พอได้กำลังใจจากลูกสาว เวินหลินยู่ก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที
บรรดาคุณพ่อที่มาร่วมรายการ เขาอายุมากที่สุด และเป็นคนที่ออกกำลังกายน้อยที่สุด เพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในกองถ่าย จึงแทบไม่ต้องเดาผลลัพธ์ของการแข่งวิดพื้น แค่คิดว่าจะต้องอับอายต่อหน้าลูกสาว เขาก็แทบอยากซัดไอ้คนที่คิดกติกานี้ขึ้นมา
เกาหนิงกะพริบตาถี่ๆ แล้วหันมองเกาลี่ผู้เป็นพ่อ
“ปะป๊าสู้ๆ”
เกาลี่มองลูกสาวที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูพลางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พ่อจะสู้ให้ถึงที่สุดเลย”
เขาคือชายวัยกลางคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ มีกล้ามเป็นมัดๆ จึงมั่นใจกับกิจกรรมนี้มาก
เติ้งเติงแหงนหน้ามองผู้เป็นพ่อ
“ปะป๊า อะไรคือมโนภาพฮะ?”
เขายังคิดวกวนอยู่กับคำตอบเมื่อครู่
“ถ้าลูกคิดว่าพ่อจะชนะแข่งวิดพื้น นั่นเรียกว่ามโนภาพ”
เติ้งซินไม่ชอบออกกำลังกาย และรู้สึกจนปัญญากับเรื่องนี้มาก
เมื่อตากล้องเดินไปถึงคู่พ่อลูกตระกูลจ่าน บรรยากาศก็เปลี่ยนไป
พวกเขาไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ไม่มีท่าทางออดอ้อนอ่อนหวานเหมือนคู่อื่น ไม่มีคำถามไร้เดียงสาเกี่ยวกับการวิดพื้นด้วยซ้ำ
หนุ่มหล่อทั้งสองยังคงยืนเก๊กท่า ผ่านไปสักพัก จ่านซิงเฉินก็กำหมัดแล้วยื่นให้จ่านหยางชน
หลังชนหมัดกัน เด็กน้อยก็พูดกับผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ฝากด้วยนะป๊า”
สมกับที่เป็นพ่อลูกจริงๆ ท่าทางของพวกเขาคล้ายกับเพื่อนร่วมแก๊งที่กำลังวางแผนจะไปถล่มปราสาทหินด้วยกัน
คนดูหัวเราะจนท้องแข็ง จ่านหยางกับลูกชายเผลอสร้างสีสันโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเข้ากับรูปแบบของรายการเรียลลิตี้โชว์ ที่มักจะให้ดาราได้แสดงมุมที่หลายคนไม่เคยเห็น
จ่านหยางเป็นคนอ่อนโยนและสุขุม แต่เมื่ออยู่กับจ่านซิงเฉิน ก็กลายเป็นผู้ชายน่ารักไปเลย
ฝีมือการเรียกคะแนนจากแฟนคลับของจ่านหยางเทียบไม่ได้กับจ่านซิงเฉิน เพียงเปิดรายการได้ไม่นาน ก็ดึงดูดความสนใจจากผู้ชมอย่างล้นหลามแล้ว
ที่ผ่านมา คนดูมักจะเห็นเด็กน้อยแข่งกันแสดงความน่ารักจนชินตา แต่จู่ๆ ก็มีเด็กคนหนึ่งที่เอาแต่วางมาดเท่ราวกับเป็นวายร้ายโผล่มา
คุณพ่อทั้งสี่ก้าวขึ้นเบื้องหน้าแล้วเริ่มวิดพื้น
เวินหลินยู่ล้มลงคนแรก พุงพลุ้ยของเขาย้วยจนเกือบแตะพื้น หลังวิดไปได้ไม่กี่ครั้ง เขาก็ขอยอมแพ้
เวินเถียนเถียนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็วิ่งเข้าไปหอมแก้มผู้เป็นพ่ออย่างอ่อนโยน ทำเอาเขาซาบซึ้งจนน้ำตาซึม
ผู้แพ้รายต่อมาคือเติ้งซิน เขาพลิกตัวแล้วนอนหงายอย่างหมดสภาพ
“ไม่ไหวแล้ว…”
เติ้งเติงมองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาใสซื่อ
“ปะป๊าเหนื่อยแล้วเหรอ?”
สองพ่อลูกตระกูลเติ้งเป็นที่เอ็นดูของแฟนคลับเช่นกัน เนื่องจากเติ้งซินโด่งดังในวงการดนตรี และให้กำเนิดเด็กน้อยแสนซื่อที่น่ารักน่าเอ็นดูคนนี้
ที่เหลืออีกสองคนคือจ่านหยางกับเกาลี่
ทั้งสองอายุไล่เลี่ยกัน เกาลี่คือหนุ่มอารมณ์ดี ส่วนจ่านหยางคือหนุ่มเย็นชาที่ชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ จนกู้เซียงยังเคยแซวว่าผู้ชายหล่อในฟิตเนสที่ไม่ใช่เกย์ ก็คงจะมีแค่เขาคนเดียว
จ่านซิงเฉินขมวดคิ้วมองผู้เป็นพ่อ จนเวินเถียนเถียนที่ยืนอยู่ด้านข้างคิดว่าเขาเครียด จึงพยายามพูดปลอบ
“ฉันอยู่ข้างคุณอานะ” แล้วก็ตะโกนสุดเสียง “คุณอาจ่านสู้ๆ!”
เวินหลินยู่เพิ่งจะซาบซึ้งกับรอยจูบของลูกสาว ทว่าตอนนี้เธอไปยืนเชียร์คนอื่นแล้ว
เกาหนิงเบ้ปาก แต่ยังคงวางท่าอย่างคนไม่ยอมแพ้
“ปะป๊าสู้ๆ!”
เด็กอีกสองคนไม่ได้ตะโกนอะไร เพราะเติ้งเติงกำลังหมกมุ่นอยู่กับคำว่า ‘มโนภาพ’ ส่วนจ่านซิงเฉินก็ได้แต่เม้มริมฝีปาก วางหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ทำให้ดูหล่อยิ่งขึ้นไปอีก
ผลก็คือจ่านหยางชนะ
แววตาของเกาหนิงผิดหวังเล็กน้อย ต่างจากจ่านซิงเฉินที่ยกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย
กล้องรีบจับภาพเจ้าหนูสุดเท่ที่กำลังเผยลักยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า
พิธีกรหนุ่มผมหยิกแอบดีใจที่ลูกชายของไอดอลมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“การแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว เด็กๆ เข้ามาจับฉลากเพื่อเลือกบ้านพักกันได้เลยครับ ขอเชิญคนแรก… จ่านซิงเฉิน”
จ่านซิงเฉินก้าวขึ้นเบื้องหน้า ขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
คนที่สองคือเกาหนิง เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบใบล่างสุดขึ้นมา
คนที่สามคือเติ้งเติง เขาขอหยิบสองใบแต่ถูกปฏิเสธ
คนที่สี่คือเวินเถียนเถียน เธอกระโดดขึ้นเบื้องหน้าแล้วหยิบกระดาษใบสุดท้ายไป
“เชิญคุณพ่อดูเฉลยกันได้เลยครับ”
จ่านหยางเปิดฉลากออกดู แล้วเหลือบมองจ่านซิงเฉิน
เด็กน้อยแหงนมองผู้เป็นพ่อแล้วทำตาวาว พอถูกลูกชายที่วางมาดขรึมตลอดมองอย่างใจจดใจจ่อ จ่านหยางก็แทบทนไม่ไหว
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วยัดกระดาษใส่มือจ่านซิงเฉิน
ข้างกันนั้น เสียงพูดด้วยความดีใจของเวินเถียนเถียนดังขึ้นว่า “ได้อยู่บ้านข้าวโพด ได้อยู่บ้านข้าวโพด!”
บ้านข้าวโพดสภาพดีที่สุดในบรรดาสี่หลัง เพื่อนๆ ที่เหลือหันมองเธอด้วยแววตาอิจฉา ทั้งที่จับฉลากเป็นคนสุดท้ายแต่กลับได้บ้านที่ดีที่สุดไป
จากนั้น เสียงของเกาลี่ก็ดังตามมาติดๆ
“พวกเราได้บ้านมุงจาก ดวงดีจังเลยลูก”
แม้ว่าบ้านหลังนี้จะดูเก่าไปบ้าง แต่ก็พอรับได้
“บ้านมุงฟาง!” เติ้งซินทำเสียงเศร้า ก่อนจะหันไปพูดกับลูกชาย “ไม่ได้ปั่นหัวพ่ออยู่ใช่ไหม?”
“ปั่นหัวคืออะไรฮะ?”
เติ้งเติงมีเรื่องให้สงสัยอีกแล้ว
ทั้งสามครอบครัวหันมองคู่พ่อลูกตระกูลจ่านด้วยแววตาสงสาร
จ่านซิงเฉินกำกระดาษในมือด้วยใบหน้าซีดเผือด คล้ายกำลังเผชิญกับเรื่องสะเทือนใจ
ทั้งที่ได้จับฉลากเป็นคนแรก แต่โชคชะตากลับกลั่นแกล้งเขา คนดูจึงอดสงสารไม่ได้
“ดูเหมือนเสี่ยวซิงซิงของพวกเราจะจับได้บ้านผีสิง” พิธีกรหนุ่มผมหยิกพยายามชวนคุยเพื่อลดความตึงเครียด ทั้งที่ในใจกำลังคลุ้มคลั่ง
ดวงซวยตั้งแต่เริ่มรายการเลยเหรอเนี่ย? อุตส่าห์ได้เลือกเป็นคนแรก แต่กลับหยิบบ้านผีสิงมา ยอมใจจริงๆ—พิธีกรหนุ่มผมหยิกแอบเสียดาย
โอกาสที่จะได้บ้านหลังที่แย่ที่สุดมีแค่หนึ่งในสี่ แต่จ่านซิงเฉินกลับจับได้บ้านหลังนั้น
จ่านหยางมองลูกชายด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
“ฝากด้วยนะป๊างั้นเหรอ?”
จ่านซิงเฉินค่อยๆ ตื่นจากอาการเหม่อลอย เมื่อเห็นว่ากล้องกำลังถ่ายภาพช่วงที่เขากำลังเศร้า ก็รีบฉีกยิ้มสดใส
“หม่าม้าบอกว่าอุตส่าห์มาแล้วก็นอนๆ ไปเถอะ” เขาตอบเสียงอ่อย
ซูเปอร์สตาร์ตัวน้อย ซูเปอร์สตาร์คนเก่ง ซูเปอร์สตาร์คนดีที่สุดในจักรวาล
เพื่อนๆ ที่เหลือมองจ่านซิงเฉินด้วยแววตาชื่นชม แม้จะผิดหวังแต่เขาไม่ตีโพยตีพาย ซึ่งต่างจากเด็กทั่วไปมาก
เติ้งซินและเวินหลินยู่ยกนิ้วโป้งให้จ่านหยางเป็นเชิงชื่นชม—ลูกนายเจ๋งมาก ลูกนายเท่สุดๆ!
พิธีกรหนุ่มผมหยิกถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนแรกเขากลัวว่าจ่านซิงเฉินจะปล่อยโฮและตัดสินใจออกจากรายการ
รายการเรียลลิตี้โชว์มักต้องเจอสถานการณ์ไม่คาดฝัน โดยเฉพาะกิจกรรมเลือกบ้านพักซึ่งเด็กที่ได้บ้านผีสิงมักจะร้องไห้โวยวาย เพราะแม้แต่ผู้ปกครองก็ยังอาศัยได้ยาก นับประสาอะไรกับเด็กเล็ก ที่ปัจจุบันติดทั้งมือถือและความสะดวกสบาย
คาดไม่ถึงว่าจ่านซิงเฉินจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทีมงานในกองถ่ายพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม้ภายนอกเขาจะดูเย่อหยิ่ง แต่ก็เป็นเด็กที่มีเหตุผล ไม่ใช่ลูกคุณหนูเสียทีเดียว หลายคนในที่นั้นจึงอดชื่นชมกู้เซียงและจ่านหยางไม่ได้
หลังเลือกบ้านเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้าพัก
เกาหนิง เวินเถียนเถียน และเติ้งเติง เดินตรงไปยังบ้านพักที่จับฉลากได้ ส่วนจ่านหยางกับลูกชายก็เดินแยกไปอีกทาง
บ้านผีสิงที่ว่าอยู่ไกลจากจุดที่ทำกิจกรรม เส้นทางค่อนข้างทุลักทุเล แต่จ่านซิงเฉินไม่บ่นว่าเหนื่อยสักคำ แถมไม่ยอมให้จ่านหยางอุ้มด้วย
สองพ่อลูกเดินจูงมือกันด้วยสีหน้ามุ่งมั่น โดยมีกล้องของทีมงานคอยตามถ่ายภาพเบื้องหลัง
พวกเขาย่ำไปตามพื้นโคลน คล้ายกับฉากในภาพยนตร์ แม้จะไม่มีการพูดคุย แต่บรรยากาศแห่งความอบอุ่นก็อบอวลรอบด้าน
ผู้ชมพากันซาบซึ้งกับภาพตรงหน้า กระทั่งคู่พ่อลูกเดินทางถึงวัดร้าง ทีมงานก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปสำรวจบ้านพักเพียงลำพัง
ในห้องเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ ไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดใดๆ ตรงกลางมีกองฟางที่คลุมด้วยผ้าผืนใหญ่วางอยู่สองกอง มีรูปปั้นคล้ายปีศาจวางอยู่สองรูป ตะเกียงหนึ่งดวง ผ้าห่มหนึ่งผืน จำนวนหนูยังไม่แน่ใจ หลังคามีรูรั่วหนึ่งจุด สภาพโดยรวมน่าอนาถเหลือเกิน
จ่านซิงเฉินตกใจกลัวจนน้ำตารื้น คล้ายกำลังจะแหกปากร้องไห้
“เหมือนฉากที่แม่ถ่ายหนังไง” จ่านหยางโพล่งขึ้น
จ่านซิงเฉินที่น้ำตาคลอเบ้าชะงักไปเล็กน้อย
กู้เซียงเคยแสดงภาพยนตร์ย้อนยุคเรื่องหนึ่ง ตอนชีวิตตกต่ำจนถึงขีดสุด เธอเร่ร่อนมาอาศัยในวัดร้างเหมือนอย่างที่นี่ ต้องทนหิว ทนหนาว หลังทนทรมานอยู่พักใหญ่ ก็บังเอิญได้รับวรยุทธ์จากผู้วิเศษ จึงฝึกฝนวิชาจนแก่กล้า กระทั่งเป็นหนึ่งในยุทธภพ
เมื่อก่อนจ่านซิงเฉินไม่เข้าใจเรื่องการถ่ายทำภาพยนตร์ คิดว่ากู้เซียงได้รับความลำบากจริงๆ เขารู้สึกสงสารผู้เป็นแม่จับใจ จึงสัญญาว่าจะทำงานหาเงินมาซื้อบ้านใหม่ให้เธอ
“แล้วจะมีคนมาสอนวรยุทธ์ให้ผมหรือเปล่า?” จ่านซิงเฉินถามจ่านหยาง