ข่าวเรื่องคุณชายรองตระกูลเฮยอยากแต่งงานกับเฮ่อเหลียนเวยเวยแพร่สะพัดไปทั่วสำนักไท่ไป๋ในเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
ว่ากันว่าพอผู้อาวุโสเฮยได้ยินว่าคุณชายรองเฮยมีความคิดเช่นนี้ เขาก็โกรธมากจนเกือบจะขับไล่หลานชายคนโปรดออกจากตระกูลเลยทีเดียว
ทายาทของตระกูลเฮยผู้ยิ่งใหญ่จะแต่งงานกับคนไร้ค่าน่าอับอายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
นี่ช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ
“ฝ่าบาทอาจจะยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ สำนักไท่ไป๋เริ่มวุ่นวายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนส่ายศีรษะขณะที่เล่าถึงข่าวลือที่ตนเองได้ยินมา “ฝ่าบาทคิดว่าคุณหนูจากตระกูลเฮ่อเหลียนมีความสามารถอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ทำไมคุณชายเฮยถึงได้ชื่นชอบหญิงสาวที่หน้าตาดำคล้ำเช่นนั้นกัน”
แกร๊ง
ทันใดนั้น ตัวหมากรุกสีดำก็ร่วงลงบนกระดานหมากรุกเสียงดัง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน เขาตัวสูงตระหง่านราวกับต้นสน และดูไม่แยแสสิ่งใด ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
ขันทีซุนตกตะลึง มือของเขาที่กำลังรินน้ำชาอยู่นั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศ ตอนนี้ ฝ่าบาทกำลัง… โกรธเช่นนั้นหรือ
ทำไมกัน
ขันทีซุนย้อนคิดว่าตนเองทำอะไรผิด หรือจะเป็นเพราะว่าเขายอมรับคำเชิญของหอชั้นเลิศโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นนั้นหรือ
อืม ไม่ถูกต้อง เพราะฝ่าบาทเองก็ตกลงเข้าร่วมด้วย
แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกเช่นนั้นหรือ
ขันทีซุนคิดไม่ออกว่าปัญหาเกิดจากอะไรกันแน่ ในขณะนั้นเอง หนานกงเลี่ยที่ดูผ่อนคลายก็หัวเราะออกมาอย่างร้ายกาจ “คนบางคนยังไม่ทันได้มองดู หรือลูบสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่ตนเองสนใจเลย อ่า ข้าอยากจะเห็นเร็วๆ แล้วสิว่าเขาจะทำอย่างไร”
“ท่านปุโรหิต ท่านกำลังพูดถึงใครหรือ” ขันทีซุนรู้สึกงุนงง ขณะที่มองดูอัจฉริยะในการทำนาย และเลิกคิ้วของตนเองขึ้นเล็กน้อย “การตามหาเขาคนนั้นให้เจอจะช่วยแก้ปัญหาในครั้งนี้ได้หรือไม่”
หนานกงเลี่ยกระแอมไออย่างหนักสองครั้ง เขานึกขึ้นได้ในตอนนั้นเองว่าตนเองยังทำนายดวงชะตาจากสวรรค์อยู่ เขาจึงโบกมือเป็นวงกว้างและสวดภาวนาต่อไป
ณ หอสามัญ
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังนอนอยู่บนโต๊ะไม้ตามปกติ และเล่นกับส่วนประกอบอาวุธต่างๆ อยู่
ศิษย์ที่อยู่รอบๆ ต่างมองนางด้วยสายตาครุ่นคิดพร้อมกับกระซิบกระซาบกัน
พอเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น คนเหล่านั้นก็หลบสายตาอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมเวลาสบตากับหญิงสาวไร้ค่าคนนี้ ถึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นนี้
จริงๆ แล้ว เวยเวยไม่ได้มีเจตนาอื่น นางแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ วันนี้พวกเขาดูตื่นเต้นจนผิดปกติ
แต่ก่อนที่นางจะอ้าปากถาม ก็มีคนมาบอกว่าองค์ชายสามต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขา ซึ่งเป็นผืนที่ถูกลมพัดไปก่อนหน้านี้และน่าจะซักใหม่เรียบร้อยแล้ว
คนที่รักความสะอาดจะยึดติดกับของใช้ส่วนตัว เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจดี
ดังนั้น ครั้งนี้ เวยเวยจึงไม่ได้ขายผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอีก หลังจากที่ซักมันแล้ว นางก็นำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกมาและเดินตามเงาทมิฬไปยังหอชั้นเลิศ
เสียงไม้ไผ่ที่กระทบกันดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเสียงนกขมิ้นเขียวกำลังร้องจิ๊บๆ หมอกกำลังก่อตัวหนาขึ้น ภายใต้สะพานแกะสลักโค้งสีขาวหยกที่ทอดผ่านสระน้ำ แทนที่สภาพอากาศเช่นนี้จะหนาวเย็น แต่อากาศกลับร้อนอบอ้าว
ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะบริเวณใกล้ๆ นี้จะต้องมีบ่อน้ำร้อนอยู่อย่างแน่นอน
องค์ชายสามเป็นคนที่รู้จักการใช้ชีวิตอย่างสุนทรีย์จริงๆ
“ก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทเสด็จเข้าไปในวังเพื่อร่วมดื่มกับอดีตฮ่องเต้ และตอนนี้จึงยังทรงพักผ่อนอยู่ด้านใน คุณหนูเฮ่อเหลียนเชิญรับประทานของว่างก่อนเถิดขอรับ ข้าจะไปรายงานฝ่าบาทว่าคุณหนูเดินทางมาถึงแล้ว” เงาทมิฬช่วยพาเวยเวยไปนั่งบนเก้าอี้ไม้แกะสลักที่สวยงามในเรือนด้านนอก
ถัดจากเก้าอี้ตัวนั้นคือโต๊ะไม้ และบนโต๊ะไม้ก็มีขนมหวานและถั่วนานาชนิดวางอยู่อย่างบรรจงและน่าทานมาก แต่พวกมันดูราวกับว่าไม่เคยถูกผู้ใดสัมผัสมาก่อน นอกจากนั้น ยังมีกากระเบื้องสีม่วงที่วางอยู่ข้างๆ ถาดผลไม้อยู่ใบหนึ่ง ดอกบัวที่วางอยู่ด้านบนกานั้นถูกแกะสลักเอาไว้ด้วยเช่นกัน มันเป็นงานฝีมือที่ประณีตอย่างมาก ใต้กาน้ำชานั้นก็มีเตาร้อนขนาดเล็ก ไฟบนเตาร้อนนั้นไม่ได้มากเกินไป แค่พอให้ต้มน้ำได้พอดี
ทันใดนั้น เวยเวยก็รู้สึกหิวขึ้นมา นางจึงหยิบขนมขึ้นมากินโดยไม่ได้ขออนุญาต แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังขึ้นมาจากด้านใน
“ให้นางเข้ามา”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ฟังดูหลากหลาย ทั้งแหบห้าว และทุ้มต่ำ แต่ก็ยังฟังดูเย้ายวนอย่างมาก
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เงาทมิฬเดินนำเวยเวยเข้าไปด้านใน นางสามารถมองเห็นเงาของชายคนนั้นอยู่ไกลออกไปผ่านม่านที่กั้นอยู่
“เข้ามา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่บนพื้น บนร่างของเขาสวมชุดนอนสีดำที่ดูดี ครึ่งหนึ่งของเสื้อผ้าเต็มไปด้วยผมสีดำยาวหยักศกที่สยายลงมาทั้งสองข้าง
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไป นางก็เห็นว่าองค์ชายสามผู้สูงส่งกำลังนั่งอยู่บนพื้นสีน้ำตาล หลังของเขาเอนพิงกับเตียงไม้ ขายาวทั้งสองข้างยกชันขึ้น และแขนทั้งสองข้างของเขาก็วางอยู่บนเข่า แม้ว่าเขาจะอยู่ในท่าทางเช่นนี้ แต่ก็ยังดูทรงพลังอย่างมาก ท่าทางของเขาช่างดูสง่างามโดยไม่ต้องพยายามแต่อย่างใด
หลังจากที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาก็หันหน้าไปมองด้วยดวงตาเรียวยาวรูปหงส์ที่ดูมึนเมาเล็กน้อย ริมฝีปากบางของเขาเปิดออกก่อนจะปิดลงราวกับกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่าง
หางตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบไปเห็นสายตางุนงงของเวยเวย เขาจึงหยิบลูกอมที่ยังไม่ได้แกะเปลือกออกมาจากเสื้อคลุมและโยนให้นาง พร้อมกับพูดอย่างเฉยเมย “กินสิ”
ที่แท้เขากำลังกินตังกั๋ว[1]อยู่
แต่ว่า…
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูสิ่งของที่อยู่ในมือ ก่อนจะมองผู้ชายที่กำลังดึงปกคอของเขาอีกครั้ง นางค่อนข้างแน่ใจว่าองค์ชายสามกำลังเมาอยู่อย่างแน่นอน
ในฐานะที่เขาเป็นคนหวงตัว เขาจะไม่มีทางโยนขนมที่เขาพกติดตัว แล้วแบ่งมันให้กับผู้อื่นอย่างแน่นอน
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นว่าหญิงสาวไม่กินขนมที่ตนเองมอบให้ เขาก็มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉยและสุขุม ดูเหมือนว่าเขาจะจำนางได้ จากนั้น จึงพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันออกมา “อย่าเรียกข้าว่าฝ่าบาท” จากนั้นจึงหยุดชั่วคราว ก่อนที่น้ำเสียงของเขาจะแฝงความรู้สึกรำคาญใจ “พวกเจ้าทุกคนเอาแต่เรียกข้าเช่นนั้น พวกเจ้าร่วมมือกันหรืออย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
เขาเมาจริงๆ
ฝ่าบาท…ฝ่าบาทที่กำลังมึนเมาช่างน่ารักเกินไปแล้ว สวรรค์
เวยเวยมองเขาอย่างขัดใจ “ก่อนอื่น ข้าจะช่วยให้ท่านลุกขึ้นยืนได้ก่อน” จากนั้น นางก็ใช้โอกาสในขณะที่ไม่มีใครอยู่นี้ถอดหน้ากากเงินบนใบหน้าของเขา เพื่อดูว่าแท้จริงแล้ว หน้าตาของเขาเป็นอย่างไร
แต่นางไม่คิดว่า สุดท้ายแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะปัดมือนางทิ้งไปอย่างเฉยชา เขาลูบหน้าผากของตนเอง และดูระวังตัวอย่างมาก “ไปรินน้ำมา” น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้ง และทุ้มต่ำราวกับเชลโลชั้นดีที่กำลังบรรเลงอยู่ น้ำเสียงของเขาช่างงดงาม ล้ำลึก และกินใจเหลือเกิน
สมแล้วที่เขาเป็นองค์ชายสาม แม้จะเมา แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้ใครมาบงการได้ แม้แต่รังสีความเป็นผู้นำของเขาก็เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็ออกคำสั่งได้อย่างชัดเจน
การรินน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหยิบถ้วยมาและเทน้ำใส่ ก่อนยกมันให้กับเขา
อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้รับถ้วยนั้น เขาเพียงแค่ก้มศีรษะลงมาต่ำ คิ้วยาวของเขาขมวดแน่น ภายในดวงตารูปหงส์สีดำขลับนั้นมีเพียงความเงียบสงบ แต่ภายใต้แววตาของหญิงสาวนั้น กลับเผยให้เห็นความชั่วร้าย ท่าทีของหญิงสาวนั้นดูไม่แยแสหรือสนใจอะไรเลย “เจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงเชื่อฟังดีจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
นางวุ่นวายอยู่กับการไปตรงนั้นตรงนี้ แต่เขากลับยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางคือใคร
นางควรจะบอกว่าองค์ชายสาม คือ ‘พวกผู้ดีที่มักจะลืมมิตรภาพในอดีต’ หรือนางควรจะบอกว่าเขาดื่มมากเสียจนไม่มีสติแล้วกันแน่
แต่อย่างไรก็ตาม ผ้าเช็ดหน้าก็ถูกส่งคืนให้แล้ว และนางก็รินน้ำให้เขาแล้ว ดังนั้น นางควรกลับไปได้แล้วเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะลุกขึ้นยืน ข้อมือของนางก็ถูกมือของเขาดึงเอาไว้…
[1] ตังกั๋ว (糖瓜) เป็นขนมรูปแท่งที่มีความหนา 2 เซนติเมตร และมีโพรงตรงกลาง ถูกทำเป็นรูปแตงโมและบางครั้งก็มีงาบนพื้นผิว