หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาก็คงจะตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกไปนานแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยผู้เยือกเย็นกลับทำเพียงยิ้มออกมา นางไม่ได้แสดงท่าทางหยิ่งผยองหรือร้อนใจแต่ประการใด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ทำให้ชายชราที่กำลังกระวนกระวายใจอยู่รู้สึกสงบลงได้
เขาเชื่อว่าลูกศิษย์ของตนไม่มีทางเป็นคนต่ำทรามเช่นนั้นแน่
การปรากฏตัวของผึ้งพิษตัวนั้นจะต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน
แต่เรื่องที่น่าขันที่สุดคือการที่เพื่อนร่วมสำนักของเขา บรรดาคนที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์ที่คอยชี้นำคนอื่นกลับให้การปรักปรำลูกศิษย์ของเขา เพียงเพราะนางมาจากหอสามัญ!
ราวกับว่านางสัมผัสได้ถึงความโกรธของชายชรา ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม อา ดูเหมือนว่าอาจารย์ของนางจะเชื่อใจนางมากทีเดียว
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่อาจทำให้ชายชราคนนี้ผิดหวังได้ จริงไหม
“ทุกคนต่างก็บอกว่าข้าเป็นคนปล่อยผึ้งพิษตัวนี้ออกมา แต่ทำไมไม่บอกพวกเขาไปล่ะ ว่าใครเป็นคนที่เลี้ยงผึ้งพิษตัวนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่เงียบมาตลอดอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงของนางเย็นชาเสียจนยากที่ทุกคนจะมองข้ามไปได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยซึ่งยืนซ่อนตัวอยู่ในความมืดเลิกคิ้วขึ้นอย่างชั่วร้าย แล้วมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาครุ่นคิด
ทุกคนไม่เข้าใจกับการกระทำนั้น นางไม่คิดที่จะแก้ตัวให้ตัวเองพ้นผิดด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงถามเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นขึ้นมาแทนล่ะ
แต่ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยถามประโยคนั้นออกมา ผู้กระทำผิดตัวจริงก็ถึงกับชาวาบไปทั้งตัว!
เป็นไปไม่ได้!
นังคนชั้นต่ำนั่นน่าจะไม่รู้จักวิธีนั้นนี่!
“ในเมื่อทุกคนไม่รู้ว่าเป็นใคร เช่นนั้นข้าจะบอกให้ก็ได้” ทันใดนั้นร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เคลื่อนไหว ใบไม้ในมือของนางเต้นรำอยู่ในสายลม ก่อนจะพุ่งตรงไปที่แขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเหมยราวกับใบมีด
ได้ยินเพียงแค่เสียงผ้าขาดดังแคว่ก!
ผ้าปักลายดอกไม้ห่อหยกผืนหนึ่งหล่นลงบนพื้นดัง ‘ตุ้บ’!
ผ้าปักลายดอกไม้ผืนนั้นมีขนาดเล็กมาก หากไม่ใช่เพราะสีสันอันสะดุดตา ก็คงยากที่จะเห็นได้
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเหมยซีดเผือดในพริบตา
นางอยากจะลุกขึ้นสร้างสถานการณ์เพื่อเบนความสนใจของทุกคนไปจากนาง
แต่มีหรือที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะยอมให้เป็นเช่นนั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเร็วกว่าหนึ่งก้าว นางหยิบผ้าปักลายดอกไม้ขึ้นมา แล้วเล่นกับมันอย่างไม่ทุกข์ร้อน น้ำเสียงของนางไม่เร็วไม่ช้า “ข้าคิดว่าบรรดาอาจารย์ที่อยู่ที่นี่คงเคยเห็นโลกมามาก และมีความรอบรู้อยู่ไม่น้อย ดังนั้นทุกคนน่าจะรู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร หยกสีเลือดเป็นสิ่งจำเป็นในการเลี้ยงผึ้งพิษ ผึ้งพิษจะไม่เล่นงานใคร และสงบลงเมื่อมีมันอยู่ น้องสาม เจ้าเป็นคนเลี้ยงผึ้งพิษตัวนี้มาเองนี่ เจ้าโยนความผิดมาให้ข้าได้อย่างไรกัน”
“พี่ใหญ่!” ทันทีที่นางเห็นหยกสีเลือด เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็รู้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้เลวร้ายเพียงใด นางพยายามรีบหาเหตุผลอันน่าเชื่อถือมากลบเกลื่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทนางด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา “เจ้าก็เหมือนกัน! เจ้ากับน้องสามสนิทสนมกันมากจนตัวติดกันตลอดเวลา เจ้ารู้อยู่แล้วว่านางเป็นคนเลี้ยงผึ้งพิษตัวนั้นขึ้นมา แต่เจ้ากลับเลือกที่จะใช้วิธีนี้ยื่นมือมาช่วยนางใส่ร้ายข้า ทั้งยังต้องการให้ท่านเจ้าสำนักไล่ข้าออกด้วย! ข้าอยากจะถามพวกเจ้าทั้งสองคนกลับเหลือเกินว่า พวกเจ้าสองคนเอาแต่บอกว่าข้ากลั่นแกล้งเจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงต้องร่วมมือกันเพื่อพาข้าเข้าสู่หนทางแห่งความตายด้วยหรือ”
เมื่อเสียงของนางเงียบลง ความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมาในเวลาเดียวกัน!
ทั่วทั้งสำนักพลันตกอยู่ในความโกลาหล สายตาของทุกคนต่างก็มองไปที่เฮ่อเหลียนเหมยและเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ทีละคน
“ไม่ ข้าไม่ได้เลี้ยงผึ้งนั่นนะ! พี่รอง รีบบอกทุกคนเร็วสิว่าข้าไม่ได้เลี้ยงมันมา รีบบอกสิเจ้าคะ!” ร่างที่แทบจะขยับไม่ได้ของเฮ่อเหลียนเหมยสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกครั้ง นางคว้ามือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แล้วเขย่ามันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ต้องการให้นางเอ่ยปากพูด
แต่ในตอนนี้ กระทั่งเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เองก็ยังปกป้องตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วนางจะช่วยปกป้องเฮ่อเหลียนเหมยได้อย่างไร
การกระทำของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงชั่วร้ายในสายตาของทุกคน
ไม่ มันไม่ควรเป็นแบบนี้!
“ไม่…”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เพิ่งจะอ้าปาก แต่สายตาอันเย็นชาของตู๋ซูเฟิงก็พลันตวัดมองนางอย่างเย็นชาเสียก่อน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางยังกล้าที่จะหาข้อแก้ตัวมาอีกหรือ
“สำนักไท่ไป๋ไม่รับลูกศิษย์ที่ขาดศีลธรรมจรรยา ขับไล่เฮ่อเหลียนเหมย และเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ออก ให้ลงจากเขา และไม่มีสิทธิ์เข้ารับการศึกษาในสำนักแห่งนี้อีก!”
น้ำเสียงเย็นชาราวน้ำแข็งนั้นทำให้ทุกคนตกใจจนตัวชา ท่านเจ้าสำนักที่มักจะอ่อนโยนใจดีอยู่เสมอ ในเวลานี้กลับโกรธขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด!
นี่คือเจ้าสำนักไท่ไป๋ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีภูมิหลังน่าเคารพยกย่องเพียงใด แต่หากอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็มีอำนาจมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายหายไปจากสำนักไท่ไป๋ได้โดยไม่ต้องแจ้งขุนนางระดับสูงเหล่านั้น!
เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ถึงกับหมดเรี่ยวแรง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสารนางขึ้นมา ห้ามเข้ารับการศึกษาในสำนักอีก เช่นนั้นฆ่านางไปเลยเสียยังดีกว่า
นางเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉางเฟิง พลางขอร้องให้เขาช่วยนางผ่านทางสายตา
อย่างไรเสียก็คงมีแต่มู่หรงฉางเฟิงคนเดียวที่สามารถทำให้นังคนชั้นต่ำอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนใจได้
ตราบใดที่เขายอมพูดจาหวานๆ กับนังคนชั้นต่ำนั่น สถานการณ์นี้อาจจะมีโอกาสพลิกกลับมาได้!
มู่หรงฉางเฟิงเองก็ไม่อยากให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ออกจากสำนักไปเช่นกัน อย่างไรเสียเขาก็เพิ่งจะแนะนำนางให้รู้จักกับท่านอาจารย์ของตนเอง และหากรวมกับความสามารถที่นางมีอยู่ในตัว อนาคตของนางจะต้องไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้แน่
เขาไม่อยากเห็นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้!
“ฉางเฟิงขอร้องท่านเจ้าสำนักจากใจจริง ขอให้ท่านให้โอกาสพี่น้องตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่ที่นี่ต่อด้วยขอรับ”
จวนของมู่หรงอ๋องนั้นแตกต่างไปจากตระกูลอื่น แม้ว่าตระกูลของเขาจะไม่ได้ใช้สกุลเดียวกันกับคนในวัง แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็สืบเชื้อสายมาจากคนในราชวงศ์โดยตรง แม้ว่าท่านเจ้าสำนักจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่ก็ควรจะให้เกียรติเขา
เมื่อเห็นดังนั้น บรรดาอาจารย์เองก็เริ่มเข้ามาขอความเมตตากับเขาทีละคนสองคน “ใช่ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก พี่น้องตระกูลเฮ่อเหลียนสองคนนี้ยังเด็กนัก ดังนั้น โปรดยกโทษให้พวกนางด้วยขอรับ!”
คิ้วของตู๋ซูเฟิงเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “คนที่ถูกใส่ร้ายไม่ใช่ข้า แทนที่จะมาขอร้องข้า ทำไมไม่ลองไปขอร้องคนที่ถูกใส่ร้ายดูเล่า”
ทุกคนตกตะลึง จากนั้นจึงหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยที่มีสีหน้าเย็นชามาตั้งแต่ต้นจนจบ
มู่หรงฉางเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเสนอว่า “ครั้งนี้ทุกคนเข้าใจเจ้าผิดไป ส่วนเรื่องหนังสือยกเลิกการหมั้นนั้น เกิดขึ้นจากความหุนหันพลันแล่นของข้าเอง การหมั้นหมายระหว่างเราได้รับพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ดังนั้นจึงไม่อาจยกเลิกได้โดยง่าย ครั้งนี้ หากเจ้ายอมยกโทษให้กับพวกนาง ข้าจะทำเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วข้าจะแต่งงานกับเจ้าภายในหนึ่งเดือน”
น้ำเสียงของเขาชัดเจนและไพเราะน่าฟัง มีทั้งเสียงสูงเสียงต่ำ เหมาะสมกับใบหน้าอันหล่อเหลา และดวงตาลึกล้ำที่ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่แทบทุกคนถึงกับตกตะลึง
มิหนำซ้ำคำพูดของเขายังแฝงไปด้วยการยอมรับ ยอมรับให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นอนุภรรยาในอนาคตของตัวเอง
ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ล้วนรู้ว่าทุกสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำลงไปในวันนี้ นางทำเพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากมู่หรงฉางเฟิงทั้งสิ้น
นางชอบเขามานานนับสิบปี
ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา นางพยายามทุ่มเทอย่างสุดความสามารถนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อคิดหาทางทำให้ได้แต่งงานกับเขาอย่างมีความสุข
เพื่อบทสรุปนั้น นางจึงต้องทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อย และต้องพบเจอกับความอับอายมานับไม่ถ้วน
พวกเขาทุกคนเห็นภาพนั้นมาตลอด
จะมีก็แต่มู่หรงฉางเฟิงคนเดียวที่ไม่เคยแม้แต่จะชายตามองนางเลย อีกทั้งยังไม่เคยพูดออกมาว่าเขาอยากแต่งงานกับนาง และยังเอาแต่เลื่อนงานแต่งงานออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว ในที่สุดมู่หรงซื่อจื่อก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่าจะแต่งงานกับนางในอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้
แล้วนางจะยังมัวแต่สนใจเรื่องที่ถูกกล่าวหาอยู่ได้อย่างไร แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นางควรจะหัวเราะออกมาจนปากฉีกไปถึงใบหูด้วยซ้ำ!
เป็นดังที่คาดเอาไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วพูดกับมู่หรงฉางเฟิงราวกับว่านางกำลังจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการ “จะให้ข้ายกโทษให้พวกนางก็ย่อมเป็นไปได้…”
ทันใดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ก็ตัวเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ต้นไม้โบราณสูงตระหง่านเสียดฟ้าสั่นไหว ใบไม้หลายสิบใบร่วงหล่นลงมา
ริมฝีปากของมู่หรงฉางเฟิงคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เขารู้อยู่แล้วว่านางทำเรื่องมากมายลงไปเพื่อเขา
จากนี้ไป เขาอาจจะลองปฏิบัติต่อนางให้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรเสีย เขาเองก็ไม่อยากสูญเสียสายตาที่คอยมองเขาด้วยความใส่ใจอยู่ตลอดเวลาไป
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาถึงกับหงุดหงิดกับการเปลี่ยนแปลงของนาง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาง แต่หลังจากที่สายตาอันเต็มไปด้วยความรัก และเขินอายนั้นหายไป เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไปด้วย
พอมาคิดดูตอนนี้ นางก็คงพยายามจะข่มความรู้สึกของตนเองเอาไว้เพื่อปล่อยมือจากเขาไป และยังพูดจาเหมือนกับว่าหากเขาต้องการ ก็ไปได้เลย เห็นได้ชัดว่านางเพียงแค่หลอกตัวเองเท่านั้น
การกระทำของนางต่างจากที่คนอื่นคาดการณ์เอาไว้ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย
เช่นเดียวกับตอนที่นางกับเขายังเด็ก นางมักจะโยนชุดของตัวเองทิ้งทุกครั้งที่นางหงุดหงิดจากการฝึกฝนพลังปราณ ใบหน้าเล็กๆ น่ารักและงดงามนั้นมักจะแสดงสีหน้าดื้อรั้นอย่างน่าเอ็นดูออกมาเสมอ
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ มู่หรงฉางเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น เขาอดที่จะหัวเราะขึ้นมาเสียงดังไม่ได้ ขณะเดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย
แผ่นหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่พิงต้นไม้อยู่เกร็งขึ้นอีกครั้ง มุมปากที่โค้งขึ้นของเขากลับค่อยๆ เย็นชาลงทีละน้อย นิ้วทั้งห้าที่อยู่ใต้แขนเสื้อแข็งเกร็ง ราวกับกำลังพยายามข่มกลั้นบางอย่างอยู่…