“เจ้า” เฮ่อเหลียนกวงเย่าตะโกน เขาตัวสั่นด้วยความเกรี้ยวกราด ไม่สนใจการมีอยู่ของบรรดาคุณชายอีกต่อไป แล้วยกมือขึ้นตบหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือของเฮ่อเหลียนกวงเย่าปะทะกับใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างแรง การตบครั้งนี้รุนแรงและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะหลบหลีกได้ แต่นางกลับไม่ทำ ทำเพียงยืนรับแรงตบอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาเย็นชา “นี่คือวิธีการตอบแทนของท่านหรือ ท่านแยกแยะผิดถูกชั่วดีไม่ได้ แล้วยังปล่อยให้ลูกสาวคนโปรดของท่านใส่ร้ายข้าอีก”
นางพูดพร้อมกับเขวี้ยงของที่อยู่ในมือด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย ดวงตาของนางดูซื่อตรงยิ่งนัก ในขณะนั้นเอง ราวกับว่าหัวใจของผู้คนที่มองอยู่ทั้งหลายกำลังถูกแผดเผา
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ทุกคนก็มองไปที่เฮ่อเหลียนกวงเย่าด้วยความตกตะลึง พวกเขาเริ่มมีข้อกังขากับอีกฝ่าย
สีหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ แต่เขาไม่อาจตอบโต้คำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้แม้เพียงครึ่งคำ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนที่เขาตบเฮ่อเหลียนเวยเวย นางจึงไม่เบี่ยงหลบ แม้ว่านางจะสามารถทำได้ก็ตาม
นางต้องการจะเปิดเผยความร้ายกาจที่คนชั่วช้าคนนี้ทำเอาไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เขามีโอกาสตอบโต้ได้
เห็นได้ชัดว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่านั้นรู้สึกแค้นเคืองและสับสน เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนเขาไม่ทันตั้งตัว และไม่มีโอกาสคาดเดาได้เลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการจะทำอะไรกันแน่
ดังนั้น เฮ่อเหลียนกวงเย่าจึงไม่ได้ตอบโต้
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะไม่ตอบโต้ นางหลุบตาลงต่ำเพียงครู่เดียว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนหวาน “ในเมื่อท่านพี่ยืนยันว่าตนเองไม่ผิด ถ้าเช่นนั้น ทำไมถึงไม่ให้บ่าวไปค้นตัวดูเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้พี่สาวเล่า ถึงตอนนั้น นางก็จะได้เป็นผู้บริสุทธิ์”
เมื่อได้ยินวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย และคิดว่าคุณหนูรองช่างมีจิตใจดีจริงๆ แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ นางก็ยังยอมลดทิฐิลงมา
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเพียงปราดเดียวก็รับรู้ได้ถึงเจตนาอันร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ทวงคืนความยุติธรรมให้กับข้าเช่นนั้นหรือ เหอะ ฟังดูดีเกินไปแล้ว
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อาจจะกำลังคิดหาวิธีการอื่นที่จะดูถูกนาง ตอนนี้ เนื้อตัวของนางเปียกปอน และหากนางยอมให้คนเหล่านั้นจับต้องตนเอง แล้วในอนาคต นางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน
“ดูเหมือนว่าน้องสาวต้องการจะบังคับให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนั้นหรือ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก้มศีรษะลงและพูดขึ้น “ข้าเพียงแค่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพี่สาวก็เท่านั้น ในเมื่อท่านยืนยันว่าถูกเข้าใจผิด ก็ไม่ควรกลัวที่จะถูกค้นตัวมิใช่หรือ”
“แล้วถ้าเจ้าหาสิ่งที่ต้องการไม่พบเล่า จะเกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ้ม “หากพวกเราไม่พบหยกชิ้นนั้น เจียวเอ๋อร์จะเป็นคนคุกเข่ายกน้ำชาให้กับพี่สาวเพื่อเป็นการไถ่โทษเอง” เจียวเอ๋อร์ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมให้คนแตะต้องตัวนาง
“น้องรองจำคำพูดของตนเองเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเบาๆ ราวกับราชินี “ข้ารับใช้เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมาตรวจค้นร่างกายของข้า ข้าจะตรวจค้นตัวเองต่อหน้าพวกเจ้าทุกคนเอง”
หลังจากพูดจบ นางก็ปลดสายคาดเอวลายลูกไม้ออกในพริบตา ก่อนจะสะบัดแขนไปมาอย่างคล่องแคล่ว และหมุนตัวพร้อมกับพลิกแขนเสื้อจากด้านในออกด้านนอกอย่างรวดเร็ว ทั้งซ้าย ขวา ด้านหน้า และหลัง ต่างก็ว่างเปล่า อย่าว่าแต่หยกราคาสูงเลย แม้แต่วัตถุเรืองแสงใดๆ ก็ไม่พบเลยด้วยซ้ำ
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เพราะไม่มีใครคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะใจกล้าได้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกต่อหน้าสาธารณชน
นางไม่คิดจะออกเรือนอีกครั้งเช่นนั้นหรือ
อย่างไรก็ตาม ผู้คนเหล่านี้ไม่มีวันเข้าใจ เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยสนใจชื่อเสียงของตนเองเลย ใครก็ตามที่ต้องการเป็นใหญ่ก็จะต้องไร้ความปรานีต่อผู้อื่น และยิ่งต้องโหดร้ายต่อตัวเองให้มากกว่านั้น
ความโหดร้ายเช่นนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เป็นไปได้อย่างไรกัน นางมั่นใจว่าตนเองได้ซ่อนหยกเอาไว้บนร่างกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว เพื่อเป็นแผนสำรอง
แต่หยกนั่นอยู่ที่ไหนกัน
ทันใดนั้นเอง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็หน้าซีดเผือด
เดิมที ผมของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นก็ยาวอยู่แล้ว ตอนนี้ เมื่อนางไม่ได้สวมใส่เสื้อตัวนอก ผมของนางก็ทิ้งตัวลงมาถึงเอว ผมสีดำยาวหยักศกเล็กน้อยราวกับสาหร่ายสีเข้มที่ห้อยอยู่ข้างหลังนาง ดูคล้ายนางเงือกที่เพิ่งขึ้นมาบนฝั่ง
ริมฝีปากของนางโค้งเป็นรอยยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องรอง ตอนนี้ เจ้าควรคุกเข่าลงแล้วไม่ใช่หรือ”
ทันใดนั้น ลานแห่งนี้ก็เงียบลงจนน่าขนลุก
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเฮ่อเหลียนเวยเวย และเห็นว่าแม้นางจะดูบอบบาง เพราะเสื้อผ้าที่สกปรกและเปียกปอน แต่ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและไม่แยแสสิ่งใดของนางกลับทำให้เกิดความรู้สึกขัดแข้งกันอย่างมาก นางดูเย็นชาและแผ่กลิ่นอายความกดดันออกมา ทำให้ไม่มีใครกล้าประเมินนางต่ำเกินไป
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เหมือนกลายเป็นกิ่งไม้ในฤดูหนาว นางตัวสั่นสะท้านไม่หยุด
จะทำอย่างไรดี
นางคือคนที่จะได้เข้าวังในอนาคต แต่หากวันนี้ นางคุกเข่าลงที่นี่ แม้ว่าในอนาคต ชีวิตของนางจะรุ่งโรจน์เพียงใด นางก็ไม่สามารถลบเลือนความน่าอับอายนี้ออกไปได้
แต่ถ้านางไม่คุกเข่าต่อหน้าธารกำนัลที่จับจ้องอยู่นี้ ชื่อเสียงของนางก็ต้องถูกทำลายลงอยู่ดี หากข่าวลือแพร่สะพัดออกไป
นางจะต้องคุกเข่าต่อหน้านางผู้หญิงแพศยาคนนี้จริงๆ หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับรับรู้ถึงอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยปรากฏความขบขัน
นางมองดูเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ค่อยๆ ย่อตัวลง และกำลังจะคุกเข่า…
แต่ทันใดนั้นเอง มือคู่หนึ่งก็ยื่นออกมาหยุดนางไว้ “ไม่มีอะไรในเสื้อคลุมตัวนอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหยกจะไม่ถูกซ่อนอยู่ด้านใน การตรวจค้นยังไม่เสร็จสิ้น แล้วทำไมนางจะต้องคุกเข่าขอโทษด้วย”
มู่หรงฉางเฟิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกล่าวอ้างความชอบธรรม แสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้าด้านข้างของเขา ขับให้เขาดูโดดเด่นและอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองฉางเฟิงด้วยความซาบซึ้งใจ “ซื่อจื่อ…”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากมู่หรงฉางเฟิงไม่เข้ามา เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็คงจะทำได้แค่ยอมคุกเข่าลง แต่ตอนนี้ มู่หรงฉางเฟิงกลับเข้ามาช่วยเหลือนาง และยังพูดแบบนั้น ความสงสัยเหล่านั้นจึงตกไปอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับการกล่าวหาจากคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ตื่นตระหนก นางกลับยืดแผ่นหลังเหยียดตรง แขนเสื้อของนางพลิ้วไปตามแรงลม ดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง
ก่อนที่นางจะอายุเจ็ดขวบ ร่างกายนี้ได้รับความรักและการดูแลอย่างดีจากทุกคน ตอนนั้นท่านตายังมีชีวิตอยู่ และพลังลมปราณของนางก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนนางได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้
แต่หลังจากอายุเจ็ดขวบ ท่านตาของนางก็เสียชีวิต ส่วนท่านแม่ของนางก็ล้มป่วย และเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็พาแม่เลี้ยงเข้ามา ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน นางก็สูญเสียทุกอย่าง ทั้งความสามารถในการฝึกฝนวิชา และความรักจากคนในตระกูล รวมถึงสถานะของนางด้วย
ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กลายเป็นขยะไร้ค่าที่ทุกคนต่างอยากเขี่ยทิ้ง
พวกเขาเกลียดชังความหยิ่งผยองของนาง และอ้างว่านางรังแกน้องสาวต่างมารดา รวมทั้งด่าว่าแม่เลี้ยงของนางด้วย
นางเมินเฉยต่อทุกคน เพราะนางรู้ว่ายังคงมีเขาอยู่
แต่ทว่า เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อนางเข้าทดสอบความสามารถตอนอายุเจ็ดขวบจะทำให้ทุกอย่างจะพังทลายลงไปพร้อมกับความรักของฉางเฟิง
นางต้องการจะแสดงให้เห็นว่า มู่หรงฉางเฟิงคนนี้ไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากนางเลย
“คุณชายมู่หรงพูดถูก แม้ว่าหยกจะไม่ได้อยู่ในเสื้อคลุมตัวนอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ได้ถูกซ่อนอยู่ด้านใน”
เรื่องนี้น่าจะจบลงแล้ว แต่เฮ่อเหลียนเหมยและคนอื่นๆ มักจะทำตัวไร้ยางอายได้มากกว่าที่คิด นั่นก็หมายความว่า เพื่อให้วันนี้เป็นวันตายของเฮ่อเหลียนเวยเวยตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก และในเมื่อพวกนางก็ใส่ร้ายอีกฝ่ายไปแล้ว ก็ต้องทำมันให้ถึงที่สุด
ทว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือเสื้อผ้าบนตัวเพียงชิ้นเดียว เกรงว่าหากนางจะถอดมันออก…
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทุกคนจะให้ความสนใจกับเสื้อผ้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง จู่ๆ เสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ทีมีลายเมฆสีทองเข้มปักอยู่บนนั้น ก็ปลิวลงมาปกคลุมเรือนร่างอันบอบบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้อย่างนุ่มนวล และมันก็กลายเป็นชุดของนางอย่างเหนือความคาดหมาย
หลังจากสังเกตเห็นเสื้อคลุมนั้น สีหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็เปลี่ยนไปทันที
แม้แต่บรรดาหญิงสาวจากตระกูลขุนนางก็ยังไม่อาจนั่งนิ่งๆ ได้ และเริ่มหันหน้ามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น และทันใดนั้น ดวงตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยความเขินอายและดูมีความสุขจนยากจะเข้าใจได้ พวกนางไม่อาจควบคุมใบหน้าที่แดงซ่านของตนเองได้เลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเสียงพึมพำของแม่นมเหมยที่อยู่ข้างๆ ว่า “องค์ชายสาม แห่งวังปีศาจเสด็จ…”