เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองทันที และเห็นแสงสว่างส่องลงมาที่พื้นเบื้องหน้า แสงนั้นสะท้อนเป็นประกายหลากสี แต่เพราะเจิดจ้าเกินไป จึงทำให้นางมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก สิ่งที่นางพอจะเห็นได้ ก็คือผ้าคลุมผืนหนึ่งที่เหมือนกับร่วงหล่นลงมาจากแสงสีเงินนั้น
ร่างของชายในชุดคลุมสีดำตัดกับแสงสว่าง แผ่รังสีอำมหิตออกมาอย่างรุนแรง เสื้อที่เปิดออกเผยให้เห็นอกกว้างเปลือยเปล่าของเขา ร่างของเขาทำให้เกิดบรรยากาศเย็นยะเยือก
ในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นภายใต้แสงสว่างแล้วถอนหายใจ เขาหัวเราะออกมาดังๆ เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะเห็นโลกอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ความคิดแรกคือ อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์!
ในที่สุด เขาก็หยุดหัวเราะ ก่อนจะหมุนตัวกลับมามองเฮ่อเหลียนเวยเวย มุมปากสีแดงสดของเขาค่อยๆ ยกขึ้นเผยให้เห็นฟันแหลมคมสีขาว จากนั้น เขาก็เอ่ยถาม “เจ้าคือผู้ที่ปลดปล่อยข้าหรือ”
“แน่นอน เห็นอยู่ว่าที่นี่ไม่มีผู้อื่น มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยปิดหนังสือที่ถืออยู่ แล้วนั่งขัดสมาธิพร้อมกับเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ และสง่างาม
ชายคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจพลางเอ่ยถาม “เจ้าไม่หวาดกลัวข้าเลยหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะตอบว่าเป็นเพราะเจ้า ‘หน้าตาดี’ แต่ทันใดนั้น สีหน้าของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าจะมีรอยประทับผสานเข้ากับกระดูกและเส้นเลือดของเขา
ชายคนนั้นหรี่ตาลง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วตัว เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังควบคุมเขาอยู่ จากนั้นจึงร้องออกมาเสียงดัง “บ้าเอ๊ย เจ้าทำอะไรกับร่างกายของข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ นางจะรู้ได้อย่างไร จิตของนางก็เพิ่งถูกย้ายมาอยู่ในร่างนี้เหมือนกัน…
“มันคือสัญญา เจ้าทำสัญญาปีศาจ” ชายผู้นั้นลืมตามองนางราวกับสัตว์ร้ายติดกับดักที่พร้อมจะโจมตีนางทุกเมื่อ ผมสีเงินของเขาพลิ้วไหวไปตามแรงลม
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองอีกฝ่าย แล้วรู้สึกขบขัน เมื่อนางเห็นหูหมาป่าขนสีขาวปุกปุยปรากฏขึ้นบนศีรษะของอีกฝ่าย ดวงตาหงส์ของนางเป็นประกาย หญิงสาวยื่นมือออกไปอย่างลืมตัว…
“บังอาจ เจ้า ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าแตะส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกายของข้า ข้าจะตัดมือของเจ้าทิ้งเสีย” นัยน์ตาสีดำของชายคนนั้นหรี่ลง ใบหน้าของเขาถมึงทึงด้วยความหงุดหงิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจเขา นางคว้าหูหมาป่าทั้งสองข้าง แล้วเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “เป็นของจริงหรือ”
ชายผู้นั้นเงียบ “…”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ฮึ่ม เขาเย้ยหยัน หญิงสาวผู้นี้ไม่เพียงแต่ทำในสิ่งที่เขาห้าม แต่ยังดูหมิ่นร่างกายของเขา อีกทั้งยังตั้งข้อกังขาว่าหูของเขาเป็นของจริงหรือไม่อีกด้วย… เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “รู้สึกดีมากทีเดียว”
ใครถามเจ้าว่ารู้สึกเช่นไร ชายคนนั้นโกรธจนหูทั้งสองข้างของเขากระดิกตามไปด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะยิ้ม “เก่งมากเลย รู้จักวิธีทำตัวให้น่ารักด้วย”
ทำตัวน่ารักบ้าอะไรกัน
ชายผู้นั้นกัดฟันกรอด เขาอุตส่าห์ได้รับอิสรภาพ แต่กลับต้องตกอยู่ในกำมือของมนุษย์อีกครั้ง ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกขังอยู่ในหนังสือเล่มนี้มาหลายปีใช่หรือไม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยถาม เรื่องราวของเขาอย่างช้าๆ
ชายคนนั้นเอ่ยตอบด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง “ห้าร้อยปี มิเช่นนั้น เจ้าคิดว่าจะสามารถทำสัญญากับข้าได้อย่างง่ายดายด้วยความสามารถของเจ้าเองเช่นนั้นหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอยู่หรือไป
ดวงตาของชายผู้นั้นหลุบลง “หากข้าไปได้ ก็คงจะไปแล้ว แต่ในเมื่อทำสัญญาสำเร็จแล้ว ข้าก็จะต้องอยู่เคียงข้างผู้เป็นนาย นอกจากนี้ ข้าก็ไม่อาจขัดขืนผู้เป็นนายตามสัญญาได้ตลอดชีวิต จนกว่าข้าจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของผู้เป็นนายให้เสร็จสิ้น มิเช่นนั้น จิตวิญญาณของข้าก็จะดับสูญ และจะไม่มีทางหลุดพ้นได้ตลอดกาล”
“ถ้าเช่นนั้น… ตอนนี้ข้าก็เป็นนายของเจ้าแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ ลุกขึ้นใช้มือข้างหนึ่งลูบที่เก้าอี้ ในตอนนี้ ท่าทีของนางไม่ได้อ่อนโยนและนุ่มนวลอีกต่อไป ก่อนจะยืดหลังตรง เห็นได้ชัดว่าร่างกายของหญิงสาวผู้นี้ดูผอมบอบบาง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความหยิ่งทะนงอยู่ในตัวคนเดียวกัน
นั่นทำให้ดวงตาของชายผู้นั้นเบิกกว้าง ในที่สุดมุมปากของเขาก็ยิ้มออกมา มนุษย์ผู้นี้ดูน่าสนใจไม่น้อย…
“เจ้าจะตีความเช่นนั้นก็ได้”
ทันใดนั้น ชายคนนั้นก็หัวเราะ ดวงตาของเขาหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ พลังของเขาได้รับความเสียหายอย่างมาก และการได้อยู่กับผู้เป็นนาย ก็จะช่วยให้เขาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ นอกจากนี้… เขายังตั้งตารอที่จะได้ทำให้ผู้หญิงคนนี้สมปรารถนาที่นางต้องการ เขาจะยินดีอย่างมาก ถ้าหากจะต้องฆ่าใครสักคน
ชายผู้นั้นเลียริมฝีปากบางของเขา ท่าทีเช่นนั้นดูราวกับกำลังคิดเรื่องชั่วร้ายอยู่ไม่มีผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยพลิกดูหนังสือโบราณในมือของนางอย่างตั้งใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็บอกข้ามาว่าเจ้าชื่ออะไร”
“แซ่ของข้าคือหยวน และชื่อของข้าคือหมิง” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส และรอให้มนุษย์ผู้นี้มองเขาอย่างตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินชื่อของเขา
แต่ทว่า…
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อนเลย”
“เจ้า” หยวนหมิงจ้องเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างฉุนเฉียว ดวงตาสีดำของเขามืดมน “เจ้ารู้สึกถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินดังนั้นก็มองไปที่กระจกทองแดงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วเห็นว่าผิวหนังดำคล้ำที่มีอยู่แต่เดิมนั้นดูเหมือนจะลอกออก เผยให้เห็นผิวขาวผ่องดั่งหิมะ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก นิ้วของนางค่อยๆ ลูบไล้ไปที่คางของตนเอง ทันใดนั้น หญิงสาวก็หัวเราะออกมา “น่าสนใจ”
“น่าสนใจจริงๆ” หยวนหมิงยิ้มเยาะ “ตอนที่ข้าเพิ่งออกมา ก็ได้ตรวจดูเส้นลมปราณของเจ้า ความจริงแล้ว เจ้าควรจะเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ แต่เส้นลมปราณของเจ้าถูกขัดขวาง และพลังลมปราณถูกกีดกั้น… แม่นาง มีใครบางคนไม่อยากให้เจ้าประสบความสำเร็จ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ดูนิ่งสงบอย่างน่าประหลาด “มีคนมากมายที่ไม่อยากให้ข้าประสบความสำเร็จ แล้วก็มีบางคนที่เป็นเหมือนมดบนกระทะร้อน [1] เรื่องเส้นลมปราณของข้า สามารถแก้ไขได้หรือไม่”
“ข้าไม่เพียงแต่ช่วยเปิดเส้นลมปราณของเจ้าได้เท่านั้น แต่ข้ายังสามารถมอบสิ่งที่พิเศษกว่านั้นให้กับเจ้าได้อีกด้วย ข้าสามารถขจัดพิษทั้งหมดในร่างกายของเจ้าออกไป และเจ้าก็สามารถกลับไปฝึกวิชาได้อีกครั้ง…” สิ้นเสียงอันเย่อหยิ่งของหยวนหมิง แขนและขาของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกเจ็บปวด ก่อนที่นางจะเอ่ยถามบางอย่างเพิ่มเติม รอบข้างก็ตกอยู่ในความมืดมิด…
พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าด้านนอกก็สว่างแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเหงื่อบนหน้าผากของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงจะคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความฝัน นางเปิดหนังสือโบราณไปยังหน้าๆ หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็มีแถบอักษรสีเลือดปรากฏขึ้น
‘สัญญาถูกสร้างขึ้นแล้ว และจะคงอยู่ตลอดไป’
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มและกอดหนังสือโบราณเอาไว้ในอ้อมแขน
ผู้หญิงคนนี้น่าตายนัก กอดเขาจนแน่นขนาดนี้ นางจะต้องตกหลุมรักเขาแล้วเป็นแน่
หยวนหมิงครุ่นคิดอย่างกระอักกระอ่วนใจ หลังจากถอนหายใจไปสองครั้ง เขาก็ผล็อยหลับไปในหนังสือโบราณเล่มนั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยนอนอยู่ในลานบ้านนั้นทั้งคืน เดิมที แม่นมเหมยก็รู้สึกเป็นห่วงเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าก็คือ นางได้รับจดหมายจากสำนักไท่ไป๋
“เฮ่อเหลียนเวยเวย เพศหญิง อายุสิบหกปี ระดับพลังลมปราณต่ำ ความสามารถต่ำ คะแนนทั่วไป คะแนนสอบไม่ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากขาดเรียนตลอดทั้งปี ทางเราจึงขอแจ้งเตือนว่าหากท่านไม่เข้าเรียนภายในสิบวันนี้ ทางสำนักไท่ไป๋จะต้องตัดรายชื่อของท่านออกจากการเป็นศิษย์”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูจดหมายตรงหน้าอย่างงุนงง ทำไมนางต้องแบ่งตัวอักษรเหล่านั้นออกเป็นคำๆ ถึงจะเข้าใจพวกมันได้ แต่เมื่อนำทุกคำมารวมไว้ด้วยกัน กลับทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้า
ไปเรียนเช่นนั้นหรือ
ฮ่าๆๆๆ นี่เป็นยุคโบราณมิใช่หรือ ผู้ที่จะเป็นใหญ่ได้ ไม่ใช่ผู้ที่รอบรู้แต่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงมามิใช่หรือ
พวกเขาอยากให้นาง ที่เป็นถึงราชินีนักรบถือกระเป๋านักเรียนใบเล็กๆ ไปสำนักศึกษาเช่นนั้นหรือ
เหอะ ถือกระเป๋าไปที่นั่นเพื่ออะไร ระเบิดสำนักศึกษาทิ้งเช่นนั้นรึ
…………………………………………………………………
[1] มดบนกระทะร้อน เป็นสำนวนที่เปรียบเปรยกับอาการหงุดหงิดหรือร้อนใจราวกับมดที่อยู่บนกระทะที่เผาไฟจนร้อน ในที่นี้เปรียบคนที่ไม่ต้องการให้เฮ่อเหลียนเวยเวยประสบความสำเร็จ และร้อนใจจนต้องทำร้ายนาง