ณ หอสามัญยามค่ำคืน เด็กสาวพลิกฝ่ามือทั้งสองข้างของตน จากนั้นรอบกายของนางก็คล้ายกับมีสายลมที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้น สายลมนั้นปกคลุมร่างของนางเอาไว้
น้ำเสียงเย่อหยิ่งของหยวนหมิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “แม่นาง ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกปราณสายควบคุมพลัง!”
“ผู้ฝึกปราณสายควบคุมพลังหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จากความทรงจำของนาง ผู้ฝึกปราณจะถูกแบ่งเป็นธาตุและระดับที่แตกต่างกันไป ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ สีของพลังปราณก็จะยิ่งเข้มขึ้นเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องผู้ฝึกปราณสายควบคุมพลัง
หยวนหมิงมองนาง ปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย “ตามปกติแล้ว ธาตุและสีของพลังปราณจะเป็นตัวกำหนดระดับความสามารถของผู้ฝึกปราณ ยิ่งสีอ่อนเท่าไหร่ ความสามารถของคนคนนั้นก็จะยิ่งต่ำ แต่ว่า!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไปสักพัก รอยยิ้มอันชั่วร้ายวาดขึ้นบนริมฝีปากของเขา “ผู้ฝึกปราณสายควบคุมพลังนั้นเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว! ไม่เพียงแค่อยู่นอกเหนือจากธาตุทั้งห้าเท่านั้น แต่พลังปราณที่พวกเขาสร้างขึ้นมายังไร้สีอีกด้วย ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พวกเขากลับสามารถควบคุมธาตุต่างๆ ได้ทั้งห้าธาตุ ไม่ว่าจะเห็นด้วยตาเปล่าหรือไม่ก็ตาม นับว่าเป็นผู้ฝึกปราณที่มีพลังร้ายกาจที่สุดเลยทีเดียว!”
“ฟังดูไม่เลว” เฮ่อเหลียนเวยเวยโยนสตรอว์เบอร์รีเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ แล้วหยิบถังไม้ขึ้นมา
เมื่อหยวนหมิงเห็นว่านางสงบเพียงใด มุมปากของเขาก็อดที่จะกระตุกขึ้นมาไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้รู้หรือเปล่าว่าพลังในร่างของตนหมายความว่าอะไร ช่างทิ้งขว้างทำลายพรสวรรค์ให้เสียของ [1] จริงๆ!
ใช่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่สนใจเรื่องนั้น แต่ตอนนี้นางเหนียวตัวและอยากอาบน้ำจนใจจะขาดแล้วต่างหาก ก่อนจะเดินเข้าไปที่บ่อน้ำพุร้อน นางเคาะประตูพร้อมกับหันมองไปรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้คนอื่นๆ คงกำลังง่วนอยู่กับการฝึกฝนพลังปราณ ดังนั้นคงยังไม่มีใครมาที่นี่แน่ จากนั้นนางจึงถอดชุดของตนออก ก่อนจะก้าวเท้าลงไปในบ่อน้ำพุร้อนอันใสสะอาด แล้วหย่อนกายลงนั่งจนน้ำขึ้นมาถึงบริเวณลำคอ เฮ่อเหลียนเวยเวยแน่นิ่งไม่ไหวติงราวกับกำลังเข้าสู่นิทรา เส้นผมดุจเส้นไหมของนางแผ่สยายอยู่กลางแผ่นหลังราวกระเบื้องเคลือบ เกิดเป็นภาพอันงดงาม ทำให้นางดูเย้ายวนไปอีกแบบ
ในตอนนั้นเองที่สายลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้ามาหานาง
มีคนอยู่ที่นี่!
เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นทันที มือของนางอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ในพริบตาเดียว นางก็กระโดดขึ้นมาจากบ่อน้ำ เสื้อคลุมสีขาวที่วางอยู่ข้างบ่อลอยติดมือขึ้นมา เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนตัวขณะที่มือและเท้าก็สอดเข้าไปในเสื้อได้พอดี มือข้างซ้ายของนางยื่นออกมานอกเสื้อคลุม แล้วคว้าสายคาดเอาไว้ ก่อนจะรัดมันเข้าด้วยกันได้อย่างสวยงาม ทุกการเคลื่อนไหวของนางนั้นเหมือนกับสายน้ำไหล และหมู่เมฆล่องลอย รวดเร็วลื่นไหล คล่องแคล่วว่องไว หยดน้ำจากเส้นผมของนางกระจายไปทั่วสถานที่แห่งนั้น
ทันใดนั้นเงาร่างร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นในม่านหมอก
คนคนนั้นเย็นชาและเย่อหยิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงบ่งบอกว่าไม่เคยอยู่ใต้อาณัติใคร ร่างของเขาสะอาดหมดจด ไร้เศษฝุ่นอยู่บนร่าง
เขายืนอยู่ริมบ่อน้ำพุร้อนราวกับไม่สนใจสิ่งใด มือข้างหนึ่งถือม้วนกระดาษเก่าๆ เอาไว้ ผ้าปักลายสีดำบนไหล่ข้างซ้ายที่พาดลงมาตามลำแขนทำให้กล้ามเนื้อของเขาดูราวกับหยกเนื้อดี ภาพนั้นงดงามเสียจนสวรรค์ยังต้องอาย
คนคนนั้นจะเป็นใครไปได้อีก นอกจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าเป็นเขา ก็เตรียมที่จะออกไปหลังจากเก็บของเสร็จแล้ว
ฉับพลันโลกก็เหมือนกลับตาลปัตร ในเสี้ยววินาทีที่นางยื่นมือออกไป ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดันร่างของนางเข้ากับผนังหิน…
ทันใดนั้นกลิ่นกายหอมๆ ของชายหนุ่มก็โชยเข้ามาในจมูกของนาง มันไม่ได้ฉุน ไม่มีกลิ่นฝุ่น อีกทั้งยังไม่ใช่กลิ่นดอกกล้วยไม้ภายในโรงอาบน้ำแห่งนี้ด้วย กลิ่นหอมนั้นโอบล้อมรอบตัวนาง รุนแรงแต่ก็เรียบง่าย…
เขาใช้แขนเรียวยาวทั้งสองข้างขนาบร่างของนางเอาไว้ ขณะที่เส้นผมสีดำราวกับรัตติกาลอันเย็นเยียบนั้นก็สัมผัสกับใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบาราวกับผ้าเนื้อดี กั้นแสงที่เดิมทีก็ไม่ได้สว่างมากนักเอาไว้
“ท่านทำอะไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเช่นนี้ คิ้วใบหลิวของนางเลิกขึ้น ความเข้าใจผิดระหว่างนางกับเขามันจบลงไปแล้วมิใช่หรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงมองนางเงียบๆ สายตาของเขาเคลื่อนผ่านทีละส่วนของนาง ตั้งแต่เส้นผมเปียกชื้น ไปยังลำคอ จนมาถึงกระดูกไหปลาร้าของนาง ดวงตาของเขายิ่งดูล้ำลึกขึ้นอีก
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะแถม ‘บริการ’ อื่นให้” น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบพร่า ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นแทบจะทำให้คนที่มองอยู่หลงใหลจนถูกดูดเข้าไปภายใน ขณะที่ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาสัมผัสกับคอระหงส์ของนาง ชวนให้รู้สึกร้อนผ่าวและจั๊กจี้ไปพร้อมกัน “ในเมื่อเจ้าให้เงินข้าแล้ว แน่นอนว่าข้าก็ต้องทำตามที่ได้พูดเอาไว้ มิเช่นนั้นจะสมกับราคายี่สิบตำลึงได้อย่างไร” เขาพูดเสียงใส แต่รอยยิ้มชั่วร้ายทำให้คนที่ฟังรู้สึกเหมือยถูกยั่วยุ
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ชะงัก ก่อนจะคว้าข้อมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ นางผลักเขาออกเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ การที่ข้าเอาเงินให้ท่านนั้นมันก็สมควรแล้ว ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ข้าอีก แค่รักษาระยะห่างกับข้าเอาไว้ก็พอ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘รักษาระยะห่าง’ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยกยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขากลับไปไม่ถึงดวงตา ม่านตาสีอำพันของเขาฉายประกายอันเย็นเฉียบออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เหลียวมองเขาด้วยซ้ำ นางทำเพียงหันหลังกลับและเดินออกไปจากโรงอาบน้ำไม้ไผ่ เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นข่าวลืออีกหน
อันที่จริงนางไม่สนใจข่าวลือพวกนั้นหรอก นางแค่ไม่อยากดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วยเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าสมัยโบราณวัดค่ากันด้วยชื่อเสียง พวกคนที่ทุ่มเทกำลังทรัพย์และกำลังกายเพื่อเข้ามาเรียนในสำนักจึงมีเป้าหมายอยู่แค่สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือต้องการเป็นที่รู้จัก สองคือต้องการทำความรู้จักกับพวกคนมีฝีมือ
ในหมู่คนพวกนั้น มีเด็กสาวกี่คนกันที่ยึดติดกับความคิดว่าโบยบินอยู่บนกิ่งไม้แล้วกลายเป็นหงส์ ใครสนิทกับใคร ใครที่พวกนางไม่ควรไปหาเรื่องด้วย ใครที่ควรจะประจบ พวกนางทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ
ดังนั้นนางจึงมีลางสังหรณ์ว่ากลุ่มของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คงจะไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ แน่
ค่ำคืนด้านนอกหน้าต่างค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีดำลึกล้ำราวน้ำหมึก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงยืนอยู่ในโรงอาบน้ำไม้ไผ่ อารมณ์ของเขาคุกรุ่นอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง ราวกับมีสายลมอันเย็นเยียบโหมกระพืออยู่ภายใน
เขาใช้มือข้างหนึ่งยันผนังหินเมื่อครู่ แม้นั่นจะเป็นแค่การเคลื่อนไหวธรรมดาๆ แต่ตอนที่เขาทำเช่นนั้น กลิ่นอายอันตรายก็คล้ายจะพรั่งพรูออกมา…
นั่นคือภาพที่หนานกงเลี่ยเห็นตอนที่เขาเดินเข้ามา เขาส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “หึๆ… นี่คงเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงต้านทานเสน่ห์ของเจ้าได้ล่ะสิ ดูเหมือนว่าเจ้าแมวน้อยของเราจะไม่ได้สนใจองค์ชายจริงๆ”
นิ้วชี้อันเรียวยาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล่นกับแหวนที่นิ้วโป้งอย่างเกียจคร้าน ขณะมองหนานกงเลี่ย ดูน่าเกรงขามแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกห่างเหิน ยากจะเข้าใกล้ กระนั้นก็ยังชวนให้ลุ่มหลง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หนานกงเลี่ยก็ได้ใจ แล้วพูดต่อว่า “เพราะอย่างนี้ใครต่อใครเขาถึงพูดกันว่าบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนหลงซื่อจื่อของตระกูลมู่หรงมากเสียจนหน้ามืดตามัว ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้แน่ ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่…”
ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็ตกใจกับสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ตวัดมองมาเสียก่อน
ดวงตาคู่นั้นเย็นเยียบเหมือนตาของปีศาจร้าย อีกฝ่ายจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ขณะก้าวเข้ามาใกล้เขา ทุกย่างก้าวนั้นทำให้เขานึกถึงงูพิษแสนอันตราย ทำเอาเขาถึงกับไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ร่างอันหนุ่มแน่นและแข็งแกร่งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินออกจากโรงอาบน้ำไม้ไผ่ไปอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงดัง ‘เคร้ง’ ก่อนร่างนั้นจะกลืนหายไปในความมืด
หนานกงเลี่ยยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น เขามองเศษแหวนที่เคยอยู่บนนิ้วโป้งของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้กลับมาอยู่บนพื้นแทน แล้วอ้าปากค้าง ไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
เขา… เมื่อครู่เขาโกรธหรือ
………………………………………………………………………………………..
[1] ทำลายบางอย่างให้เสียหาย (暴殄天物) หมายถึง การทำลายสิ่งของให้สูญค่าเปล่าประโยชน์ ตรงกับสำนวนไทยว่า ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ