เฮ่อเหลียนเวยเวยชมการแสดงนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
อ่า สำหรับนางแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงแค่แสดงละครให้รับชมเท่านั้น
เรื่องนี้เกิดขึ้นจาก ‘ความประมาท’ ของนางเอง
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนกลับเข้ามา และเมื่อเขาเห็นท่าทีเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็ผงะ และสัมผัสได้ว่าหน้าอกของตนเองเต้นระรัว ต้องมีใครบางคนมายั่วยุนายท่านของเขาอย่างแน่นอน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำเสียง ‘อืม’ อย่างเรียบเฉย ความเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากหน้ากากสีเงินนั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัว “ให้นางดูด้วยตัวเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนยื่นมือที่กำลังปิดไว้ เผยให้เห็นกล่องไม้ใบหนึ่งตรงหน้าเวยเวย
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ใบนั้น ลำคอของนางก็แข็งเกร็งเล็กน้อย
นี่มัน… ผ้าเช็ดหน้าที่นางขายไปแล้วไม่ใช่หรือ
เป็นไปได้อย่างไรกัน
เหตุใดนางถึงโชคร้ายจนถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้เล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าตนเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้นางยังเลือกขายให้กับร้านค้าที่อยู่ตรงเชิงเขา เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนรู้เรื่องนี้อีกด้วย…
“ทำไมหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืนจากม้านั่งหินและคลายแขนเสื้อของตนเองออก พร้อมกับเผยรังสีความเยือกเย็นออกมา “ผ่านไปแค่หนึ่งวัน แต่เจ้ากลับจำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ที่ปลิวไปกับลมไม่ได้เช่นนั้นหรือ”
เวยเวยสบถ ‘ซวยแล้ว’ อยู่ในใจ
ผู้ชายคนนี้ตั้งใจอย่างแน่นอน
เชอะ มันปลิวไปกับลมเสียที่ไหนกันเล่า
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีว่านางขายผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไป เลยมาหาเรื่องนางด้วยความโกรธเคือง
แต่ผู้ชายคนนี้รู้ได้อย่างไรว่านางขายผ้าเช็ดหน้า และยังจับนางได้อย่างคาหนังคาเขาเช่นนี้อีก
นี่คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบก่อนในการต่อสู้ใช่หรือไม่
ในยุคสมัยที่นางจากมา เมื่อใดก็ตามที่นางได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจ นางก็ไม่เคยทำผิดพลาดเช่นนี้มาก่อนเลย เฮ้อ…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเวยเวยยืนนิ่งอย่างจริงใจไม่แก้ต่าง และไม่โต้เถียงกลับ นางเพียงแค่ก้มหน้าอย่างหดหู่ ราวกับกำลังพ่ายแพ้ ท่าทีเช่นนี้ทำให้เขาคิดถึงวิธีที่องค์ชายเจ็ดใช้รับมือเวลาถูกท่านปู่ตำหนิ ใบหน้าที่แสดงออกถึงความเคารพนั้น ใครจะรู้ว่าในใจของเขากำลังวางแผนอะไรอยู่ เหมือนกับสุนัขจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ตัวนี้ ตอนแรกมันก็ยอมก้มหัวของมันให้เขาลูบ จากนั้น มันก็จะแว้งกัดทีหลัง จริงๆ แล้วมันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย หากเขาไม่ถอดกรงเล็บของนาง นางก็จะไม่รู้จักสถานะของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดจะขัดเกลานิสัยของสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของตนเองสักเท่าไหร่นัก
เพราะหากทำเช่นนั้น มันก็คงจะน่าเบื่อใช่ไหมเล่า
“ครั้งหน้า เวลาซักผ้าเช็ดหน้าก็ดูให้ดี และรอจนกว่าจะไม่มีลม จึงค่อยเอาไปตากให้แห้ง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเวยเวยขณะพูดขึ้น ราวกับว่าถ้อยคำเหล่านั้นคือความจริง “หากขันทีซุนไม่ได้เก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มา ก็อย่าคิดว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่เลย” นางเอาของที่เขามอบให้ไปขายต่อให้กับคนอื่นได้อย่างไรกัน
ขันทีซุนที่รับฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกงุนงงอย่างมาก เอ่อ เขาเป็นคนไปเก็บมันมาเสียที่ไหนกัน องค์ชายสามสั่งให้เขาไปซื้อมันมาต่างหาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และยกมือขึ้นมาเกาศีรษะของตนเอง เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากที่นางขายผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไปแล้ว จะมีลมพัดมันปลิวไปจริงๆ แล้วขันทีซุนก็เก็บมันไว้ได้
หากเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะถูกจับได้
โอ้ สวรรค์ ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเพราะความโชคร้ายและสภาพอากาศนั่นเอง
ทำไมฝ่าบาทต้องมีรสนิยมรักร่วมเพศด้วย ให้ตายเถอะ นางไม่อาจต่อกรกับพวกชายรักชายได้เลยจริงๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวใจของเวยเวยก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง หลังจากนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องเพคะ โชคดีจริงๆ ที่ขันทีซุนเก็บมันได้”
ขันทีซุน : …
ทำไมเขาถึงจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นคนเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ขึ้นมาเล่า
ทำไมคุณหนูคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนถึงพูดโกหกได้โดยที่ใบหน้าไม่แดงและหัวใจไม่เต้นแรงยิ่งกว่าองค์ชายของเขาเสียอีก
เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ฝ่าบาทเพิ่งยิ้มออกมา
ขันทีซุนขยี้ตาของตนเองอย่างแรง และเมื่อเขาตั้งใจมองดูอีกครั้ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กลับมาสู่ท่าทีอันเย็นชาและเฉยเมยแล้ว พร้อมกับโบกแขนเสื้อก่อนจะจากไป เสื้อคลุมยาวจนถึงข้อเท้านั้นส่งเสียงตามจังหวะการเดินของเขา ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ดูเหมือนเทพเจ้าที่ใครๆ ต่างก็จับตามอง ซึ่งแตกต่างจากเวยเวยที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังราวกับอยู่คนละโลก
พอองค์ชายสามจากไป ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินจากไปทันที
เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เดินผ่านเวยเวย นางก็ลดเสียงลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าขอแนะนำให้เจ้าทำตัวดีๆ อย่าคิดในเรื่องที่เจ้าไม่ควรคิด มิเช่นนั้น ข้าจะไม่เพียงแค่ให้คนขับไล่เจ้าออกจากตระกูลเท่านั้น แต่จะทำให้เจ้าไม่เหลืออะไรอีกเลย”
เมื่อเผชิญหน้ากับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เช่นนี้ เวยเวยทำเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองนางแต่อย่างใด
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็กัดฟันกรอด แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะพวกนางอยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก นางจึงไม่สามารถแสดงท่าทีใดๆ ที่จะทำลายภาพลักษณ์ได้ จากนั้น นางจึงรีบยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดอย่างอ่อนหวาน “พี่ใหญ่ แม้ว่าท่านจะไม่ใช่สมาชิกของตระกูลเฮ่อเหลียนแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นพี่น้องกันอยู่ หากท่านลำบากก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตั้งใจพูดให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยิน ทุกคนรู้ดีว่าองค์ชายสามนั้นชอบผู้หญิงที่จริงใจและมีเมตตา
อย่างน้อยคำพูดของนางก็น่าจะทำให้องค์ชายสามรู้สึกประทับใจ
และเป็นไปตามคาด
หลังจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองไปทางนางเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม และดวงตาคู่สวยใสราวกับสายน้ำของนางก็สบตากับเขา…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงแค่ยืนนิ่งๆ อยู่เช่นนั้นเพียงไม่กี่อึดใจก่อนจะหลบสายตาไปอย่างเฉยเมย เขาสะบัดแขนเสื้อ และยังคงมีกลิ่นหอมติดตัว กลิ่นตัวของเขาช่างหอมยิ่งนัก และมีพลังในการล่อลวงผู้คน
แม้ว่าเวยเวยจะเคยได้กลิ่นนี้จากในป่าวิญญาณมาหลายครั้ง แต่นางก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้สามารถทำให้หัวใจของหญิงสาวทั้งหลายเต้นระรัวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
แต่นางก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของหญิงสาวเหล่านั้น ดังนั้น เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แสดงความพึงพอใจออกมา นางจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
เฮยเจ๋อที่ไม่ได้พูดอะไรมาตั้งแต่ต้นจนจบ แผ่รังสีที่ดุดันขณะที่กำลังเดินเข้ามา และเมื่อเขาเดินผ่านเวยเวย มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย
ท่าทีของเวยเวยไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย นางลูบแมวสีขาวที่อยู่บนไหล่ของตนเอง ราวกับไม่รู้จักคุณชายรองตระกูลเฮย
“อ่า น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
คำพูดที่ฟังไม่เข้าใจของเฮยเจ๋อนั้นทำให้เพื่อนๆ ที่เป็นศิษย์ต่างก็หันมามองเขา “อะไรน่าสนใจขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอก” เฮยเจ๋อไม่สามารถละสายตาจากนางได้ขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า มุมปากของเขายังคงมีรอยยิ้มอยู่ตลอดและรอยยิ้มนั้นก็ไม่ได้ลดลงเลย
ต่อหน้าผู้อื่น พวกเขาต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักกัน ซึ่งนั่นเป็นข้อตกลงของพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพียงแต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าเวยเวยจะทำได้จริงๆ
หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่น ก็คงจะใช้โอกาสนี้ปีนเตียงของเขาแล้ว
ตรงกันข้ามกับนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ช่างแตกต่างจากข่าวลืออย่างสิ้นเชิง
บางที… นางอาจจะหมกมุ่นอยู่กับซื่อจื่อจากจวนมู่หรงอ๋องจริงๆ ก็เป็นได้
ทั้งๆ ที่ตระกูลเฮยของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจวนมู่หรงอ๋องเลยสักนิด
เฮยเจ๋อหรี่ตาสีน้ำตาลของตนเองลงช้าๆ หากใบหน้าของนางไม่ดำคล้ำจนเขาไม่อาจรับได้ เขาก็อาจจะส่งของขวัญไปให้ตระกูลเฮ่อเหลียนเพื่อขอหมั้นหมายนางไปแล้ว
แต่เดี๋ยวก่อน หากท่านพ่อของเขายืนกรานว่าอยากได้ลูกสะใภ้ เขาก็สามารถเลือกนางได้ นางไม่ใช่คนโวยวาย และไม่งี่เง่า รวมทั้งยังรู้จักหาเงินอีกด้วย การได้นางมาครอง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมเล่า
บางที เขาอาจจะต้องบอกให้ท่านพ่อได้รับรู้ถึงความคิดนี้เสียก่อน อืม ลองมาตัดสินใจในเรื่องนี้กัน
เขาอยากรู้นักว่าสหายศิษย์ในสำนักแห่งนี้ และผู้หญิงคนนั้นจะมีสีหน้าเช่นไรหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้
หึ เขาไม่สนใจปฏิกิริยาของคนกลุ่มแรกสักเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่สองนั้น … เขาสนใจอย่างมากเลยทีเดียว