เมื่อจางซื่อเจี๋ยเห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่นาน เขาก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “ฮ่าๆ พวกเจ้าดูสิ นังคนไร้ค่ากลัวข้าถึงเพียงนี้เชียว ช่างน่าสงสารจริงๆ …”
ขณะที่จางซื่อเจี๋ยกล่าวเช่นนั้น เขาก็นึกอยากคว้าเส้นผมของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วกระชากมันลงมาแรงๆ!
แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะมีโอกาสได้สัมผัสกับเส้นผมของนาง ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเสียก่อน จากนั้นมือและข้อมือของเขาก็บิดเบี้ยวไปในทิศทางที่ไม่อาจจินตนาการได้ กระดูกและข้อต่อก็อยู่ผิดที่ผิดทาง มีเพียงเสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ!
มือข้างขวาที่จางซื่อเจี๋ยภาคภูมิใจนักหนาหักเป็นสองท่อน!
ไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของนางได้อย่างชัดเจน แต่พอพวกเขารู้ตัวอีกที เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คว้าข้อมือของจางซื่อเจี๋ยเอาไว้แล้ว ริมฝีปากของนางยังคงเหยียดยิ้ม เหมือนกับราชินีที่เพิ่งเดินออกมาจากม่านควันกลางสมรภูมิรบอันดุเดือด
ทุกคนตกตะลึง เสียงจากรอบข้างเงียบลงเมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ บรรยากาศดูเหมือนจะหยุดนิ่งลงในทันใด
จางซื่อเจี๋ยทำได้เพียงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ และมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่เชื่อสายตา ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงจนเหงื่อเย็นๆ ชุ่มโชกไปทั่วหน้า เขายกมือซ้ายขึ้นหมายจะตอบโต้…
กร๊อบ กร๊อบ!
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตามองเขาด้วยรอยยิ้ม “อุ้งตีนของสุนัขที่ไม่เชื่อฟังพรรค์นี้ ตัดทิ้งไปเสียดีกว่า”
“อ้าก!” จางซื่อเจี๋ยร้องออกมาอย่างทรมาน ความเจ็บปวดนี้เกิดจากการที่มีกระดูกหักเข้าไปทิ่มกับเส้นเลือด และกล้ามเนื้อของเขา สีสันบนใบหน้าราวกับถูกดูดหายไป บัดนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวเสียยิ่งกว่าขาว ชายหนุ่มไม่อาจรักษาภาพลักษณ์ของตนเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาล้มลงไปนอนกับพื้น แล้วตะโกนว่า “พวกเจ้ามัวยืนเฉยกันอยู่ทำไม! รีบมาช่วยข้าสิ!”
คราวนี้บรรดาเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังของจางซื่อเจี๋ยจึงเพิ่งจะมีปฏิกิริยา พวกเขาวิ่งเข้ามา พร้อมวาดขาออกในท่าพร้อมกระโดดถีบ!
พวกเขามีกันประมาณสี่ห้าคน แต่ละคนล้วนมีพลังลมปราณแกร่งกล้า และสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรง ขายาวๆ ของพวกเขาแหวกผ่านอากาศ หากเป็นคนทั่วไปคงไม่สามารถรับมือกับพวกเขาได้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนทั่วไป นางเป็นมีชื่อเสียงเป็นถึงราชินีนักรบที่มีฝีมือในการต่อสู้ไม่เป็นสองรองใครไม่ว่าจะเป็นคนจากฝ่ายธรรมะ หรืออธรรม ก็ไม่มีใครกล้าคิดที่จะสู้กับนางซึ่งๆ หน้า!
เมื่อเห็นขาที่แหวกผ่านอากาศเข้ามา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกยิ้ม ร่างของนางดูคล้ายมังกรที่โฉบไปซ้ายทีขวาทีท่ามกลางผู้คนมากมาย ในเวลาเดียวกันนางก็คว้าข้อมือของหนึ่งในนั้นแล้วกระตุกแรงๆ หนึ่งที…
กร๊อบ กร๊อบ!
ในระหว่างที่เสียงกระดูกหักดังขึ้น ขาข้างหนึ่งของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เหยียบลงที่โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง แล้วพลิกร่างของตนกลับมาอย่างรวดเร็ว เส้นผมยาวสลวยของนางเริงระบำอยู่ในอากาศ นางยกขาขึ้นสูง แล้วทันใดนั้นก็หวดขาของตนลงบนขาที่พุ่งเข้ามาทันที!
ถ้าพูดถึงความโหดเหี้ยมนั้น จะยังมีผู้ใดที่โหดเหี้ยมไปกว่าราชินีนักรบผู้นี้อีกหรือ!
“ยังคิดจะสู้อยู่ไหม” นางหัวเราะอย่างเย็นชา แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่เบื้องหลัง มือข้างหนึ่งคว้าด้านหลังต้นคอของหนึ่งในนั้นเอาไว้ ขณะที่เท้าอีกข้างก็เหยียบลงบนแผ่นหลังของจางซื่อเจี๋ย ทั้งร่างของนางแผ่รัศมีเจิดจ้าออกมาจนแสบตา
เด็กหนุ่มที่ถูกอัดจนหมดสภาพนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น คนที่เหลือต่างพากันก้าวถอยหลังไป พวกเขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความตื่นตระหนก กลัวว่านางจะเปิดฉากลงมืออีกครั้ง ในที่สุดกลุ่มคนที่เพิ่งจะโดนอัดมาหยกๆ ก็ลุกขึ้นแล้วพากันลนลานหนีออกจากห้องไป พวกเขาวิ่งหนีหางจุกตูด พร้อมกับตะโกนขู่ว่า “เจ้า… ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ศิษย์ใหม่คนอื่นๆ ที่อยู่ในโถงห้องเรียนมองสภาพของพวกเขา แล้วระเบิดหัวเราะออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางหยิบตำราขึ้นมาจากพื้น ปัดฝุ่นออก แล้ววางมันลงบนโต๊ะเตี้ย จากนั้นจึงนอนเอาหน้าแนบโต๊ะ แล้วหลับตานอนต่อ
ยังพอมีเวลาก่อนที่อาจารย์จะมา แต่ไม่ทันไรบรรดาศิษย์จากหอพักสามัญก็ก่อเรื่องขึ้นขนาดนี้เสียแล้ว
จางซื่อเจี๋ยจับข้อมือของตน แล้วสบถอย่างหยาบคายว่า “เวรเอ๊ย นังคนไร้ค่านั่น!”
“พี่เจี๋ย เราอย่าไปหาเรื่องนางอีกดีกว่า” เด็กหนุ่มคนหนึ่งแนะนำ “สำนักไท่ไป๋ไม่เหมือนกับสำนักอื่น หากพวกเราก่อเรื่อง เราจะถูกไล่ออกจากสำนักได้นะขอรับ”
จางซื่อเจี๋ยชักมีน้ำโห “เจ้าจะบอกให้ข้าอดทนกับเรื่องนี้หรือ”
“ก็เห็นกันอยู่ว่าท่านเอาชนะนางไม่ได้…” เด็กหนุ่มหลายคนพึมพำเสียงเบา พวกเขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ช่วยชายหนุ่มไว้
จางซื่อเจี๋ยเองก็รู้ตัวว่าวิธีการพูดของตนนั้นฟังดูก้าวร้าว เขาจึงลดเสียงลง แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าจะกลัวอะไร ข้าคนนี้มีคฤหาสน์ผู้พิทักษ์หนุนหลังอยู่เชียวนะ”
“แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนั้นก็เป็นคนของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์มิใช่หรือขอรับ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
จางซื่อเจี๋ยมองไปทางซ้ายทีขวาที แล้วลดเสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน “หึๆ จะนับว่านางเป็นคนของฝั่งท่านแม่ทัพได้อย่างไรกัน ทำไมเจ้าไม่ลองไปถามชาวบ้านดูล่ะว่าตอนนี้ใครกันที่เป็นประมุขของตระกูล นังคนไร้ค่าที่กล้าดีมาเรียนในสำนักไท่ไป๋แห่งนี้ก็เหมือนกับมารนหาที่ตายนั่นล่ะ!”
“พี่เจี๋ยหมายความว่ามีคนอยากให้นาง…”
จางซื่อเจี๋ยพูดต่อ “พวกเจ้าไม่ต้องเดาหรอก ทันทีที่มือของข้าหายดี และเรื่องนี้ได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะได้ประโยชน์ไปด้วยแน่นอน!”
“ขอรับ!” ตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘คฤหาสน์ผู้พิทักษ์’ เมื่อครู่ ดวงตาของบรรดาเด็กหนุ่มก็เป็นประกายแล้ว พอตอนนี้มาได้ยินว่าตัวเองจะพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย พวกเขาต่างก็รีบช่วยกันรักษาบาดแผลของจางซื่อเจี๋ยทันที “จะว่าไปเฮ่อเหลียนเวยเวยผู้นี้ประหลาดนัก นางไม่มีพลังปราณเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทำไมถึงมีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้ แม้แต่พี่เจี๋ยก็ดูจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของจางซื่อเจี๋ยก็บึ้งตึง “เป็นเพราะวันนี้ข้าอาการไม่ค่อยดีต่างหาก ในไม่ช้าข้าจะไปเอาคืนนางแน่”
ราวกับระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ เขาเตะก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าออกไปเต็มแรง!
จางซื่อเจี๋ยยังคงบ่นออกมาสารพัด แต่ทันใดนั้นเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ต่างก็พร้อมใจกันทำหน้าเหมือนเห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมากเข้า ใบหน้าอันหวาดกลัวและบิดเบี้ยวของพวกเขาล้วนน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง ปากของพวกเข้าอ้ากว้าง ก่อนจะพูดเสียงตะกุกตะกัก “พี่ พี่เจี๋ย”
“อะไรอีกล่ะ”
จางซื่อเจี๋ยมองอีกฝ่ายอย่างดุร้าย แล้วจึงเห็นว่าใต้ร่มไม้ใกล้ๆ นั้นมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏอยู่
เงานั้นเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นจากนิทรา กลุ่มผมสีดำงดงามยังคงยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบไม้หลายใบหล่นอยู่บนเสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์นั้น ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างคนคนนั้นกำลังโยนหินในมือเล่นด้วยท่วงท่าสบายๆ ที่มุมปากมีรอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏอยู่
แม้ว่าจางซื่อเจี๋ยจะเกิดที่เมืองซานตง แต่เขาก็ใช้เวลาอยู่ที่เมืองหลวงมากกว่าบ้านเกิดของตน เวลาส่วนมากของเขาใช้ไปกับการคลุกคลีอยู่ในแวดวงสังคมคนเมือง และมักจะคอยเดินตามหลังมู่หรงฉางเฟิง เมื่อได้รับการสนับสนุนจากนางซู จะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็รู้จักมักคุ้นกับบรรดาคุณชายผู้ทรงอิทธิพลจำนวนไม่น้อยในเมืองหลวงเป็นอย่างดี แต่เขากลับไม่เคยเห็นสองคนนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะสนใจ แล้วมองอีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่พอใจ “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนโมโหหรือ หึ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชายที่เหมือนกับเงาคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองจางซื่อเจี๋ย เพียงแค่มองครั้งเดียว ก็ทำให้จางซื่อเจี๋ยไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับตัว
สายตาเช่นนั้นมันอะไรกัน ช่างโหดเหี้ยม และเย็นชาเสียเหลือเกิน ราวกับยมทูตจากแดนนรกที่ขึ้นมาจับวิญญาณร้ายที่หนีไปอย่างไรอย่างนั้น สายตาของเขาทำให้หัวใจของคนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านด้วยความขลาดกลัว
ไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของเขาอย่างชัดเจน พวกเขาเห็นเพียงแค่แสงสีขาวเส้นหนึ่งเท่านั้น แต่พอรู้ตัว เงาของคนผู้นั้นก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าจางซื่อเจี๋ยแล้ว เส้นผมที่หน้าผากของเขาไหวน้อยๆ ท่าทางการเคลื่อนไหวดูเป็นอิสระ และดุร้าย ร่างกายของเขาดูน่าหลงใหลลึกเข้าไปในดวงตาของเขาดูเหมือนเสือดาวโตเต็มวัยที่สามารถซ่อนอารมณ์ของตนเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนดูแทบจะไร้ความรู้สึก
จางซื่อเจี๋ยยกมือขึ้นป้องกันตัวโดยไม่ต้องคิด แต่ก็พบว่าระดับกำลังภายในของคู่ต่อสู้นั้นเหนือกว่าเขามาก ร่างของเขาถูกกระแทกไปด้านหลัง ก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้นทันที!
กร๊อบ!
เสียงกระดูกหักดังลั่นทันทีที่ขาข้างหนึ่งของเงานั้นเหยียบเข้าที่น่องของจางซื่อเจี๋ย จากนั้นเขาก็ถอยกลับไปด้วยท่าทีเยือกเย็นราวกับสายลมอันสงบนิ่ง ทั้งยังทำเหมือนว่าคนที่อยู่บนพื้นนั้นไม่ได้มีความสำคัญขนาดที่เขาต้องเปลืองแรงด้วยเลย
แผ่นหลังของเงานั้นดูเหมือนกับเทพเจ้าโบราณทั้งยังเหมือนหิมะอันผุดผ่องเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ แต่สว่างเจิดจ้าจนกลืนกินไปทั้งท้องฟ้าและดวงตะวัน…