ใบหน้าตื่นเต้นขณะกระซิบกระซาบกันของบรรดาเด็กสาวเหล่านั้นกลายเป็นสีแดง พวกนางมองหน้าตาอันหล่อเหลาของหนานกงเลี่ยอย่างเขินอาย แล้วตอบเสียงเบาว่า “คุณชายมิทราบหรือ ผู้หญิงคนนั้นเกาะติดมู่หรงซื่อจื่อเสียแน่น ทุกวันนางจะพยายามทำให้ตัวเองได้อยู่ใกล้ชิดเขา จนสุดท้ายซื่อจื่อก็ทนนางไม่ไหวแล้วขอถอนหมั้นกับนาง แต่นางก็ยังหน้าด้านตามเขามาถึงสำนักไท่ไป๋ เมื่อครู่นางคงได้ยินว่ามู่หรงซื่อจื่อต้องการเข้าเรียนในสาขาพลังลมปราณ นางก็เลยยอมเสี่ยงชีวิตสมัครเข้าเรียนสาขานั้นบ้าง”
“จริงหรือ” หนานกงเลี่ยเม้มริมฝีปากบางของตนเข้าหากัน และหันไปมองชายที่อยู่ข้างตัว น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่ “ฟังดูแล้ว ช่างเป็นความรักที่ลึกซึ้งเนิ่นนานเสียจริง”
มือที่ถือถ้วยชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป น้ำชาที่อยู่ในถ้วยกระเพื่อมเป็นวง…
ห่างออกไป มู่หรงฉางเฟิงผู้ตกเป็นเป้าในบทสนทนาของพวกเขากำลังแนะนำเฮ่อเหลียวเจียวเอ๋อร์ให้บรรดาอาจารย์ได้รู้จัก แต่เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลจากท่านอาจารย์ทั้งหลายที่มองมายังตนเองในเวลานี้ เขาก็พลันรู้สึกอับอายขึ้นมา
เมื่อเห็นดังนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงกะพริบตาคู่สวยที่คลอไปด้วยน้ำตาของตน “ซื่อจื่อ อย่าตำหนิท่านพี่เลยเจ้าค่ะ นางไม่มีพลังปราณ และคงกระวนกระวายใจด้วย ฉะนั้น นางจึงคิดกลยุทธ์เช่นนี้ขึ้นมา ข้าเกรงว่านางคงแค่อยากจะใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“คนไร้ค่าก็ยังเป็นคนไร้ค่าอยู่วันยังค่ำ” มู่หรงฉางเฟิงเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ ราวกับว่าเขากำลังพูดเรื่องจริงอยู่
แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าท่านปรมาจารย์ที่นั่งอยู่ด้านบนกำลังขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรุนแรง เขากำลังพยายามข่มโทสะของตัวเองเอาไว้สุดชีวิต…
คนไร้ค่าหรือ
เจ้าเด็กมีตาหามีแววไม่พวกนี้กล้ามาเรียกลูกศิษย์ของเขาว่าคนไร้ค่า!
ถ้านางเป็นคนไร้ค่า เช่นนั้นพวกเจ้าก็เป็นแค่ฝุ่นผงที่เทียบกับคนไร้ค่าเช่นนางไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ท่านปรมาจารย์ขอรับ เด็กคนนี้คือคนที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง ลูกศิษย์คนแรกของข้าเอง ฉางเฟิง มาทางนี้สิ รีบมาเคารพท่านปรมาจารย์”
ภายในใจนั้นมู่หรงฉางเฟิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาตั้งท่าจะก้าวเข้าไปเพื่อทำความเคารพอีกฝ่าย
แต่ท่านปรมาจารย์กลับตัดบทเขาอย่างเย็นชา “ข้าคงไม่อาจรับน้ำใจของมู่หรงซื่อจื่อเอาไว้ได้ สาเหตุที่ปีนั้นตระกูลเฮ่อเหลียนต้องล่มสลายก็เป็นเพราะคำพูดสรรเสริญเยินยอเช่นนี้ พวกเจ้าทำเป็นลืมว่าข้าอยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน”
ทุกคนตกใจจนตัวแข็ง และไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดท่านปรมาจารย์ที่เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีอยู่ กลับหัวเสียขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ทั้งยังกล่าวถึงตระกูลเฮ่อเหลียนอีกด้วย
รอยยิ้มของมู่หรงฉางเฟิงแข็งค้าง ชายหนุ่มเป็นถึงซื่อจื่อจากจวนอ๋องที่มีแต่คนนับหน้าถือตา มีหรือที่เขาจะเคยถูกใครปฏิบัติเช่นนี้ แต่เขาก็รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงราชครูที่ได้รับการเคารพยกย่องจากทุกคน
อารมณ์ของชายชราผู้นี้ยากจะคาดเดายิ่งกว่าอาจารย์ของเขาเสียอีก การเอาใจเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อยากจะช่วยมู่หรงฉางเฟิงให้ออกจากสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ นางจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะว่า “ท่านปรมาจารย์กล่าวถึงตระกูลเฮ่อเหลียน หรือท่านจะรู้จักท่านพ่อของข้าหรือเจ้าคะ”
“ข้าต้องรู้จักสิ” ปรมาจารย์ลูบเคราสีขาวของตนด้วยท่าทางสบายๆ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ้ม แล้วคิดจะใช้เรื่องนี้เข้าหาเขา
แต่แล้วนางก็ได้ยินปรมาจารย์เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เขาแต่งเข้าตระกูลใหญ่ แต่ก็ยังไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี แล้วก็ยังพาคนอื่นเข้ามาในตระกูล เป็นตัวอย่างที่เหมาะสมของคนที่ตอบแทนความใจดีของผู้อื่นด้วยเจตนาร้าย และเป็นตัวอย่างของคนที่อกตัญญู แล้วข้าจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร”
หลังพูดจบ ปรมาจารย์ก็ลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินจากไป
แม้ว่าลูกศิษย์ของเขาจะไม่เคยพูดอะไรเรื่องนี้ แต่เขาผู้เป็นปรมาจารย์ก็ยังไม่ได้แก่จนหลงลืมเรื่องนี้ไป
เห็นได้ชัดว่าพวกนางต่างก็เป็นลูกสาวของตระกูลเฮ่อเหลียน แต่ชีวิตของเด็กคนหนึ่งนั้นมีทั้งคนที่คอยเอาอกเอาใจ และความสุขสบาย ในขณะที่อีกคนกลับต้องหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยตัวเอง
เฮ่อเหลียนกวงเย่าเป็นคนเช่นไร ก็สามารถอธิบายได้ชัดเจนจากเรื่องนี้!
“แต่ก็ต้องขอบใจความโหดร้ายของพวกเขา มิฉะนั้นข้าก็คงไม่ได้พบศิษย์ของตัวเองเร็วถึงเพียงนี้ ส่วนเจ้ามู่หรงฉางเฟิงนั่น ศิษย์ข้าคงมองเห็นธาตุแท้ของมันชัดเจนแล้ว และรู้ว่าผู้ชายประเภทนี้ไม่ได้มีอะไรดีเลยสักอย่าง!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ปรมาจารย์ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ศิษย์ของเขาเป็นถึงอัจฉริยะที่สวรรค์ประทานมาให้ เด็กหนุ่มที่เหมาะสมคู่ควรกับนางจะต้องเป็นคนที่มีความพิเศษไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้านี้
“จริงสิ! ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้บอกว่าอยากใช้โอกาสนี้เลือกชายาให้กับเจ้าหนูตัวเหม็นที่เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในวังปีศาจมิใช่รึ ข้าบอกให้ศิษย์ไปลองดูดีไหมนะ…” ปรมาจารย์บ่นกับตัวเองเสียงดัง พลางแอบคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าหนูตัวเหม็นนั่นก็น่าจะเข้าสำนักมาได้สองวันแล้วมิใช่หรือ แต่ทำไมเขาถึงยังไม่เห็นเจ้าเด็กนั่นที่หอชั้นเลิศเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาไม่ได้มาเข้าสำนัก
ไม่ เป็นไปไม่ได้! ถึงเจ้าหนูตัวเหม็นนั่นจะเห็นทุกคนต่ำกว่าตัวเอง แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเชื่อฟังคำพูดของฮ่องเต้อยู่บ้าง
ยิ่งกว่านั้น ตอนที่ถูกบอกให้กลับมาเข้าเรียนที่สำนักแห่งนี้อีกครั้ง เจ้าตัวก็ยังรับปากด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ กับใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ว่า “ก็แค่เปลี่ยนที่นอน” ใช่ ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะไม่มาที่นี่แน่
ถ้าอย่างนั้นแต่ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนกัน…
“ไม่มีผลสอบหรือ” ม้วนกระดาษในมือของท่านอาจารย์ว่างเปล่า เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาหรี่ลง “เจ้าไม่เคยเข้ารับการทดสอบมาก่อนเลยหรือ”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างขอไปที แสงแรกและเงาลอดผ่านกิ่งไม้ลงมากระทบกับใบหน้าของเขา ปลายคางอันแหลมคมขับเน้นให้ใบหน้าของเขายิ่งหล่อเหลาคมคายขึ้นกว่าเดิม
ผู้เป็นอาจารย์ไม่เข้าใจบรรดาศิษย์ใหม่จากหอสามัญเหล่านี้อย่างยิ่ง เขาโบกมือบอกให้อีกฝ่ายออกไป “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องไปรับการทดสอบที่ลูกแก้วก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะเลือกวิชาเอกอะไรทีหลังก็แล้วกัน”
“ไม่จำเป็น” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย็นชา ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดปรากฏอยู่ในนั้น “ข้าเลือกเอกพลังลมปราณ”
คนจากหอสามัญต้องการเลือกสาขาพลังลมปราณเป็นวิชาเอกอีกคนแล้วหรือ!
ท่านอาจารย์ที่หัวใจจะวายตายอยู่ร่อมร่อถึงกับกำพู่กันในมือแน่น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ขณะคำรามเสียงต่ำว่า “คนต่อไป!”
คนถัดมาคือหนานกงเลี่ย
“ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก เจ้าเองก็ต้องการเลือกเอกพลังลมปราณเหมือนกันใช่ไหม”
หนานกงเลี่ยโบกนิ้วของตนไปมาอย่างรวดเร็ว
ท่านอาจารย์คิดว่าในที่สุดก็เจอคนที่พูดจารู้เรื่องเสียที เขากำลังจะทำเครื่องหมายลงในช่องวิชาปรุงยา
แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเจ้าชู้ของใครบางคนดังขึ้น “ข้าอยากเลือกวิชาโหราศาสตร์ ว่ากันว่าสาขานั้นมีสาวๆ อยู่ไม่น้อยทีเดียว”
ท่านอาจารย์ “….”
นี่เจ้ามาเรียน หรือว่ามาวิ่งตามผู้หญิงกัน!
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่าหอพักของคนที่มีคุณสมบัติต่ำที่สุดแห่งนี้ จะมีคนกล้าเพ้อฝันไปไกล และประกาศตัวว่าจะเข้าเรียนในสาขาวิชาพลังปราณถึงสองคน และยังมีอีกหนึ่งคนที่ประหลาดยิ่งกว่า คนคนนั้นเลือกเอกวิชาโหราศาสตร์
ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าภายในจักรวรรดิจ้านหลงแห่งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ กับผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้นั้นแทบจะไม่ต่างกัน พวกเขาล้วนแต่ต้องมีความสามารถอยู่ในระดับสูง ไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถจะเป็นได้ ผู้ชายคนนี้แน่ใจหรือว่าเขาจะสามารถทำได้
หรือที่เขาเลือกวิชาโหราศาสตร์นี่ก็เพียงเพราะอยากทำเป็นเท่ พวกคนจากหอพักสามัญพวกนี้ช่างเหลือเกินจริงๆ!
“ศิษย์ใหม่ปีนี้คงมีทั้งคนเก่งและไม่เก่งคละกันไป” ท่านอาจารย์ส่ายหน้าไปมาขณะเขียนบันทึก ใช่ว่าเขามีอคติกับศิษย์ใหม่จากหอพักสามัญ แต่เพราะว่าพื้นฐานของบรรดาคนพวกนั้นล้วนแต่แย่ยิ่งนัก เมื่อถึงเวลาทดสอบ พวกเขาคงไม่ได้รับโอกาสให้ถอยกลับแม้แต่ก้าวเดียว
อาจารย์คนอื่นๆ ทำปากยื่นด้วยความรังเกียจ “บางทีนี่อาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างหอสามัญกับหอชั้นเลิศก็เป็นได้ บางคนก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ [1] ดังนั้นพวกเขาจึงทำตัวจองหองอวดดีเกินไป ไม่เหมือนกับที่หอชั้นเลิศ เจ้าต้องนึกไม่ออกแน่ว่าปราณของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นั้นสูงส่งเพียงใด นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับสำนักเราจริงๆ หึๆ ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมช่วงนี้ท่านเจ้าสำนักถึงดูอารมณ์ดีนัก”
ไม่เหมือนกับเจ้าสามคนนั้นจากหอสามัญที่ทำตัวโอหังอวดดีเหลือเกิน บางทีพวกเราอาจไม่ต้องรอให้ถึงหนึ่งเดือนหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ผลแล้ว…
พวกเขาจะต้องถูกคัดออกก่อนที่จะได้เข้ารับการทดสอบแน่ ผลลัพธ์นั้นก็เห็นชัดเจนอยู่แล้ว สามคนนั้นไปได้ไม่ไกลหรอก…
……………………………………………………………………………………………….
[1] ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เป็นสำนวน หมายถึง ไม่รู้จักเจียมตัว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง