เสียง ‘หืม’ ในลำคอของชายหนุ่มฟังดูมีเลศนัย หางเสียงคล้ายกับตะขอที่เกี่ยวลึกลงไปในหัวใจของคนฟัง ทั้งยังลึกเสียจนทำให้คนผู้นั้นแทบจะหมดหนทางป้องกันตัว
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ความฉลาดแกมโกงของนางหาได้ลดลงไม่
“ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร ‘เสียเวลาหรือ’ ‘หนีไปง่ายๆ หรือ’ ข้าไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด”
“งั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบคางของนางไว้ เขารู้สึกโมโหอย่างมาก แต่ก็ซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ภายใต้รอยยิ้ม “อย่าบอกนะว่าพอยามบ่ายล่วงเลยไป เจ้าก็สูญเสียความทรงจำไปเสียแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มกว้าง พลางนวดขมับตัวเอง “ที่จริงแล้ววันนี้เหมือนข้าจะถูกอะไรบางอย่างชนเข้า”
“ต้องให้ข้าช่วยเตือนความจำหรือเปล่าว่าเจ้าเป็นคนที่ชนข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเชยคางนางขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้เสียจนทุกลมหายใจแทบจะรดลงมาบนริมฝีปากของนาง “บางทีข้าน่าจะฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะได้นึกออกว่า เจ้าก่อ ‘เรื่องดีๆ’ อันใดเอาไว้”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาอย่างมาก คำพูดที่เอ่ยออกมาก็ช้าจนยานคาง เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนเขาเป็นยมทูตถือบัญชีรายชื่อคนตายที่เฝ้าประตูนรกอยู่ไม่มีผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยตนไปง่ายๆ แน่ ไม่ใช่แค่นั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าคนฉลาดเช่นนี้ ลูกไม้เดิมที่เคยใช้ก็คงไม่สามารถนำมาใช้การได้อีกเป็นครั้งที่สองแล้ว
นอกจากนี้นางก็เหลือยาพิษอยู่ไม่มาก หยวนหมิงอนุญาตให้นางใช้มันได้เพียงสามครั้งเท่านั้น หากมากกว่านั้นนางจะต้องจ่ายค่าตอบแทน
หยวนหมิงเป็นปีศาจตัวจริงเสียงจริง นางไม่อยากต่อรองราคาอะไรกับเขาทั้งสิ้น
บางที… อาจจะมีหนทางอื่น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปอีกด้าน แล้วเงี่ยหูฟังเสียงน้ำที่อยู่ข้างนอก ดวงตาของนางเป็นประกาย ทันใดนั้นนางก็ร้องตะโกนออกมาสุดเสียงว่า “ช่วยด้วย มีคนลวนลามข้า”
“เจ้าคิดว่าจะมีคนเชื่อหากเจ้าร้องออกมาเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลงอย่างร้ายกาจ รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบริเวณมุมปากของชายหนุ่มดูกระหายเลือดจนผิดปกติ เรียวนิ้วของเขากดลงไปบริเวณริมฝีปากของนาง แล้วบดขยี้มันอย่างรุนแรง “ดูเหมือนว่าข้าจะใจดีกับเจ้าเกินไป”
ดวงตาเฉียบคมของเฮ่อเหลียนเวยเวยเชิดขึ้นมองเขาทีละน้อย นางยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ นางคว้าโอกาสนั้นเอาไว้แน่น แล้วอ้าปากงับนิ้วของเขาเต็มแรง!
แต่ผลที่ออกมานั้น…
ไม่ใช่แค่การตอบโต้ของนางจะล้มเหลวไม่เป็นท่า
แต่ชายคนนี้กลับปล่อยให้นางกัดนิ้วของเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ ซ้ำยังขยับนิ้วเรียวยาวของตนที่อยู่ระหว่างฟันของนางไปข่วนปลายลิ้นของนางเข้าอีกด้วย
แผ่นหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวยเกร็งขึ้นมา นางแทบจะสบถคำหยาบออกมายาวเป็นหางว่าว!
“ทำไมไม่กัดต่อล่ะ หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนางเข้ามาหาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเย็นชา “กัดได้ไม่เลวนี่”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยยกขึ้น “หากมีเวลามาชมข้า สู้ท่านเอาเวลาไปแต่งตัวไม่ดีกว่าหรือ… แผนการที่ข้าวางเอาไว้ไม่ใช่แผนตื้นๆ อย่างการให้คนมาเห็นว่าท่านกำลังลวนลามข้าอยู่หรอกนะ หากท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ฟังให้ดี หนึ่ง สอง สาม มากันแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก!
เฮ่อเหลียนเวยเวยฉวยโอกาสนั้นสะบัดตัวออกจากเสื้อคลุมตัวนอกของตนเหมือนจั๊กจั่นลอกคราบ ไม่มีใครเห็นแน่ชัดว่านางทำได้อย่างไร แต่การเคลื่อนไหวของนางนั้นรวดเร็วมากเสียจนเห็นเป็นภาพพร่ามัวชวนให้สับสนเท่านั้น เพียงพริบตา นางก็กระโดดถอยออกห่างจากชายหนุ่ม การเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจจะยากสำหรับคนธรรมดา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยหาใช่คนธรรมดาไม่ นางเป็นสายลับมือหนึ่งของทหารรับจ้าง ทักษะการถอดชุดเช่นนี้เป็นหนึ่งในทักษะจำเป็นสำหรับพวกนาง และเพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกผิดสังเกต นางจึงพยายามหาโอกาสปลดกระดุมเสื้อของตนเอาไว้แต่เนิ่นๆ บทสนทนาระหว่างนางกับเขาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อใช้หลบหนีในตอนสุดท้ายต่างหาก!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนนิ่งอยู่กับที่ เขามองมือที่ถือเสื้อคลุมตัวนอกอันว่างเปล่าเอาไว้ ท่าทางดูไม่ได้ใส่ใจกับการหายไปนั้น แต่คิ้วของเขาเลิกขึ้นเหมือนคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่าบนโลกนี้มีกระบวนท่าการถอดเสื้อผ้าแบบนี้อยู่ด้วย
“เฮ้ มีใครอยู่ข้างในไหม”
“เจ้าโง่ ถ้ามีเสียงก็แสดงว่าต้องมีคนอยู่แล้วสิ มีคนตะโกนว่าถูกลวนลามนะ”
“รีบพังประตูเข้าไปเร็ว!”
สถานการณ์วุ่นวายด้านนอกดังขึ้นเรื่อยๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียงเบา “พี่ชายรูปงาม ท่านควรคิดดูให้ดี หากท่านมัวแต่เสียเวลาตามจับข้า ท่านจะไม่มีเวลาแต่งตัวเอานะ แต่หากท่านอยากจะอวดเรือนร่างของตัวเองต่อสายตาของพวกเขาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็ตามมาจับข้าได้เลย”
ร่างซีกหนึ่งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยซ่อนอยู่ในเงา มือที่กุมเสื้อคลุมของหญิงสาวอยู่กำแน่น นี่คือแผนที่นางวางเอาไว้สินะ
“ดูเหมือนว่าท่านเองก็คงไม่ต้องการให้คนอื่นมาชื่นชมร่างกายของท่านล่ะสิ ดีเหมือนกัน ข้อนี้เราเห็นตรงกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยสะเดาะกลอนที่หน้าต่างไม้ โดยไม่ลืมที่จะพูดต่อว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ดังนั้นขอตัวก่อนล่ะ ครั้งนี้ข้าหวังว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก ลาก่อน…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาอาฆาต น้ำเสียงของเขาร้ายกาจประหนึ่งอสรพิษที่เพิ่งขึ้นจากผิวน้ำ “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้ารึ”
“จริงสิ ข้าต้องบอกท่านเอาไว้อีกอย่าง ขอพูดตรงๆ เลยนะหุ่นท่านนี่ใช้ได้ทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับมาผิวปากหวือคล้ายต้องการยั่วโมโห จากนั้นนางก็กระโดดออกไปจากหน้าต่างบานนั้น!
แต่นางหารู้ไม่ว่ามีสายตาอันลึกล้ำจากดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่งจับจ้องแผ่นหลังเพรียวบางของนางไปตลอดทาง จนกระทั่งนางหายลับไปกับความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดในยามค่ำคืน ริมฝีปากของชายหนุ่มจึงเผยรอยยิ้มเยี่ยงปีศาจร้ายออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตาของเขา ดวงตาสีดำดั่งรัตติกาลของเขาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา…
คนที่อยู่นอกโรงอาบน้ำยังคงกระแทกประตูไม้ไผ่อย่างแรง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเสื้อคลุมตัวนอกของหญิงสาวที่เขาถืออยู่ในมือ มีประกายวาบขึ้นมาในดวงตาของเขา…
ปัง!
ในที่สุดคนที่อยู่ด้านนอกก็บุกเข้ามาได้ แต่เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นด้านใน พวกเขาก็สับสนจนพูดอะไรไม่ออก
ร่างของเพื่อนร่วมชั้นที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท้า มีแค่เสื้อคลุมตัวเดียวที่พันรอบเอวเอาไว้
พวกเขาจึงเห็นกระทั่งกล้ามท้องอันน่าอิจฉาทั้งหกของอีกฝ่าย… อึ่ก คนที่เข้ามาด้านในต่างพร้อมใจกันกลืนน้ำลาย แต่… เสื้อคลุมตัวนั้นมันเป็นของผู้หญิงนี่นา มีลายดอกไม้ปักอยู่บนนั้นด้วย!
ไม่ต้องเดา พวกเขาก็พอจะนึกออกว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เรื่องอาจจะเป็นเช่นนี้ มีผู้หญิงบ้ากามคนหนึ่งหมายตาชายคนนี้เอาไว้ เลยคิดหาหนทางแอบลอบเข้ามาในห้องอาบน้ำแห่งนี้ แล้วทำอะไรกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ส่วนปฏิกิริยาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในตอนนั้น —- บางทีต่อให้ตายเขาก็อาจจะไม่ยอม ดังนั้นจึงร้องตะโกนออกมาว่า “ช่วยด้วย มีคนลวนลามข้า” แล้วจากนั้นล่ะ
แล้วจากนั้นเป็นเช่นไรน่ะหรือ ศิษย์ใหม่ที่เข้ามาต่างก็ขบคิดและคาดเดากันหัวแทบแตก…
หนานกงเลี่ยที่ได้ฟังเรื่องนี้ถึงกับตัวแข็งไปราวครึ่งนาที ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “ฮ่าๆ เจ้าถูก ฮ่าๆ เจ้าถูกคนหมายตาหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นแล้วมองเขาอย่างช้าๆ ขณะที่มือก็คว้าเสื้อคลุมที่พันอยู่รอบเอวเขวี้ยงลงกับพื้น…
“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นก่อนสิ!” หนานกงเลี่ยรีบถอยห่างออกไปทันที “ข้าไม่ได้มีรสนิยมชอบอะไรแบบนั้นนะ แต่เจ้าตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย มีคนลวนลามข้า’ จริงๆ หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำหน้าบึ้ง แววตาของเขาเย็นชา “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
หนานกงเลี่ยลูบจมูกตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่าชายคนนี้จะตะโกนว่ามีคนพยายามลวนลามตัวเองได้อยู่แล้ว แต่… ดวงตาเรียวรีของเขาหันขวับกลับมา ความสงสัยปะทุขึ้น “ว่าแต่เสื้อคลุมของผู้หญิงตัวนี้มาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย เขายกมือขึ้นด้วยท่าทีไม่แยแส แล้วติดกระดุมที่ได้รับการสลักขึ้นมาเป็นอย่างดีทีละเม็ด
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ หนานกงเลี่ยก็นึกขึ้นได้ในทันที “อย่าบอกนะว่า…เป็น เจ้า ‘แมวน้อย’ นั่นอีกแล้ว”