เงียบ เงียบกริบ!
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา สีหน้าของพวกเขาตื่นตระหนกมากทีเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่งพวกเขาจึงเพิ่งจะรู้ว่าต้องหายใจ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
“บัดซบ ขาข้า!” จางซื่อเจี๋ยดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นขณะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป หวังให้คนมาช่วยพยุงตนขึ้น
แต่กลับไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่คนเดียว เพราะชายหนุ่มท่าทางร้ายกาจอีกคนเอามือมาพาดไว้บนบ่าของพวกเขาเสียก่อน ชายคนนั้นยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ไหนบอกพี่ชายมาสิว่าลูกแมวตัวไหนที่ทำให้พวกเจ้าพิการแบบนี้”
คุณชายทั้งหลายต่างพากันร้องไห้อยู่ในใจ [พวกเขาพิการตั้งแต่เมื่อไหร่ เอ่อ… ความจริงก็แค่เกือบต่างหาก]
จากนั้นเสียงคร่ำครวญและคำบ่นสารพัดก็ดังอยู่ครู่ใหญ่
ดวงตาจิ้งจอกของหนานกงเลี่ยหรี่ลง “นางซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนจริงๆ ด้วย” ทันทีที่พูดจบ เขาก็หันไปทางเงาร่างสีดำที่ยืนอยู่ในสวน แล้วตะโกนว่า “เฮ้ อาเจวี๋ย เราลองไปดูที่ห้องเรียนกันไหม”
“ไม่ไป” ร่างนั้นหลับตาลง แสงยามเช้าที่ส่องกระทบกับริมฝีปากบางนั้นทำให้มันดูคล้ายกับเพชรน้ำดี ขับให้เครื่องหน้าอันสมบูรณ์แบบของเขาเปล่งประกายยิ่งกว่าแสงตะวัน
หนานกงเลี่ยตะโกนต่อ “เจ้าคิดให้ดีก่อน บางทีเจ้าแมวน้อยอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้นะ”
ชายที่เหมือนกับเงาคนนั้นยกมือขึ้นหยิบตำราที่ปิดหน้าตนเองออก เล็บของเขาสะท้อนแสงขณะที่เล่นกับแหวนบนนิ้วโป้งของตน ริมฝีปากเจ้าเล่ห์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนต่างต้องหวาดกลัว…
ในขณะเดียวกัน เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กำลังนอนราบไปกับโต๊ะภายในห้องเรียน และพยายามซ่อนตัวจากอาจารย์ที่เพิ่งเดินเข้ามา นางยัดสตรอว์เบอร์รีสองสามลูกเข้าปาก เพื่อให้มั่นใจว่านางจะสามารถซึมซับสารอาหารที่อยู่ในนั้นได้อย่างเต็มที่ จึงค่อยหลับตาลงนอน
อย่างไรเสียจากประสบการณ์ของนาง ปกติวันเปิดเทอมวันแรกก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรอยู่แล้ว อาจจะมีแค่การแนะนำตัวเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้นางโดดเรียนไปก็คงไม่มีปัญหา
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดถูก อาจารย์สวมเสื้อคลุมเก่าๆ ที่ถือไม้บรรทัดเอาไว้ในมือเริ่มแนะนำตัวเองอย่างที่นางคิด แต่ก่อนที่จะทันได้พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยว่า “เงียบก่อน ห้องเราจะมีนักเรียนใหม่สองคนมาเรียนด้วยชั่วคราว” เขาเอ่ยเช่นนั้นพลางมองไปทางประตู ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเสียเต็มแก่ “เข้ามาได้”
ทันทีที่ร่างสูงโปร่งของคนทั้งสองก้าวเข้ามา อากาศในห้องเรียนก็ราวกับถูกดูดหายไปด้วยน้ำมือของพวกเขา โครงร่างสง่าผ่าเผยอย่างยากจะหาอะไรมาเปรียบได้อยู่ในชุดสีขาว เส้นผมของชายหนุ่มเรียบลื่นดั่งเส้นไหม แม้เขาจะดูเหมือนคนเสเพล แต่ก็ดูดีมีระดับอย่างแท้จริง
ทุกคนนึกถึงประโยคเดียวกันขึ้นมาทันที
หน้าตางดงามดั่งหยกชั้นดี มีเพียงชิ้นเดียวในใต้หล้า!
“เป็นคุณชายสองคนนั้นนี่นา!”
“หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งหล่อ!”
บรรดาคุณหนูมองตามร่างทั้งสองที่ก้าวเข้ามาในห้องตาเป็นมัน สายตาของพวกนางร้อนแรงเสียจนทำให้อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าชั้นโกรธจนหน้าเขียว
“เงียบ เงียบกันได้แล้ว!” อาจารย์เจ้าของเส้นผมสีดอกเลา กับเคราสีขาว ยกมือข้างหนึ่งไพล่หลัง ส่วนมืออีกข้างก็ฟาดไม้บรรทัดลงบนโต๊ะ เขาพ่นลมหายใจออกมาจนเครากระเพื่อม แล้วกวาดสายตามองเป็นการเตือนไปทั่วห้อง
หนานกงเลี่ยดูจะคุ้นเคยกับการตกเป็นเป้าสายตา ดวงตาอันงดงามของเขาสอดส่ายไปทั่วทั้งห้องโถง เมื่อสบเข้ากับบรรดาคุณหนู เขาก็ขยิบตาให้อีกฝ่าย พวกนางก้มหน้างุดอย่างขวยเขิน ปลายหูขึ้นสีแดงระเรื่อ เหงื่อออกเต็มฝ่ามือด้วยความประหม่า แม้อยากจะเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ไม่กล้า
ส่วนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเย็นชาและไม่สะทกสะท้านเช่นเดิม นิ้วของเขาเล่นอยู่กับแหวนที่นิ้วโป้ง แล้วในที่สุดสายตาอันร้อนแรงของเขาก็จับจ้องอยู่ตรงมุมที่อับที่สุดในห้องเรียน
ดวงตาของเขาดูไม่สนใจไยดีสิ่งใด แทบจะเรียกได้ว่าไร้สีสัน เหมือนกับอัญมณีสีดำเย็นเฉียบ มันแหลมคมงดงาม แต่ดวงตาคู่นั้นกลับทำให้คนที่เห็นต่างก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในยามนี้ช่างเหมาะสมกับคำนิยามขององค์ชายปีศาจจากนิทานปรัมปราเสียนี่กระไร เขาทั้งสง่าผ่าเผย เย็นชา มีเสน่ห์ แต่ก็หยิ่งยโส
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมต้องได้ยินเสียงของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่เพราะนางนอนอยู่ จึงไม่อยากลืมตาขึ้นมาดู ไม่ว่าคนที่เข้ามาจะเป็นใคร ก็หาได้เกี่ยวกับนางไม่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา
หืม
อาจเป็นเพราะท่าทางกระมัง
แค่เปลี่ยนท่านอนก็พอ
ว่าแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกตำราขึ้นตั้ง เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้ว นางก็นอนต่อไปด้วยท่าที่สบาย!
“เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนไปนั่งตรงด้านหลังก่อนก็แล้วกัน วันหลังค่อยเปลี่ยนที่นั่งกันอีกที” ในที่สุดผู้เป็นอาจารย์ก็ทำให้บรรยากาศตื่นเต้นภายในห้องเรียนสงบลงได้ เขาหันไปบอกทั้งสองพร้อมกับขมวดคิ้ว หากพูดกันตามตรงเขาไม่ได้อยากดูแลศิษย์ใหม่ของสำนักทั้งสองคนนี้เลยแม้แต่น้อย บรรดาผู้ฝึกตนระดับต่ำสุดในสำนักไท่ไป๋ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ถ้าท่านเจ้าสำนักไม่ได้บอกว่าตัวเองจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำหอแห่งนี้ และไม่ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ช่วย ให้ตายเขาก็คงไม่แม้แต่จะเหยียบเข้ามาในนี้เป็นอันขาด
พูดถึงเรื่องนี้ จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดท่านเจ้าสำนักถึงได้ยอมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำหอชั้นสามัญนี้ได้
เป็นเพราะมันตกต่ำเสียจนไม่มีใครคิดที่จะทำหน้าที่นั้น สุดท้ายท่านเจ้าสำนักจึงต้องมารับหน้าที่นี้ด้วยตัวเองหรือ
อาจารย์ท่านนั้นคิดถูกแล้ว เหตุผลที่ตู๋ซูเฟิงยอมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำหอพักนี้ก็เพราะว่าที่นี่ย่ำแย่เสียจนไม่มีใครคิดจะรับไปดูแล
แต่อันที่จริงก็ยังมีเหตุผลอื่นอยู่ด้วย ไม่ว่าใครก็คงเดาไม่ออกว่าเหตุผลนั้นคืออะไร
และเหตุผลที่ว่านั่นก็คือชายทั้งสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในหอสามัญแห่งนี้นี่เอง ไม่ว่าจะด้วยสถานะหรือความสามารถ คนทั้งสองต่างก็โดดเด่นสะดุดตากว่าคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด!
“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกขอรับ ที่นั่งด้านหลังนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดช้าๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา
ฝ่ายอาจารย์นั้นไม่รู้เรื่องความแค้นระหว่างเขากับเฮ่อเหลียนเวยเวย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าการจัดที่นั่งของเขานั้นเข้าทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงใด เขาถึงได้แสร้งทำเป็นเด็กดี แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล นางขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วทันใดนั้นนางก็ได้ยินน้ำเสียงอันทรงเสน่ห์และเปี่ยมด้วยความชั่วร้ายดังขึ้นจากข้างหลัง “อาเจวี๋ย เจ้าแมวน้อยช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก แม้ภายในร่างกายของนางจะไม่มีพลังลมปราณ แต่นางก็ยังสามารถล้มพวกผู้ฝึกปราณสามคนได้ในพริบตา ข้าไม่แปลกใจเลยที่เจ้าโดนนางเล่นงานเข้าถึงสองครั้ง…”
“หุบปาก”
คำพูดสองคำนั้นราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
แต่น้ำเสียงทุ้มลึกและเย็นชาของเขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นถังใส่น้ำแข็ง ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เว้นแม้กระทั่งหนังศีรษะ แผ่นหลังกระตุกเกร็ง
สัญชาตญาณอันเฉียมคมของนางบอกว่าอย่าหันหลังกลับไป ห้ามหันไปเด็ดขาด แต่ปฏิกิริยาทางธรรมชาติของมนุษย์กลับไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และก่อนที่นางจะทันได้รู้ตัว สายตาของนางก็หันไปทางต้นเสียงนั้นเสียแล้ว…
ชายหนุ่มท่าทางประหลาดยืนอยู่ตรงหน้านาง มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มซุกซน สายตาที่มองนางราวกับกำลังมองสัตว์ตัวเล็กๆ อยู่
ส่วนข้างหลังเขาก็คือชายคนที่บอกว่าถูกนางเอาเปรียบในวันนั้น วันนี้เขาแต่งตัวมิดชิดเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวพาดอยู่บนร่างกายได้รูป ทำให้รูปร่างของเขาน่าดึงดูดยิ่งขึ้น เหมือนเทพบุตรจากโลกยุคโบราณ ภายใต้ความสันโดษอันเย็นชานั้นแผ่บรรยากาศที่แทบทำให้คนหายใจไม่ออกออกมา ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มองเพียงแวบเดียวก็จะเห็นความชั่วร้ายในนั้น แต่รอยยิ้มเยี่ยงปีศาจร้ายของเขานั้นกลับทำให้หัวใจของบรรดาเด็กสาวเต้นไม่เป็นส่ำ เหมือนกวางน้อยกระโดดไปมา [1] และเหมือนกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ [2] ทั้งไร้เดียงสาและไม่ทันระวังตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกล้อมไปด้วยชายสองคนจนแทบไม่มีช่องว่าง นางย่อมไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจมาขวางทางนางเอาไว้ สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางพายุในฤดูหนาว
…………………………………………………………………………………………..
[1] กวางน้อยกระโดดไปมา เป็นสำนวน หมายถึง กระสับกระส่าย กระวนกระวาย เมื่อเกิดความรู้สึกที่เข้มข้น เช่น กลัวมากหรือชอบมาก เป็นต้น
[2] แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เป็นสำนวน หมายถึง คนที่หลงแสงสีสวยงามโดยไม่พิจารณาถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ จนอาจจะนำตัวเองเข้าไปติดกับดักได้