ลานกว้างที่เคยว่างเปล่า บัดนี้กลับเต็มไปด้วยสุราอาหารชั้นดี กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ บรรดาศิษย์ใหม่ต่างพากันเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มเหล่านั้นเสียจนพุงกาง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่สวยงามตระการตา
หลังจากพิธีต้อนรับอันยิ่งใหญ่สิ้นสุดลง การแบ่งหอพักก็เริ่มขึ้น ซึ่งหอพักที่ว่านี้จะแบ่งตามระดับความสามารถของพวกเขา คือ หอชั้นเลิศ หอชั้นเยี่ยม หอชั้นดี และหอสามัญ
การคัดสรรคขึ้นอยู่กับผลของการทดสอบที่ถูกจัดขึ้นภายในสำนักไท่ไป๋ ยิ่งผู้เข้ารับการทดสอบมีพลังปราณสูงส่งเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งมีสิทธิ์ถูกคัดเข้าไปอยู่ในหอพักระดับสูงมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกัน ผู้ที่มีพลังต้อยต่ำ ก็มักจะได้ไปอยู่ในหอพักที่แย่ที่สุด
ดังนั้นการที่เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกจัดให้ไปอยู่ในหอสามัญ ซึ่งเป็นหอพักสำหรับคนที่มีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
หยวนหมิงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “คะแนนพวกนั้นเป็นผลการทดสอบเมื่อคราวก่อน หากทดสอบใหม่ตอนนี้ พวกเขาจะต้องนึกเสียดายที่โยนเจ้าไปอยู่กับพวกต่ำกว่ามาตรฐานพวกนั้นแน่”
“จะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ อย่างไรเสียภายในหนึ่งเดือนนี้ก็จะมีการทดสอบเกิดขึ้นอีกครั้งอยู่ดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาได้ร้อนใจไม่ ผิดกับใครบางคน
เหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักไท่ไป๋ทำหน้าที่คัดเลือกคนเข้าหอพักทั้งสี่มาก็หลายปีแล้ว แต่เขายังไม่เคยเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีศิษย์ใหม่ที่ไม่มีผลการทดสอบถึงสองคน! แม้แต่ชื่อแซ่และสถานที่เกิดก็ไม่ได้ระบุเอาไว้!
แล้วเขาควรจะส่งทั้งสองไปอยู่หอไหนดีล่ะ?!
ผู้อาวุโสถอนหายใจ แล้วหันหน้าไปทางเจ้าสำนัก
ท่วงท่าอันสง่างามของตู๋ซู่เฟิงไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย “ท่านผู้อาวุโสซู ท่านสามารถส่งพวกเขาไปที่หอใดก็ได้”
[เรื่องแบบนี้จะคัดสรรคแบบขอไปทีได้อย่างไรกัน] ผู้อาวุโสนึกโกรธ พลางสะบัดมือไปมา “เช่นนั้นพวกเจ้าไปอยู่ที่หอสามัญก็แล้วกัน”
หนานกงเลี่ย “….”
[บัดซบ! ไหนท่านบอกว่าจะไม่ทำแบบขอไปทีอย่างไรเล่า]
ตุ้บ
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางย่ามใส่ตำราที่นางสะพายมาลงบนเตียง นางเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปรอบห้องของตน แม้หอพักที่นี่จะดูเก่า และค่อนข้างคับแคบ แต่ภายในก็มีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับนาง
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วสินะที่ข้าต้องมาอาศัยอยู่ในโรงเรียน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเยาะยิ้ม ที่แห่งนี้ให้อารมณ์เหมือนกับหอพักนักเรียนทั่วๆ ไป จะต่างกันก็แค่ห้องพักภายในมหาวิทยาลัยที่นางเคยเรียนอยู่นั้นต้องอยู่กันถึงสี่คน แต่ที่นี่ทุกคนกลับมีห้องเดี่ยวเป็นของตัวเอง
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดการเก็บข้าวของเสร็จแล้ว นางก็เดินเข้าไปในมิติสวรรค์ ครั้งนี้นางไม่ได้เด็ดสตรอว์เบอร์รีมากิน แต่กลับหยิบกระบี่ที่ทำจากแร่เงินหน้าตาธรรมดาๆ ขึ้นมาแทน คมกระบี่เปล่งรัศมีอันเย็นเยียบ แค่มองดูก็รู้ได้ว่ามันไม่ใช่อาวุธธรรมดา
“นี่มันอาวุธที่เจ้าทำเมื่อคืนนี้มิใช่หรือ” หยวนหมิงอ้าปากหาวขณะเอ่ยถาม “เจ้าเอามันออกมาทำไมรึ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ เมื่อครู่ตอนที่นางเดินผ่านลานกว้างเข้ามา นางเห็นคนผู้หนึ่งเพิ่งจะนำอาวุธของตนไปขาย ที่นี่เป็นสถาบันการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ตราบใดที่นักเรียนมีความสามารถในการสร้างอาวุธ พวกเขาก็สามารถนำมันไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้
ถ้าอย่างนั้นต่อไปในอนาคต นางจะไม่ร่ำรวยล้นฟ้าเลยหรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยอย่างชั่วร้ายว่า “ไปเปลี่ยนเป็นเงินกัน…”
ย่านการค้ากว้างขวางและเจริญอย่างยิ่ง แม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสำนักไท่ไป๋ แต่ก็มีทุกสิ่งที่ทุกคนต้องการ ทั้งร้านอาหาร หอน้ำชา ทุกแห่งล้วนแต่ประดับประดาด้วยหยกชั้นดี และแน่นอนว่าโรงอาหารของสำนักเองก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย
บรรดาศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนเดินกันขวักไขว่อยู่ภายในย่านการค้าอย่างมีชีวิตชีวา นานๆ ครั้งถึงจะได้เห็นศิษย์พี่ที่เข้ามาก่อนหน้าเดินผ่านมาสักคน เสียงพูดคุยภายในย่านการค้าดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสนใจเด็กสาวถือกระบี่เล่มยาวที่ก้าวเข้าไปในร้านขายอาวุธชั้นเลิศนั้นแม้แต่คนเดียว นางนำกระบี่ในห่อผ้าสีดำขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะไม้โดยไม่พูดอะไร
เจ้าของร้านที่กำลังนั่งดีดลูกคิดอยู่หันมาสนใจนางทันที เขาเงยหน้าขึ้น แล้วมองเด็กสาว “แม่นาง เอาอาวุธมาขายหรือ”
“อืม” เด็กสาวตอบเสียงเบา แล้วถอดหมวกไม้ใผ่สานออกจากศีรษะ นางจะเป็นใครไปได้อีกนอกเสียจากเฮ่อเหลียนเวยเวย
เจ้าของร้านขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้มีศิษย์ใหม่เข้าร้านมาสองสามคน แต่เจ้าพวกนั้นล้วนเป็นเพียงเด็กน้อย ทุกคนแค่อยากจะมีอาวุธเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่นังหนูคนนี้กลับมาที่นี่เพื่อขายอาวุธของตนหรือ คิดดูแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ เขาถอนหายใจออกมา ถือซะว่ารับซื้อเศษเหล็กเก่าๆ แทนก็แล้วกัน… เจ้าของร้านคิดกับตัวเอง พลางยื่นมือออกไปแกะผ้าสีดำที่พันอยู่รอบกระบี่เล่มนั้นออก
ในไม่ช้าดวงตาของเจ้าของร้านก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น และเผยความประหลาดใจออกมา “นี่ นี่มัน! สวรรค์ นี่มันกระบี่วิญญาณน้ำแข็ง!”
ไม่ผิดแน่!
กระบี่เล่มนั้นแผ่ไอเย็นออกมา ประกอบกับความคมของใบมีดแล้ว จะต้องเป็นกระบี่วิญญาณน้ำแข็งชั้นหนึ่งไม่ผิดแน่!
ถึงแม้ว่าวิญญาณน้ำแข็งจะไม่ใช่อาวุธระดับสูงสุด แต่ก็นับว่ามีค่ามากทีเดียว
มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากที่ต้องการครอบครองสมบัติชิ้นนี้!
“แม่นาง เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการขายวิญญาณน้ำแข็งให้ข้าจริงๆ” เจ้าของร้านอึกอักถาม ท่าทางของเขาราวกับกลัวว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะนึกเสียใจในภายหลัง
อันที่จริงทักษะการประเมินอาวุธของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นไม่แม่นยำเท่าไรนัก แต่เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้าของร้าน นางก็เพิ่มราคาจากตอนแรกที่คิดเอาไว้ในใจไปอีกสามเท่า กระนั้นดวงตาของนางก็ยังคงนิ่งสงบ “ใช่”
“หากแม่นางไม่ถือสา ข้าขอถามอีกสักคำถามได้หรือไม่ว่ายอดฝีมือคนใดกันที่เป็นผู้สร้างกระบี่วิญญาณน้ำแข็งเล่มนี้ขึ้นมา” เจ้าของร้านพันกระบี่ยาวเล่มนั้นเก็บอย่างมีความสุข
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกดีใจจนเหมือนจะลอยได้ นางเล่นกับเงินในมือ แล้วตอบว่า “ข้าเป็นคนทำขึ้นมาเอง”
“อะไรนะ”
เคร้ง!
รอยยิ้มของเจ้าของร้านแข็งค้างไปในพริบตาราวกับเขาเพิ่งได้ยินข่าวที่น่าตกใจที่สุดเข้า แม้แต่ลูกคิดในมือก็ร่วงลงกับพื้น แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองดูเฮ่อเหลียนเวยเวย “เจ้า เจ้าบอกว่าเจ้าสร้างกระบี่วิญญาณน้ำแข็งนี้ขึ้นมาด้วยมือของตัวเองโดยที่ไม่มีใครแนะนำเจ้าหรือ”
“อือฮึ” หลังจากที่ได้เงิน เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่รีรอ นางสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในเสื้อคลุม แล้วเตรียมจะออกจากร้าน
แต่ก็ถูกเจ้าของร้านรั้งเอาไว้เสียก่อน “แม่นาง รอก่อน!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วมองเจ้าของร้าน “มีอะไรอีกหรือ”
“แม่นาง แม้ว่าวัสดุที่ใช้นี้จะยังด้อยคุณภาพไปหน่อย แต่ฝีมือการประกอบอาวุธของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านใดกันหรือ” น้ำเสียงของเจ้าของร้านแฝงไปด้วยความสงสัย ในตอนแรกเขารู้สึกประหลาดใจกับอาวุธที่ศิษย์ใหม่ผู้นี้เอามา แต่หลังจากคิดดูให้ดี เขาก็ตระหนักได้ว่านางอาจจะเป็นลูกศิษย์จากสำนักดังที่ไหนสักแห่ง ที่แค่อยากโอ้อวดฝีมือของตนด้วยการเอาวิญญาณน้ำแข็งมาแสดงก็เป็นได้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง ดวงตาของนางราบเรียบ “ข้าไม่มีอาจารย์”
เจ้าของร้านมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า
จากนั้น เขาก็ผุดลุกขึ้นอีกครั้ง “แม่นาง รอเดี๋ยวก่อน โปรดรอข้าสักเดี๋ยว!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาวออกมา แล้วหันกลับไป
เจ้าของร้านเองก็รู้สึกว่าการเรียกใครสักคนซ้ำๆ สามสี่ครั้งเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่ว่า
ดูสิว่าเขาพบใครเข้า เขาเจออัจฉริยะด้านการประกอบอาวุธเข้าให้แล้ว!
นังหนูคนนี้น่าจะอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาเรียนที่นี่ด้วย นางสามารถสร้างกระบี่วิญญาณน้ำแข็งชั้นเลิศขึ้นมาได้ โดยที่ไม่มีผู้ใดให้คำแนะนำกับนาง!
นี่มัน… นับเป็นพรสวรรค์ในรอบสิบปี ไม่สิ เป็นพรสวรรค์ที่ในรอบหลายร้อยปีจะได้เห็นสักครั้งต่างหาก!
เขาต้องนำเรื่องนี้ไปบอกท่านปรมาจารย์ทันที!
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาไม่อาจปล่อยให้นังหนูคนนี้กลับไปเช่นนี้ได้โดยเด็ดขาด!
“แม่นาง เอาอย่างนี้ดีไหม พวกข้าจะจัดหาวัสดุมาให้ท่านประกอบอาวุธ จากนั้นพวกข้าจะขอรับซื้อคืน” หลังจากที่เจ้าของร้านพูดจบ เขาก็รีบพูดเสริมขึ้นอีกสองสามคำว่า “ส่วนเรื่องเงินค่าตอบแทนนั้น แน่นอนว่าพวกข้าจะไม่เอาเปรียบแม่นางแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าค่าใช้จ่ายในการซื้อวัสดุลดลง กำไรก็น่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกอย่าง ในเมื่อตอนนี้นางอาศัยอยู่ในสำนัก ไม่สะดวกจะลงจากเขาเพื่อไปซื้อวัสดุเอง นางจึงตัดสินใจที่จะตอบรับข้อเสนอของเจ้าของร้านเอาไว้ “ได้สิ”