“มองอะไรน่ะ?” เพื่อนสาวที่มาด้วยถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”
ตู้หยู่แอบคิดไปตลอดทางกลับว่าชายหนุ่มที่เดินผ่านช่างละม้ายคล้ายคลึงกับกู้เซียงเหลือเกิน
หน้าสถานที่จัดงาน ถางรุ่ยมองชายหนุ่มที่กำลังสูบบุหรี่ด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
“ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปจุดธูปหน่อยดีไหม?”
“นายอยากไปเหรอ?” เขาถามกลับ
“ฉันไม่ได้อยากไป แต่คิดว่านายอยากไป” ถางรุ่ยขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย “ตอนมีข่าวว่ากู้เซียงฆ่าตัวตาย ทำไมนายถึงออกโรงปกป้องเธอ?”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันมาตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?”
“ต้องมีสิ” ถางรุ่ยทำหน้าจริงจัง
แม้กู้เซียงจะจากไปสามปีแล้ว แต่ถางรุ่ยไม่เคยลืม
วันที่เธอกระโดดตึกฆ่าตัวตาย มีนักข่าวมาสัมภาษณ์จ่านหยาง และจงใจหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาถาม
“คุณจ่านมีความเห็นยังไงเรื่องที่คุณกู้กระโดดตึกฆ่าตัวตายคะ?”
คำตอบของจ่านหยางเหนือความคาดหมายของทุกคนมาก
“น่าเสียดายมากครับ ความสามารถของเธอไม่น่าหยุดเพียงเท่านี้ และชีวิตของเธอก็ไม่ควรหยุดเพียงเท่านี้เช่นกัน”
แค่ประโยคเดียวก็บอกได้แล้วว่าเขาอยู่ข้างใคร
จ่านหยางค่อนข้างมีอิทธิพลต่อแฟนคลับ คำพูดของเขาในวันนั้นผลักดันให้ใครหลายๆ คนออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของกู้เซียง
เหลียงจี้กับเฉียวอิ้งฉิงจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา แต่จ่านหยางไม่ใส่ใจ
หากจะบอกว่าเขาพูดไปตามมารยาท เช่นนี้การที่จ่านหยางเข้าร่วมกับตระกูลกู้ เสนอตัวให้การช่วยเหลือกู้ฉางชุนทุกอย่าง คือเครื่องยืนยันว่าเขาใส่ใจกับเรื่องนี้
“เธอเป็นคนมีความสามารถมาก ถ้าไม่อับจนหนทาง คงไม่ทำแบบนี้” แววตาของจ่านหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ฉันรู้สึกสงสารเธอจับใจ”
ถางรุ่ยถอนหายใจเบาๆ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนรักจะตอบแบบนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงคิดถึงแม่บังเกิดเกล้า ดาราสาวมากความสามารถที่มีชื่อเสียงแต่อายุสั้น ไม่ก็เป็นความสงสารส่วนตัวจึงยินดีที่จะยื่นมือเข้าช่วย
หลังสลัดความคิดเรื่อยเปื่อยทิ้งไปได้ ถางรุ่ยก็เสนอขึ้นว่า “นายเอาดอกไม้ไปคารวะศพหน่อยแล้วกัน เธอจะได้รู้ว่ามีคนหวังดีอยู่อีกคน ไม่แน่ว่าชาติหน้าอาจได้เกิดมาตอบแทนนาย ตามหลักกฎแห่งกรรมของศาสนาพุทธไง”
จ่านหยางดับบุหรี่ในมือ “กรรมเกิดจากผลของการกระทำสินะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ถางรุ่ยยักไหล่
“ช่างเถอะ” จ่านหยางสวมแว่นตาดำแล้วเดินนำหน้า “ไปกันเถอะ”
ดอกเบญจมาศที่วางอยู่หน้าหลุมศพพลิ้วไหวตามแรงลมอย่างแผ่วเบา
กลีบดอกที่เบ่งบานวางทับกันอยู่บนแผ่นศิลาที่มีรูปของสาวสวยคนหนึ่งติดอยู่
จ่านซิงเฉินเป็นเด็กที่โชคดีมาก
ไม่นานหลังจากที่เขาเกิด บริษัทต่างๆ ก็ติดต่อให้ไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา ทั้งผ้าอ้อมเด็ก นมผง ของเล่น และเสื้อผ้าอีกมากมายหลายรายการ
ตอนแรกกู้เซียงปฏิเสธงานพวกนี้ แต่ตอนที่จ่านซิงเฉินอายุได้สองขวบ เขาออกอาการสนอกสนใจทุกครั้งที่เห็นผู้เป็นพ่อหยิบกล้องขึ้นถ่ายรูปครอบครัว ทั้งโพสต์ท่าและแย่งซีนคนอื่นไปทั่ว
คนในบ้านไม่ทันสังเกต กระทั่งวันที่เจี่ยงลี่ลี่มาเยี่ยม
เธอเห็นจ่านซิงเฉินสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ทำท่าทำทางอยู่หน้ากระจก มองดูเงาของตัวเองอย่างพึงพอใจ
“นี่มันทายาทอสูรชัดๆ! เซียงเซียง เธอคลอดซูเปอร์สตาร์ออกมาอีกคนแล้วเหรอ?” เจี่ยงลี่ลี่แซว
เขาเป็นเด็กที่มีพ่อและแม่เป็นถึงราชาและราชินีแห่งวงการภาพยนตร์ พ่อบุญธรรมเป็นโปรดิวเซอร์มือทอง แม่บุญธรรมเป็นนักแสดงมากความสามารถ คุณอาผมหยิกที่นานๆ จะมาเยี่ยมสักครั้งก็เป็นถึงหัวหน้าสำนักข่าวบันเทิงชื่อดัง ยังมีน้าชายและน้าสะใภ้ที่เป็นแฟนคลับของแม่ตัวเองมาก่อน เช่นนี้จ่านซิงเฉินจึงเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเองสูงมาก ทั้งยังฉายแววศิลปินอีกด้วย
น่าเสียดายที่กู้เซียงเก็บตัวลูกชายไว้มิดชิด และตัดสินใจจะไม่ให้เขาปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ
แต่จ่านหยางเป็นคนเปิดกว้าง เขาอยากให้ลูกได้ฝึกเข้าสังคมตั้งแต่เด็ก หากสนใจด้านไหนก็ควรจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ทว่ากู้เซียงรู้สึกว่าจ่านซิงเฉินยังเด็กเกินไป หากเขาสนใจด้านไหน ก็ควรจะรอให้โตกว่านี้ก่อน
สุดท้ายเธอก็ไม่อาจต้านทานทีมพ่อลูกคู่นี้ได้ จึงตัดสินใจให้พวกเขาไปออกรายการ ‘ปะป๊าไปไหน’
รายการนี้ถ่ายทอดมุมมองของครอบครัวที่น่ารักน่าเอ็นดู จุดประสงค์ก็เพื่อให้ลูกได้สานสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ รวมถึงกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกด้วย
แม้ว่ารายการจะเน้นประชาสัมพันธ์ตัวเอง แต่เมื่อเทียบกับรายการอื่น ก็ถือว่ามีประโยชน์และแฝงข้อคิดไม่น้อย
กู้เซียงกำชับจ่านหยางเรื่องการดูแลลูกชาย ไม่ใช่ว่าเขาพึ่งไม่ได้ แต่จ่านหยางที่ปกติจะอ่อนโยนและชอบอ้อนเธอ เมื่ออยู่กับจ่านซิงเฉินกลับเย็นชาและแข็งกร้าว พวกเขายังชอบสรรหาเกมแปลกๆ มาเล่น คล้ายจงใจจะยั่วโมโหกันและกัน
วันที่ต้องเดินทางไปกองถ่าย กู้เซียงทำอาหารเช้าให้ทั้งสองกิน
หลังกินเสร็จ จ่านซิงเฉินก็ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้แล้วยืดตัวหอมคางกู้เซียง
“หม่าม้าต้องคิดถึงผมแน่เลย”
เขาควรพูดว่า “ผมต้องคิดถึงหม่าม้าแน่เลย” ไม่ใช่เหรอ?
สมกับที่เป็นเด็กน้อยรูปหล่อผู้มั่นใจในตัวเองจริงๆ!
“จ่านซิงซิง เวลาอยู่ในกองถ่ายต้องเชื่อฟังพ่อและอย่าดื้อนะ พี่ๆ ทีมงานยุ่งมากพอแล้ว ถ้าหนูดื้อ พี่ๆ เขาจะทำงานลำบาก”
กู้เซียงติดกระดุมให้ลูกชายพลางสอนอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นว่าเขายังคงวางมาดเท่ จึงงัดไม้ตายออกมาใช้
“รายการของลูกเป็นรายการสด ถ้าทำอะไรไม่ดีทุกคนจะเห็นหมด อย่าเผลอทำท่าประหลาดๆ ใส่กล้องล่ะ เข้าใจไหม?”
จ่านซิงเฉินหันมองผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้ากังวล
หลังดื่มนมจนหมด จ่านหยางก็วางหนังสือพิมพ์ในมือแล้วมองลูกชายด้วยแววตาเยียบเย็น
กู้เซียงไม่ได้สังเกตแววตาของสามีและตั้งหน้าตั้งตาสอนลูกชายต่อ ทว่าจ่านซิงเฉินไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่กลับคิดไปเองว่าการวางมาดและทำสีหน้าเย็นชาคือความสุภาพเรียบร้อย
“ฝากด้วยนะ” เธอตบบ่าจ่านหยางเบาๆ ที่หน้าประตู
“คุณต้องคิดถึงผมแน่เลย” เขาถือโอกาสหอมแก้มซ้ายของภรรยา
กู้เซียงรีบหันมองจ่านซิงเฉิน ซึ่งกำลังเล่นตัวต่อด้วยสีหน้าปกติ
“ทำตัวว่านอนสอนง่ายดีมาก” เธอหันไปหยิกแก้มจ่านหยาง
เมื่อสองพ่อลูกออกจากบ้านไปแล้ว กู้เซียงก็เก็บกวาดบ้านต่อ
เธอกับจ่านหยางมีลูกทันทีหลังแต่งงาน
ทั้งสองพร้อมที่จะสละทุกอย่าง ระมัดระวังในการเลือกภาพยนตร์ที่จะเล่นมากขึ้น ขอแค่บทโดดเด่น ไม่มีคิวถ่ายติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อจะได้มีเวลาดูแลลูก
ด้วยความที่ตั้งมาตรฐานไว้สูง ภาพยนตร์แต่ละเรื่องของพวกเขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของคนดู ไม่นานก็ก้าวขึ้นเป็นดาราอันดับหนึ่งในวงการบันเทิง พร้อมกับตำแหน่งครอบครัวตัวอย่าง
หลังจากที่ส่งพ่อกับลูกไปออกรายการแล้ว กู้เซียงก็เตรียมตัวออกไปถ่ายหนัง ใจก็นึกเป็นห่วงจ่านซิงเฉินตลอดเวลา
จ่านหยางอุ้มลูกชายเดินเข้ากองถ่าย
จ่านซิงเฉินดูจะไม่คุ้นกับการที่ต้องสนิทสนมกับผู้เป็นพ่อ แม้ว่ามือทั้งสองข้างจะกอดคอจ่านหยางไว้แน่น แต่ก็ยังทำหน้าเหยเก
เมื่อไปถึงจุดนัดพบ ดาราคนอื่นๆ และลูกของพวกเขาก็มาถึงกันแล้ว
ในกองถ่ายมีเด็กทั้งหมดสี่คน คนหนึ่งเป็นลูกชายของเติ้งซินชื่อว่าเติ้งเติง อายุห้าขวบเหมือนกับจ่านซิงเฉิน เป็นเด็กอ้วนจ้ำม่ำ นิสัยร่าเริง ยังมีเกาลี่และลูกสาวที่ชื่อว่าเกาหนิง เด็กหญิงผิวขาวน่ารักน่าเอ็นดู ส่วนอีกคนเป็นลูกสาวของเวินหลินยู่ชื่อว่าเวินเถียนเถียน
บังเอิญเหลือเกินที่ผู้เข้าร่วมรายการล้วนรู้จักกับกู้เซียง
หลังจากที่เติ้งซินเชิญกู้เซียงกับจ่านหยางไปขึ้นคอนเสิร์ตในครั้งนั้น พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
เขาเป็นคนสมถะ แม้ภายหลังจะโด่งดังก็ยังแต่งงานกับสาวนอกวงการอย่างเรียบง่าย และให้กำเนิดลูกชายที่ชื่อว่าเติ้งเติง
เกาลี่คือพระเอกเรื่องเหมยจวง ภาพยนตร์เรื่องแรกที่กู้เซียงเล่น ตอนนั้นเธอยังเป็นดาราหน้าใหม่ที่ไม่ยอมใคร เคยเข้าฉากกับเขาอยู่ครั้งหนึ่ง จากดาราตัวประกอบที่ไม่มีแม้แต่บทพูด กลายเป็นดาราที่โด่งดังไปไกลถึงต่างแดน
เขากล่าวทักทายจ่านหยางและมองจ่านซิงเฉินด้วยรอยยิ้ม “หน้าเหมือนแม่เลยนะเรา”
จ่านซิงเฉินเป็นเด็กน้อยหน้าตาดี ฉายแววหล่อมาตั้งแต่เกิด ใบหน้าออกไปทางกู้เซียง ทว่าบุคลิกคล้ายพ่อ เหมือนจะเรียบร้อยแต่ก็หวงตัว
เกาหนิงลูกสาวของเกาลี่จ้องจ่านซิงเฉินที่อยู่ในอ้อมกอดของจ่านหยางไม่วางตา ปีนี้เธออายุหกขวบแล้ว อาจพอแยกแยะได้ว่า อะไรคือหล่ออะไรคือขี้เหร่
พอจ่านหยางวางจ่านซิงเฉินลง เวินเถียนเถียนก็วิ่งเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มาแล้วเหรอ?”
เวินหลินยู่มีความสัมพันธ์อันดีกับถางรุ่ย ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมของจ่านซิงเฉิน
เขาเคยเจอเวินเถียนเถียน เด็กน้อยหน้าตาอ่อนหวานสมชื่อ ลูกคนที่สองของเวินหลินยู่ที่นิสัยอ่อนโยนและขี้งอนมาบ้างแล้ว จ่านซิงเฉินพยักหน้าให้อีกฝ่าย
จังหวะเดียวกันนั้น นักข่าวผมหยิกก็มาถึงกองถ่ายพอดี
เขาอายุยังน้อย ผมหยิกฟูฟ่องบนศีรษะถูกย้อมเป็นสีเหลืองทอง ให้ความรู้สึกไม่สุภาพเท่าไหร่
วันนี้หนุ่มผมหยิกมาเป็นทั้งพิธีกรและนักข่าว ก่อนหน้าเขาเคยสัมภาษณ์เด็กคนอื่นๆ บ้างแล้ว ยกเว้นจ่านซิงเฉิน
กู้เซียงปกป้องลูกชายค่อนข้างมาก น้อยครั้งที่สื่อจะได้เห็นภาพของเด็กคนนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นภาพจากปาปารัสซี่ที่แอบถ่ายตอนเธอและจ่านหยางพาลูกออกไปเที่ยว ซึ่งไม่ชัดเท่าไหร่