“คุณหนู…” แม่นมเหมยมองดูท่าทางหงุดหงิดใจของอีกฝ่าย แล้วถอนหายใจยาว “บ่าวคนนี้รู้ดีว่าคุณหนูไม่อยากเข้าเรียนในสำนักนี้ ตอนที่สำนักไท่ไป๋เปิดรับสมัคร คุณหนูก็เป็นคนแรกที่ผ่านการทดสอบ แต่หลังจากการทดสอบครั้งนั้น… มันก็ผ่านมาแปดปีแล้ว และทุกๆ ปีที่คุณหนูไปที่นั่น ก็จะถูกหัวเราะเยาะ แต่คราวนี้คุณหนูไม่อาจชักช้าได้อีกแล้วเจ้าค่ะ หากยังรีรอ คุณหนูจะไม่สามารถไปที่นั่นได้อีกแล้วนะเจ้าคะ…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “แม่นมเหมยไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ ข้ารู้ว่าจะต้องทำเช่นไร”
ในความทรงจำของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้น นางกลัวการไปสำนักไท่ไป๋เป็นที่สุด ไม่ใช่เพียงเพราะกลัวการถูกหัวเราะเยาะเท่านั้น แต่เพราะตอนนางอายุเจ็ดขวบ และได้เข้ามาเรียนในสำนักแห่งนี้ นางก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงทันที และยังได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะจากผู้คนทั่วทั้งเมืองอีกด้วย
นางกังวลว่าจะไม่สามารถรักษาชื่อเสียงที่เคยทำให้ท่านแม่ภาคภูมิใจได้ การสูญเสียพลังลมปราณทั้งหมดไปนั้น ทำให้นางไม่อยากไปที่สำนักนั้นอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง เดี๋ยวก่อน นั่นมันอะไรกัน
หมายเหตุสำหรับศิษย์ใหม่: ค่าเล่าเรียนจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน รวมระยะเวลาสามปี และค่าเล่าเรียน ต้องชำระภายในวันแรกของการเข้าเรียนเช่นนั้นหรือ
ยังมีค่าเล่าเรียนด้วยหรือ
หนึ่งหมื่นตำลึงเช่นนั้นรึ
นางไม่มีแม้แต่หนึ่งพันตำลึงด้วยซ้ำ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะไม้อย่างเฉื่อยชา นี่เป็นท่าทางปกติที่นางมักจะทำตอนที่กำลังใช้ความคิด
คนแซ่ซูคนนั้นเฉลียวฉลาดในเรื่องแบบนี้ นางไม่เคยทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องอดอาหารและขาดแคลนเสื้อผ้าเลย แล้วยังสั่งให้บ่าวรับใช้ส่งผ้าไหมที่ดีที่สุดมาให้นางอีกด้วย แต่นางกลับไม่เคยให้เงินเฮ่อเหลียนเวยเวยเลย
ในสายตาของคนภายนอก แม่เลี้ยงของนางปฏิบัติต่อนางอย่างใจดีมีเมตตา แต่มันก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจดีว่าหากนางไม่ได้เข้าเรียนในสำนักไท่ไป๋ครั้งนี้ ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า
เพราะมีเพียงตัวนางเท่านั้นที่จะสามารถทวงคืนชื่อเสียงและความภาคภูมิใจที่เคยเป็นของนางกลับคืนมา
แม่นมเหมยเห็นค่าเข้าเรียนที่มีราคาสูงถึงหนึ่งหมื่นตำลึง นางก็ลังเลอยู่นาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดว่า “คุณหนูไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเจ้าค่ะ บ่าวคนนี้จะไปหานายท่านที่จวนหลักเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็น” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางจดหมายลงบนโต๊ะส่งๆ “แม่นมเหมย จำเอาไว้ว่าทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น อย่าไปขอความช่วยเหลือจากคนชั่วช้านั่น เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ไม่ต้องการ”
ดวงตาของแม่นมเหมยสั่นไหว ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ บ่าวคนนี้จะไม่ไปที่นั่นอีกแล้ว”
นายหญิง ท่านเห็นหรือไม่เจ้าคะ
คุณหนู นางเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นี่คือสายเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียน ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด พวกเขารู้ดีว่าควรจะรักหรือเกลียดใคร
“แต่ค่าเล่าเรียนนี้…” แม่นมเหมยยังคงกังวล
จริงๆ แล้ว ลูกศิษย์ทุกคนที่เข้าเรียนในสำนักไท่ไป๋นั้น ล้วนเป็นเหล่าทายาทของตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจมากอยู่แล้ว ดังนั้นเงินจำนวนนี้จึงเป็นเพียงเศษเงินสำหรับพวกเขา
แต่สำหรับแม่นมเหมยในตอนนี้นั้น อย่าว่าแต่เงินจำนวนมากขนาดนี้เลย แม้แต่จะซื้อเครื่องประทินโฉมก็ยังมีเงินไม่เพียงพอด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้นยืน ดวงตาสีดำปรากฏแววซุกซน “ข้ามีวิธีการของข้า”
แม่นมเหมยอยากจะถามอีกฝ่ายว่าจะทำเช่นไร แต่หลังจากเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว นางก็กลืนคำพูดลงคอ แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่นางก็ยังหวังว่าคุณหนูจะมีแผนการบางอย่างจริงๆ…
……
ช่วงเที่ยง ณ จักรวรรดิจ้านหลง
ถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถม้า แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินทอดน่องไปตามทางที่ปูด้วยหินอย่างสบายใจ ฟังเสียงพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายของตามท้องถนน ก่อนจะตระหนักถึงความจริงที่ว่าตอนนี้ ตนเองได้มาอยู่ในยุคโบราณที่แตกต่างจากโลกเดิมของนางแล้วจริงๆ
“นี่ แม่นาง เจ้าเดินไปเดินมาตั้งนานแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร” หยวนหมิงที่อยู่ในหนังสือโบราณเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งเช่นเคย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินเขา
หยวนหมิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รอเขาฟื้นสภาพร่างกายขึ้นมาก่อนเถอะ สิ่งแรกที่เขาจะทำคือสอนบทเรียนให้ผู้หญิงคนนี้ นางทำตัวยโสโอหังเกินไปแล้ว ไม่น่ารักเอาเสียเลย
“นี่ เจ้าได้ยินหรือไม่ หอเฟิ่งหวงกำลังจัดงานชุมนุมเจ้ายุทธ์(เป็นชื่อของงานแข่งขัน) ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึง โอกาสแบบนี้มีเพียงปีละครั้งเท่านั้น และข้าก็ยังไม่เคยเห็นเจ้ายุทธ์เลยสักครั้ง”
เงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงเช่นนั้นหรือ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยุดเดิน ดวงตาของนางหรี่ลงและริมฝีปากบางก็โค้งเป็นรอยยิ้ม
ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน [1] ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลยจริงๆ
นางต้องการใช้เงิน ดังนั้น ก็ควรจะไปดูว่า ‘งานชุมนุม’ นี้ สามารถทำเงินได้หรือไม่
“ข้าไม่สนใจพวกเจ้ายุทธ์หรอก ส่วนใหญ่ก็มักจะแก่มากแล้ว ดังนั้น ข้าจะไม่เสียเวลาด้วยหรอก พวกเขาไม่ใช่อาหารตาที่ดีนัก” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะกับตัวเองขณะที่เดินต่อไป
เมื่อหยวนหมิงได้ยิน เขาก็แทบจะกระอักเลือดออกมา
ผู้คนทั่วไปหลังจากที่ได้ยินคำว่า ‘เจ้ายุทธ์’ ทุกคนต่างก็คิดเพียงว่าจะได้รับอาวุธที่เหมาะสมกับตนเองหรือไม่เท่านั้น
แต่นางกลับสนใจเพียงแค่ว่าคนหน้าตาดีหรือไม่…
“แม่นาง เจ้าช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้หรือไม่” หากนางทำตัวเรื่อยเฉื่อยเช่นนี้ต่อไป แล้วเมื่อไหร่เขาจะฟื้นคืนชีพได้เล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบกลับอย่างใสซื่อ “ข้าจริงจังมากนะ”
“เจ้าจริงจังตรงไหนกัน” หยวนหมิงโต้กลับอย่างอ่อนแรง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “หาค่าเล่าเรียนอย่างจริงจังน่ะสิ”
ค่าเล่าเรียนรึ สิ่งนั้นคืออะไรกัน เจ้าหมายความว่ามันสำคัญกว่าการได้รับอาวุธใหม่เช่นนั้นหรือ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่ หูของหยวนหมิงตั้งชันขณะที่จ้องนางเขม็ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเลี้ยวไปตามทางเดินของสะพานที่ทอดยาวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพบกับหอเฟิ่งหวงในตำนาน
ฝูงชนมีจำนวนมากกว่าที่นางคาดคิดไว้ กล่าวได้ว่าที่นี่กลายเป็นทะเลผู้คนไปแล้วก็ว่าได้
ความทรงจำในร่างนี้ยังบอกข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘เจ้ายุทธ์’ ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วย
ในจักรวรรดิจ้านหลง มีเจ้ายุทธ์อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้ว่าหลายๆ คนจะฝึกพลังลมปราณอยู่ในระดับสูงแล้วก็ตาม แต่หลายคนก็ไม่อาจทำความเข้าใจหลักการถอดแยกและประกอบรวมได้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อาจสร้างอาวุธขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้เอง การจะมีอาวุธที่เหมาะสมกับผู้ฝึกปราณนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
ตั้งแต่สมัยก่อน วัตถุต่างๆ จะถูกประเมินราคาจากความหายากของมัน เป็นตรรกะง่ายๆ แบบเดียวกับอุปสงค์และอุปทาน
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่มีผู้คนมาที่นี่เพื่อชมการคัดเลือก ‘เจ้ายุทธ์’ จำนวนมากขนาดนี้…
“พวกเจ้าดูสิว่านั่นใคร”
“เฮ่อเหลียนเวยเวยหรือ ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“อะไรกัน แม้แต่หญิงไร้ค่าคนนั้นก็ยังมาที่นี่ด้วยหรือ ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่กัน ข้าเห็นคะแนนของนางแล้ว แย่ที่สุดในสำนักเลย คราวนี้อาจารย์ใหญ่อาจจะตัดสิทธิ์นางออกจากการเป็นลูกศิษย์ของสำนักเลยด้วยซ้ำ แต่นางยังกล้าเดินไปเดินมาอย่างสบายใจเช่นนี้อีกหรือ ช่างเป็นคนเปิดกว้างเสียจริง”
“ไม่ใช่คนเปิดกว้างหรอก ข้าคิดว่านางแค่หน้าด้านหน้าทนก็เท่านั้น คู่หมั้นของนางยกเลิกงานแต่งงาน ก็ยังมีหน้าออกมาเดินเล่นข้างนอกอีก แล้วนางจะสู้หน้าใครได้เล่า”
พวกนางพูดคุยกันเสียงดัง พร้อมกับมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดว่าจะได้พบกับ ‘สหายร่วมสำนัก’ ของนางที่นี่ ริมฝีปากบางของนางยกขึ้น ทำให้อุณหภูมิรอบข้างลดลงเล็กน้อย
หยวนหมิงถูมือด้วยความตื่นเต้น “จะเริ่มต่อสู้กันหรือ ข้าไม่ได้ลิ้มรสเลือดสดๆ มานานแล้ว”
“หยวนหมิง ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งว่าเรามาที่นี่เพื่อหาเงิน ไม่ใช่เพื่อต่อสู้” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดกับอีกฝ่ายอย่างช้าๆ พร้อมกับหาวอย่างเกียจคร้าน ราวกับว่ามองไม่เห็นคนกลุ่มนี้เลย
ในเมื่อพวกเขาคือ ‘สหายร่วมสำนัก’ แล้วทำไมนางจะต้องกลัวว่าตนเองจะไม่มีโอกาสกลับไปแก้แค้นพวกเขาด้วยเล่า ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย
หยวนหมิงยิ้ม “เจ้าพูดถูก”
ยังมีเวลาอีกมาก หึหึ…
ในตอนนั้นเอง หญิงชราคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหอเฟิ่งหวง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง แสดงให้เห็นว่าการทดสอบนี้ยากมากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม หอเฟิ่งหวงนั้นก็มีจริยธรรมใช้ได้ เนื่องจากขั้นตอนการทดสอบและผลการทดสอบจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะสอบผ่านหรือไม่ ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้…
“มีใครต้องการจะลงสมัครอีกหรือไม่” ผู้ดูแลมองไปรอบๆ
ฝูงชนต่างมองหน้ากันด้วยความลังเล
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวไปข้างหน้า ด้วยท่าทีที่ดูไม่เย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไป “ข้าเอง”
…………………………………………………………………………………
[1] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา เป็นสำนวนจีน หมายถึง พยายามหาแทบตายไม่เจอ แต่พอเลิกหา กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึง