“เสี่ยวไป๋ก็อยู่ข้างหน้านั่น” น้ำเสียงเกียจคร้านของหยวนหมิงส่งผ่านมาทางกระแสจิตของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรวบรวมพลังในร่าง จากนั้นจึงเพ่งสายตามอง พลางครุ่นคิดว่าในไม่ช้านี้พวกนางควรจะลงพื้นตรงไหนดี…
โชคร้ายที่องค์ชายสามยังไม่ยอมปล่อยให้นางรอดตัวไปได้ง่ายๆ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความอบอุ่นว่า “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย กลับมาด้วยตัวเองซะ แล้วข้าจะถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไม แต่เวลาที่นางได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางกลับรู้สึกเหมือนกับว่าภายในความเย็นชาเยี่ยงปีศาจร้ายของเขามีความเจ็บปวดเล็กน้อยแฝงอยู่
เจ็บปวดหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเหนื่อยเท่านั้น นางเองก็เหนื่อยไม่ต่างกัน จากตอนแรกที่นางเริ่มหลบหนี จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ นางปลอมตัวมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้ง อีกทั้งแต่ละบุคลิกลักษณะก็ล้วนแต่ทดสอบความสามารถในการปรับตัวอย่างกะทันหันของนางเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อเทียบกับทุกภารกิจที่นางเคยทำมา การเผชิญหน้ากับองค์ชายสามทำให้นางจำต้องรีดเค้นทั้งพละกำลังและสติปัญญาออกมาใช้เสียจนแทบจะถึงขีดจำกัดเลยทีเดียว
นอกจากนั้นเรี่ยวแรงของร่างที่นางใช้อยู่นี้ก็ไม่สามารถไล่ตามขีดจำกัดนั้นทัน
ดังนั้น ความปรารถนาเดียวที่นางต้องการในเวลานี้จึงมีแค่เพียงการไปจากที่นี่โดยเร็วเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดฟัน แล้วพยายามเดินหน้าต่อโดยใช้แรงของสัตว์อสูรบินได้ตัวนั้น แขนทั้งสองข้างของนางก็งอไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่นางเปลี่ยนท่า เมื่อนั้นสัตว์อสูรก็อาจจะทิ้งนางลงได้
หากเป็นเช่นนั้น แผนการทั้งหมดที่นางทำมาก็จะต้องสูญเปล่า!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ดวงตาเรียวแคบของตนเข้าหากันอย่างช้าๆ ราวกับหมดความอดทน ผมสีดำยาวของเขาแผ่สยายตามการเคลื่อนไหว ท่าทางของเขาเหมือนกำลังอัญเชิญอะไรบางอย่างให้ออกมาจากเงาที่ทอดตัวลงบนพื้นดิน
ในที่สุดสายลมก็หยุดพัด เมฆกลุ่มหนึ่งเริ่มก่อตัว
ที่ด้านหลังของเขามีก้อนเมฆสีแดงฉานราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดปรากฏขึ้น
องครักษ์เงาทุกนายหยุดเคลื่อนไหว ในเวลาเดียวกันนั้น แม้กระทั้งขันทีซุนก็ยังอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง มือของเขากุมหน้าอกแน่น
นั่น นั่นมันอะไรกัน!
มีบางอย่างอยู่ในเมฆก้อนนั้น?!
“กิเลนอัคคี!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนเช่นนั้นออกมา
ทันใดนั้นบรรยากาศทั่วทั้งสำนักก็พลันตกอยู่ในความเครียด!
โดยเฉพาะกับบรรดาลูกศิษย์ที่เฝ้าฝันถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ทุกเช้าค่ำ ดวงตาของพวกเขาต่างก็เบิกกว้างขึ้นทีละคนสองคน พวกเขามองภาพที่เหมือนมีเทพสวรรค์จุติลงมาบนโลกมนุษย์นั้นตาไม่กะพริบ
ว่ากันว่าไฟบนร่างของกิเลนอัคคีสามารถขจัดความชั่วร้ายทั้งปวงที่อยู่ในนรกได้
ไม่ว่าจะปีศาจหรืออสูร ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้มัน
แม้จะผ่านไปถึงสามภพสามชาติ แต่ไฟจากตัวมันที่ลุกโชติช่วงอยู่ข้างแม่น้ำวั่งชวนในแดนอเวจีก็ไม่มีทีท่าว่าจะดับลง
นี่คือความยิ่งใหญ่ของสัตว์อสูรบรรพกาล ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดมันได้!
แต่…
มันมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ากิเลนอัคคีไม่ใช่สัตว์ที่จะเห็นกันได้ง่ายๆ
มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกยากที่สุดในใต้หล้า
ไม่มีใครมีความสามารถมากพอที่จะทำให้มันยอมรับได้
แม้แต่องค์ชายสามในอดีต พอมันคิดที่จะทิ้งเขา มันก็ทอดทิ้งเขาไปโดยไม่ลังเล
มันเป็นสัตว์ที่ทั้งหยิ่งยโสและลึกลับ นานๆ ทีจึงจะปรากฏตัวขึ้นในป่าวิญญาณสักหน และไม่เคยมาที่สำนักมาก่อน
หรือว่า! เป็นเพราะฝูงสัตว์อสูรหรือ
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!
แม้ในอดีตนั้นองค์ชายสามจะเคยทำพันธสัญญากับกิเลนอัคคี แต่ต่อให้มีพันธสัญญาในอดีตอยู่ก็ไม่มีประโยชน์
มิหนำซ้ำในตอนที่กิเลนอัคคีปรากฏตัวออกมา การโจมตีแรกของมันก็ยังพุ่งตรงไปที่องค์ชายสาม
หากกิเลนอัคคีมาปรากฏตัวเพราะคำสั่งของเขา มันก็คงจะไม่ใช้วิธีปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหมือนอย่างในตอนนี้ แต่ควรจะไปยืนอยู่ข้างองค์ชายสามมากกว่า
เมื่อเห็นเปลวเพลิงที่จู่ๆ ก็ลุกโชนขึ้นมาใต้เท้าของพวกเขา บรรดาลูกศิษย์ต่างก็รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นยิ่งอยู่เหนือจากจินตนาการของพวกเขามากเข้าไปทุกที
มีเพียงขันทีซุนเท่านั้นที่หนังตากระตุกถึงสองครั้ง เขาหันไปหาผู้เป็นนาย และมองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
ชายหนุ่มเพียงค่อยๆ หมุนแหวนหยกสีดำที่นิ้วโป้งของตน ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย ท่าทางราวกับราชาที่เดินออกมาจากเปลวเพลิง
หัวใจของขันทีซุนเต้นโครมคราม
ฝ่า ฝ่าบาท พระองค์…
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกคำสั่งอีกครั้ง เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองขันทีซุน
สายตานั้นทำให้ขันทีซุนปิดปากเงียบ และกลืนความลับทั้งหมดกลับลงคอ แต่อารมณ์ความตื่นเต้นของเขานั้นยากจะข่มเอาไว้ได้!
ไม่ผิดแน่
ฝ่าบาทกำลังออกคำสั่งกับกิเลนอัคคี!
แต่ฝ่าบาทไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องนั้น ดังนั้นเมื่อครู่ตอนที่กิเลนอัคคีโผล่มา มันจึงโจมตีผู้เป็นนายเป็นคนแรก!
อันที่จริง กิเลนอัคคีกำลังรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง มันบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า พลางพ่นไฟออกไปสุ่มๆ ไม่มีใครนึกภาพออกหรอกว่าวินาทีที่มันถูกอัญเชิญออกมา ตอนนั้นมันตื่นเต้นเพียงใด
แต่!
สิ่งแรกที่นายท่านสั่งให้มันทำคือการพ่นไฟใส่เขาหรือ
คำสั่งนี้ไม่ต่างจากการทดสอบความจงรักภักดีของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่นิดเดียว!
ตอนแรกมันคิดที่จะขัดขืน แต่หลังจากพ่ายแพ้ต่อสายตาอันเย็นเฉียบที่จ้องเขม็งมาของผู้เป็นนาย มันจึงทำได้เพียงแสดงพลังของตนออกมาเพื่อข่มขวัญมนุษย์พวกนี้เท่านั้น
เมื่อเห็นบรรดามนุษย์ตัวจ้อยที่วิ่งไปวิ่งมาพร้อมกับกรีดร้องโวยวายอยู่ในขณะนี้ มันก็คิดเพียงแค่ว่าช่างน่าเบื่อหน่ายเสียไม่มี
นายท่านอัญเชิญมันออกมาทำอะไรที่นี่กันแน่
อยู่นิ่งๆ แล้วเล่นละครไปหรือ
เป็นไปไม่ได้
ความคิดของนายท่านไม่เคยเรียบง่ายถึงเพียงนั้น กิเลนอัคคีชำเลืองมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความขมขื่น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำเหมือนจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเพียงหลบเปลวไฟที่เข้ามาใกล้อย่างใจเย็นไม่รีบร้อน หลังจากนั้นจึงมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังของบรรดาองครักษ์ด้วยท่าทางเหมือนจะบอกว่า ‘ข้าอ่อนแอจะตายไป รีบมาคุ้มกันข้าสิ’
เมื่อกิเลนอัคคีเห็นดังนั้น มุมปากของมันก็กระตุกขึ้นอย่างแรงสองสามที ก่อนที่มันจะได้ยินคำสั่งแล่นเข้ามาในกระแสจิตน้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความลังเล มันชัดเจนหนักแน่นจนคนฟังต้องยอมศิโรราบ “ทำให้พวกสัตว์อสูรมีปีกพวกนี้กลับไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากกิเลนอัคคีได้ยินน้ำเสียงเย็นชาทรงอำนาจนั้น มันก็หันไปมองร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งอีกครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจยาวออกมา ช่างไม่สอดคล้องกันเอาเสียเลย ฝีมือการแสดงของเขาจะเก่งกาจเกินไปแล้ว
“ถ้าเจ้าชักช้า ข้าจะเด็ดปีกเจ้าทิ้งซะ”
น้ำเสียงของเขายังไร้ซึ่งความอบอุ่นเช่นเคย แต่แค่นั้นก็ทำให้กิเลนอัคคีถึงกับตัวแข็งทื่อ
ฟังสิฟัง ฟังให้ดี นี่สิถึงจะเป็นนายท่านตัวจริงเสียงจริง หึ
เจ้าพวกมนุษย์โง่เขลา องค์ชายที่อยู่ต่อหน้าพวกเจ้า และต้องการให้พวกเจ้าปกป้องน่ะเป็นแค่ภาพลวงตา! เฮ้อ แค่ภาพลวงตาเท่านั้น!
เพราะไม่กล้าตำหนิผู้เป็นนายไปมากกว่านี้ มันจึงรีบรุดบินขึ้นฟ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วบินจากไป
สัตว์อสูรบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่อย่างมัน จะปรากฏกายขึ้นมาเมื่อใดก็ยังคงสูงส่งเย็นชาราวกับเทพสวรรค์
แม้บรรดาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวจ้อยพวกนั้นจะร้องทัก แต่มันก็ไม่เคยคิดที่จะสนใจ มันเชิดหน้าขึ้น และเหยียบย่ำหัวใจของเจ้าพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยมานักต่อนัก
อย่างไรเสียเมื่อเป็นราชาก็ควรจะทำตัวให้สมเป็นราชา!
แต่ดูตอนนี้สิ สภาพของมันไม่ต่างจากนกอินทรีที่กำลังบินไล่จับลูกเจี๊ยบอยู่ ซ้ำยังต้องพยายามขู่เจ้าพวกสัตว์อสูรมีปีกพวกนี้ให้หวาดกลัวและถอยไปทีละตัวสองตัว
แต่มันเคยชินแล้ว
หากเทียบกับการที่นายท่านบังคับให้มันกินแต่ผัก และไม่อนุญาตให้มันประท้วงแม้แต่คำเดียว สภาพเช่นนี้ก็ยังน่าพอใจกว่ามาก… ใช่ มันน่าจะเป็นอย่างนั้น!
“พี่ใหญ่! ในที่สุดข้าก็ได้เจอพี่ใหญ่ในตำนานที่ทุกคนพูดถึงกันแล้ว!”
สัตว์อสูรบินได้พวกนั้นเห็นกิเลนอัคคีแล้ว ปีกของพวกมันก็กระพืออย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าพวกมันตื่นเต้นเพียงใด
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ มันก็เหมือนกับคนที่ได้เห็นศิลปินที่ตัวเองชอบมายืนอยู่ตรงหน้า
“พี่ใหญ่ ท่านมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรหรือ”
กิเลนอัคคีไม่อยากตอบเลยว่าข้าออกมานี่เพราะต้องการทำให้พวกเจ้ากลัวยังไงล่ะ คำพูดพวกนั้นฟังดูโง่เง่ายิ่งนัก ดังนั้นมันจึงทำได้แค่ส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา
สัตว์อสูรบินได้ตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ข้าขอจับมือท่านได้ไหม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยแทบจะทนฟังต่อไม่ไหว นี่มันเรื่องอะไรกัน โอ๊ย! ขนาดการได้พบดาราดังก็ยังไม่พูดถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ?!
แม้ว่ากิเลนอัคคีจะดูหล่อเหลาเอาการ แต่มันก็ยังเป็นสัตว์อสูร ความรักระหว่างสัตว์อสูรสองเผ่าพันธุ์มันไม่ได้มีจุดจบที่สวยงามหรอกนะ พวกเจ้าช่วยตั้งสติหน่อยได้ไหม เฮ้!
สิ่งที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกโล่งใจคือโชคดีที่สัตว์อสูรตนที่จับนางมานั้นค่อนข้างไว้ใจได้ทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น แล้วกำลังจะอ้าปากเอ่ยชมเจ้าสัตว์อสูรตัวน้อย
แต่แล้วนางก็เห็นว่ามันกำลังหน้าแดง ดวงตาทั้งสองข้างที่มองไปทางกิเลนอัคคีของมันเคลิบเคลิ้มคล้ายกับมีหัวใจสีแดงพุ่งออกมา แล้วกล่าวว่า “ข้าก็อยากไปทางนั้นเหมือนกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”