ะเพี้ยนไปแล้ว”
เขาโน้มตัวเข้าใกล้ แล้วกระซิบที่ข้างหูของชายหนุ่มผมหยิก “ไม่เท่ากับเป็นการหาเรื่องสองคนนั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มผมหยิกผลักศีรษะของอีกฝ่ายออก แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เวลางานอย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”
นักข่าวฝึกหัดแลบลิ้นแก้เก้อ ก่อนจะจัดการกับเอกสารบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไรอีก
จู่ๆ ชายหนุ่มผมหยิกก็ถอนหายใจแล้วพูดลอยๆ ขึ้นว่า “ฉันไม่ได้จะหาเรื่องพวกเขา ฉันแค่จะแก้แค้นแทนกู้เซียง”
“กู้เซียง?” นักข่าวฝึกหัดนิ่งไปเล็กน้อย “ลูกพี่หมายถึงดาราที่พวกเราเพิ่งไปงานรำลึกในวันนี้น่ะเหรอ?”
“ใช่” ชายหนุ่มผมหยิกยิ้ม “สามปีแล้ว ไวจัง…”
“ลูกพี่คิดว่าเธอถูกกลั่นแกล้งเหรอ?” นักข่าวฝึกหัดถามด้วยความสงสัย
“ข่าวลือมากมายถูกเปิดเผยหลังจากที่เธอฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่ได้สร้างความสั่นสะเทือนเท่าไหร่ ตอนนี้ลูกพี่คิดจะเอาข่าวเสียหายของเหลียงจี้มาเปิดโปง แสดงว่ารู้ข่าววงในมาใช่ไหม?”
ชายหนุ่มผมหยิกส่ายหน้า “ไม่มีข่าววงในหรอก ฉันรู้แค่ว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์”
ในปีนั้น เขาได้เป็นนักข่าวฝึกหัดเหมือนอย่างเด็กคนนี้
เมื่อไม่มีพรสวรรค์ในสายงานข่าว แม้จะฝึกงานอยู่นาน ก็ไม่ก้าวหน้าเหมือนคนอื่นๆ
รุ่นพี่ในที่ทำงานต่างดูถูกและมักจะแกล้งเขาเป็นประจำ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เด็กหนุ่มผมหยิกในตอนนั้นอุตส่าห์ได้รับโอกาสให้ไปสัมภาษณ์ดาราชื่อดัง แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้ผู้จัดการส่วนตัวของดาราดังไล่เขากลับ ซึ่งการที่นักข่าวฝึกหัดไปสัมภาษณ์แล้วไม่ได้บทสัมภาษณ์กลับมา อาจทำให้บรรดาหัวหน้าไม่พอใจ
กู้เซียงเพิ่งจะได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่แห่งปี มีชื่อเสียงกว่าดาราดังที่เขาจะสัมภาษณ์เสียอีก แต่จากที่เคยได้ข่าว เธอคือคนอารมณ์ร้อน เย่อหยิ่งและทะนงตน พอเห็นกู้เซียงเดินมาเด็กหนุ่มผมหยิกจึงตกใจจนมือไม้สั่น
“คุณเป็นใคร? ที่นี่ไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้ามานะ”
“ผมมาสัมภาษณ์ครับ” เขาตอบเสียงสั่น “จากสำนักข่าวบันเทิงรายวัน…”
“ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะคะ?” กู้เซียงถามต่อ
พอเห็นว่าเขาไม่ตอบ จึงมองประตูที่ปิดสนิทแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ทรงผมคุณเท่มากเลย สัมภาษณ์ฉันแทนก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มผมหยิกจำวินาทีนั้นได้ขึ้นใจ หญิงสาวตรงหน้ามีรอยยิ้มที่อ่อนโยนและใสซื่อ
เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเธอ แต่เปี่ยมไปด้วยความประทับใจตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ด้วยความช่วยเหลือของกู้เซียง การสัมภาษณ์ครั้งแรกของเขาผ่านไปได้ด้วยดี
ตั้งแต่นั้นมา หน้าที่การงานของเด็กหนุ่มผมหยิกก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถเป็นที่ประจักษ์ กระทั่งได้นั่งในตำแหน่งบรรณาธิการนิตยสารบันเทิงรายวัน
เขาอยากหาโอกาสสัมภาษณ์กู้เซียงอีกสักครั้ง เพราะอีกฝ่ายช่วยให้เขากลายเป็นคนที่มีความกล้าและมั่นใจโดยไม่รู้ตัว น่าเสียดายที่เธอจากไปไวเหลือเกิน…
ชายหนุ่มผมหยิกได้แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ กว่าคนเราจะมีวาสนาได้มาพบกันไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้งนั้นเขาติดหนี้บุญคุณเธอ จึงอยากตอบแทนด้วยการแก้แค้นเหลียงจี้กับเฉียวอิ้งฉิง
ที่หน้าหลุมศพ บรรดาแฟนคลับนำดอกไม้มาร่วมไว้อาลัย
เนื่องจากผ่านมาสามปีแล้ว คนที่ยังอยู่จึงเป็นคนที่รักกู้เซียงจากใจจริง
หญิงสาวคนแรกที่วางดอกไม้ทำงานอยู่ในเมืองหลวง เธอสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด แต่ใบหน้ากลับเศร้าหมอง
“ขอให้คุณมีแต่ความสุขในภพหน้า อย่าได้เอาความทุกข์ใดติดตัวไปด้วย” เธอพึมพำ
เมื่อคนกลุ่มใหญ่จากไป หญิงสาวอีกคนที่มาด้วยก็ถามขึ้นว่า “ทำไมถึงชอบกู้เซียงขนาดนี้?”
“ฉันชอบคนหน้าตาดี” ตู้หยู่ตอบยียวน “ครั้งแรกที่ได้เห็นเธอแสดงหนัง ฉันก็รู้สึกชอบแล้ว เสียดายที่ออกจากวงการเร็วเกินไป แถมยังถูกชายโฉดหญิงชั่วทำร้ายจิตใจจนคิดสั้นอีก ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นก่อน เธออาจดังไปไกลถึงต่างประเทศก็ได้”
“อย่าคิดมากเลย คู่นั้นก็กำลังถูกข่าวเสียหายเล่นงานอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เธอพูดปลอบ
“สมน้ำหน้าพวกมัน!” ตู้หยู่ทำหน้าสะใจ “ถ้าถูกไล่ออกจากวงการบันเทิงวันไหน ฉันจะเปิดไวน์ฉลองให้หนำใจไปเลย!”
ขณะกำลังสนทนากันอยู่ คู่สามีภรรยาและเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เดินตรงมาที่พวกเขา
ผู้เป็นสามีสีหน้าอิดโรยอ่อนล้า ภรรยาจะดูดีกว่าหน่อย ส่วนชายหนุ่มที่มาด้วยมีสีหน้าหม่นหมองและเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสามเดินเรียงกันมา ตู้หยู่เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มคนนั้น แล้วก็มีอันต้องชะงักไป