แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่คาดคิดเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะทำเพียงนั่งเฉยๆ เท่านั้น มือข้างหนึ่งของนางไขว้อยู่ด้านหลัง และเสื้อคลุมสีดำที่ทับบนเสื้อสีขาวยาวระพื้นนั้น ทำให้นางดูบริสุทธิ์และสวยงามจนไม่อาจบรรยายออกมาได้
นางไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เปลี่ยนไปในทันที หากเป็นเมื่อก่อน นังแพศยาคนนี้จะต้องยับยั้งตัวเองไม่ได้ จนต้องระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว และเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ทุกคนก็จะได้รู้ว่านางนิสัยไม่ดีเพียงใด
แต่ตอนนี้ นางกลับเมินเฉยต่อพวกเขาอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดฟันกรอดอย่างฉุนเฉียว เป็นไปได้หรือไม่ว่าวันที่นางถูกดึงตัวขึ้นมาจากน้ำนั้น สมองของนางจะได้รับความกระทบกระเทือน ทำให้นางลืมแม้แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ของตนเองไป
เมื่อใดก็ตามที่นังคนชั้นต่ำนั่นได้ยินคำว่า ‘ซื่อจื่อไม่ต้องการนาง’ นางก็จะกลายเป็นคนเสียสติขึ้นมาเสมอ
แล้วทำไมวันนี้นางถึงได้เงียบงันเช่นนี้เล่า
มู่หรงฉางเฟิงนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะยาวอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่สังเกตเห็นความวุ่นวายของอีกฝั่ง เขาก็คิดอยู่เงียบๆ ว่าจะต้องเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยโต้กลับอย่างแน่นอน แต่เมื่อเขามองหน้านาง หัวใจของเขาก็เต้นแรง เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะมีท่าทีเช่นนี้…
นางดูเหมือนแมวที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ และกำลังปั่นป่วนอารมณ์ของผู้คนอย่างเยือกเย็น ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยเพราะกำลังยิ้ม ริมฝีปากบางของนางเปล่งประกายสดใสภายใต้แสงเทียน ทำให้เหล่าชายหนุ่มต่างต้องการที่จะเข้าไปจุมพิตนาง
นางไม่ใช่หญิงสาวหน้าไม่อายที่น่าเบื่อหน่ายอีกต่อไปแล้ว นางแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ไม่อาจคาดเดาได้ผ่านทางร่างกายของนาง
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาไม่ได้พบนาง และแทบจะไม่ได้คิดถึงนางเลย แม้ว่าเขาจะคิดถึงนาง มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสับสนอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้
เขาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์มากมายก่อนหน้านี้ที่เคยพบกับนาง นอกจากนางจะส่งเสียงดังน่ารำคาญแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย เขายังคงจดจำความรู้สึกตอนที่นางตามรบกวนเขาได้อยู่เลย สำหรับเขาแล้ว นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ไร้ยางอาย โง่เขลา และน่ารำคาญเท่านั้น…
เขาเป็นทายาทของพระชายามู่หรงผู้สง่างาม แล้วเขาจะแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่สูญเสียพลังของตนเองได้อย่างไรกันเล่า
มีเหล่าเสนาบดีที่มีอำนาจและอิทธิพลจำนวนนับไม่ถ้วนในราชสำนัก แต่โชคร้ายนัก ที่นางกลับติดใจเขา
นางจึงเป็นจุดแปดเปื้อนเดียวในชีวิตของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าจะคิดเรื่องนี้อย่างไร เขาก็รู้สึกไม่ชอบใจนัก
นั่นทำให้เขาตัดสินใจเช่นนั้นไป
แต่เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากถูกยกเลิกการแต่งงาน ท่าทีและการกระทำทั้งหมดของนางก่อนหน้านี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งวิธีการพูดและสายตาของนางก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
นางในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด มันแปลกประหลาดเสียจนทำให้เขา…ทำตัวไม่ถูก
ฟางถิงถิงสังเกตเห็นสายตาของมู่หรงฉางเฟิง แล้วก็กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น หัวใจของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
คนที่ซื่อจื่อเกลียดที่สุดก็คือนังผู้หญิงที่จมปลักอยู่กับความรักคนนั้น
แล้วทำไมวันนี้เขาถึงมองนางด้วยสายตาเช่นนั้นเล่า ดูราวกับว่าเขาจะชอบนางจริงๆ…
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นอัปลักษณ์และไม่มีอะไรดีสักอย่าง
หากตระกูลเฮ่อเหลียนไม่ได้มีชื่อเสียงมานานหลายปี แล้วผู้หญิงชั้นต่ำอย่างนั้นจะอยู่ในสายตาของซื่อจื่อได้อย่างไร
“พี่สาวน้องสาว พวกเราอยู่อย่างเงียบๆ และไม่ทำให้ใครต้องทุกข์ใจ จนร้องห่มร้องไห้รีบไปฟ้องท่านปรมาจารย์เถอะ” ฟางถิงถิงพูดเช่นนี้ก็เพราะนางต้องการจะย้ำเตือนมู่หรงฉางเฟิงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นผู้หญิงแบบไหน
หลังจากนั้น มู่หรงฉางเฟิงก็ขมวดคิ้ว และสีหน้าหล่อเหลาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความรังเกียจ
ในทางกลับกัน เฮ่อเหลียนเหมยนั้นกลับพูดจายโสโอหังกว่า “หากนางจะฟ้อง ก็ให้นางฟ้องไปสิ ใครกลัวนางกัน ในโลกใบนี้จะต้องมีความยุติธรรมสิ”
“น้องสาม” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเหมยอีกครั้ง ดวงตาของนางรื้นไปด้วยหยาดน้ำ ขนตายาวของนางลดต่ำลง ราวกับเป็นคนจิตใจดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว หัวใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ฟางถิงถิงหัวเราะเบาๆ “เจียวเอ๋อร์ เจ้าอย่าปล่อยให้แมลงวันที่บินว่อนอยู่ที่นี่มีอิทธิพลต่อความคิดของเจ้าเลย องค์ชายสามกำลังจะมาแล้ว และเจ้าก็เป็นเพียงคนเดียวที่เคยติดต่อกับเขาในวังมาแล้ว พวกเราต่างก็รอฟังข่าวดีของเจ้าอยู่”
“พี่ฟาง” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์บิดเท้าอย่างเขินอาย หลังจากนั้น นางก็หันศีรษะไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และยังคงหาวอย่างเกียจคร้าน นางรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงแม้ว่านี่คืองานคัดเลือกพระชายา แต่ทุกคนก็ต่างรู้ดีแก่ใจว่าพวกเขามีคนที่กำหนดไว้อยู่แล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมต้องเลือกเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อย่างแน่นอน ดังนั้น งานเลี้ยงนี้จึงเป็นเพียงเรื่องของพิธีการเท่านั้น
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้อาวุโสคนนั้นคาดการณ์เอาไว้ ชายผู้นั้นเกิดในตระกูลราชวงศ์ และเขาให้ความสำคัญกับการปกครองมากที่สุด
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่ได้มีแค่พรสวรรค์และรูปลักษณ์ที่งดงามเท่านั้น แต่อำนาจและอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังนางก็ไม่อาจมองข้ามได้ เมื่อพิจารณาจากจุดนี้ องค์ชายสามก็จะต้องเลือกนางอย่างแน่นอน
แต่แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้สนใจการคัดเลือกพระชายาในวันนี้มากนัก นางเพียงมาร่วมงานด้วยเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่สำคัญและไม่เกี่ยวข้องกับนางเลย อย่างน้อย เพียงแค่นางปรากฏตัวในงานเลี้ยงเช่นนี้ ก็ถือว่านางไม่ได้ทำให้ปรมาจารย์ที่ต่อสู้เพื่อนางผิดหวังแล้ว
เมื่อใกล้ถึงเวลา เหล่าอาจารย์ก็นั่งบนเก้าอี้ของตนเอง และขนมอบร้อนๆ ก็ถูกจัดเตรียมไว้อย่างประณีต
แต่องค์ชายสามในตำนานที่จะมาเลือกพระชายานั้น กลับยังไม่ปรากฏตัวออกมา
มันช่างสอดคล้องกับประโยคทีพูดกันว่า ‘ความเย่อหยิ่งของฝ่าบาทผู้สูงส่งนั้นมักจะยิ่งใหญ่เสมอ’
ในขณะที่ผู้คนกำลังคิดเช่นนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก “องค์ชายสามเสด็จแล้ว”
ทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบสงบลงในทันที ทุกคนต่างหันไปมองตรงทางเข้า รวมทั้งเฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ค่อยๆ หันศีรษะของตนไปทางนั้นด้วยเช่นกัน
ในขณะที่เงาร่างสูงของคนๆ หนึ่งปรากฏขึ้นตรงประตูทางเข้า แสงจันทร์จางๆ ก็ส่องกระทบลงบนด้านข้างหน้ากากสีเงินของเขา
ดูราวกับเทพจากยุคโบราณที่เสด็จลงมาอย่างสง่างามและเยือกเย็น
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีดำ ด้านในนั้นเป็นชุดขี่ม้าสีม่วง กางเกงขายาวของเขาถูกยัดเข้าไปในรองเท้าบูทสีดำ และเสื้อคลุมราคาแพงนั้น ก็ถูกปักด้วยด้ายสีเงินเป็นลายเมฆและมังกร มันดูประณีตบรรจงและพิเศษมาก ราวกับเป็นภาพวาดหมึกจีน ผมหยักศกของเขากระจายอยู่ด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้ดูคล้ายกับผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำ มันกลับทำให้เขาดูดี และเฉื่อยชายิ่งกว่าปกติเสียอีก
ท่วงท่าของเขาทำให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็รู้สึกตกตะลึง
สายตาที่ประหลาดใจและคำอุทานอย่างชื่นชมของพวกเขา ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ กับเขาเลยแม้แต่น้อย
ท่าทีของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และดูราวกับว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น ดวงตาสีดำราวกับบ่อน้ำโบราณคู่นั้นดูลึกลับจนเหมือนไร้ก้นบึ้ง และนั่นก็ดึงดูดให้ผู้คนรู้สึกหลงใหลได้เช่นกัน
ชายผู้นี้มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้เขาได้ และเขาก็มักจะมีท่าทีเฉยเมยและอยู่บนที่สูงอย่างสันโดษเสมอ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หลงใหลในรูปลักษณ์ของเขามากที่สุด ทุกคนต่างก็โค้งคำนับกันอย่างเป็นระเบียบ รวมทั้งตัวนางเองด้วยเช่นกัน กระโปรงยาวปักลายดอกทานตะวันสีขาวบริสุทธิ์นั้น ตัดกับดวงตาคู่สวยของนางที่ดูราวกับมีหยาดน้ำกำลังจะหยดลงมา “ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ทำเช่นนี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่านางแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ และเป็นการบอกกับทุกคนว่านางเคยมี ‘ความสัมพันธ์’ กับองค์ชายสามมาก่อน
จิ้งอู๋วั่งหัวเราะเสียงดัง เมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็ดูมีความเคารพอย่างมาก “ฝ่าบาท โปรดนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร นัยน์ตาที่อยู่ใต้หน้ากากสีเงินนั้นดูเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ และเมื่อสายตาทอดไปถึงมุมห้อง เขาก็ดูราวกับกำลังไตร่ตรองบางอย่าง
ขันทีซุนจดจ่อกับปฏิกิริยาของฝ่าบาทผู้นี้อยู่ตลอดเวลา เขาเกรงว่าจิ้งอู๋วั่งอาจจะพูดจาไร้สาระขึ้นอีก จนทำให้ฝ่าบาทต้องขับไล่เขาไปยัง ‘ตำหนักเย็น’
ดังนั้น ในงานเลี้ยงนี้ เขาจึงเป็นกังวลยิ่งกว่าใคร บนหน้าผากของเขามีเหงื่อบางๆ ผุดออกมาแล้ว และตอนนี้ เมื่อเห็นว่าริมฝีปากบางของนายเหนือหัวเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มเสียทีเดียว เขาก็อยากจะคุกเข่าลงไปจนแทบทนไม่ไหวเสียเดี๋ยวนี้
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน
รอยยิ้มของนายท่าน ทำให้หนังศีรษะของเขาชาวาบไปหมดแล้ว!