นางคุยกับใครอยู่
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้เช่นนี้ ความกังวลภายในใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็พุ่งขึ้นมาทันที
แต่ก่อนที่นางจะทันได้อ้าปากพูดอีกครั้ง หมอกกลุ่มหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นที่ไหล่ของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วค่อยๆ กลายร่างเป็นแมวสีขาวตัวหนึ่ง
บรรดาลูกศิษย์ในสำนักที่เห็นแมวสีขาวตัวนั้นต่างก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่องครักษ์จากเผ่าไป๋เจ๋อที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นถึงกับเบิกตากว้างไปตามๆ กัน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!
พวกเขาพร้อมใจกันร้องออกมาว่า “ฝ่าบาท?!”
อะไรนะ แท้จริงแล้วเจ้าแมวตัวเล็กตัวนี้เป็นองค์ชายของเผ่าไป๋เจ๋อหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไร?!
ทำไมมันถึงได้ตัวเล็กนักล่ะ
มันจะตัวเล็กถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ดูแล้วเหมือนมันจะไม่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วยซ้ำ แล้วมันจะเป็นองค์ชายของเผ่าไป๋เจ๋อไปได้อย่างไร!
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเหมยได้ยินคำที่พวกเขาใช้เรียกเจ้าแมว นางก็แสดงท่าทีคล้ายไม่เชื่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด “องครักษ์ ท่านไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม”
“ไม่ผิดแน่!” บรรดาองครักษ์หันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างตื่นเต้น และเดินเข้าไปหานาง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นึกอยากขวางพวกเขาเอาไว้ แต่ก็พบว่าไม่ทันการเสียแล้ว
เพราะบรรดาองครักษ์ต่างพากันไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วนั่นเอง พวกเขามองเจ้าแมวขาวตัวนั้นด้วยความประหม่าและกังวล “ฝ่าบาทมาอยู่ในร่างนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” แม้แต่ร่างจริงของเขาก็ยังถูกเปิดเผยออกมา!
เจ้าแมวขาวกวาดตามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบตัว ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุด “ใครบอกให้เจ้ายกทัพมา แล้วใครบอกเจ้าว่านางไล่ล่าสังหารข้า! หากไม่ใช่เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวย องค์ชายอย่างข้าคงพลาดท่าเสียทีให้กับสัตว์อสูรไปแล้ว พวกเจ้ายังโง่ให้คนพวกนี้หลอกใช้ ซ้ำยังถ่อมาถึงนี่เพื่อจับกุมตัวผู้มีพระคุณของเผ่าไป๋เจ๋ออีก พวกเจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนัก”
บรรดาองครักษ์ถูกตำหนิจนหน้าม่อยคอตก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากโต้แย้งด้วยซ้ำ ทันทีที่เสียงของเจ้าแมวขาวดังขึ้น ทุกความสงสัยที่มีต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยก็พลันถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น ไม่เพียงแต่นางจะไม่ใช่ฆาตกร แต่นางยังเป็นคนที่ปกป้องเชื้อพระวงศ์ของเผ่าไป๋เจ๋อเอาไว้อีกด้วย
ความจริงที่ว่ามานี้ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าทุกคนจนเกิดเสียงดัง ‘เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ’!
ในเวลานั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พลันหน้าซีดเผือดคล้ายจะเป็นลมหมดสติไป นางไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่พวกนางทำลงไปลับหลังนั้นกลับส่งผลให้เฮ่อเหลียนเวยเวยช่วยชีวิตขององค์ชายแห่งเผ่าไป๋เจ๋อเอาไว้ได้
จิ้งอู๋วั่งยิ่งตื่นตระหนกกว่านางเสียอีก เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับสายตาเคลือบแคลงที่จับจ้องมาที่ตนอย่างไรดี
“ในเมื่ออาจารย์จิ้งต้องการจะลงโทษข้าสำหรับความผิดนี้ เช่นนั้นก็เชิญลงโทษข้าได้เลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนหลังตรง พลางเหยียดยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส แม้นางจะสวมเสื้อผ้าสกปรกซึ่งตัดเย็บมาจากผ้าเนื้อหยาบ และใบหน้าเล็กๆ นั้นจะดำคล้ำจนเป็นสีเดียวกับถ่าน แต่นางกลับทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันอันยากจะอธิบายได้ “ข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย จะขอติดตามดวงวิญญาณในสงครามนับหมื่นนับพันของตระกูลเฮ่อเหลียนไปอย่างที่ทุกคนต้องการ!”
ได้ยินดังนั้น เสียงฮือฮาก็ดังไปทั่วบริเวณ
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะพูดจาได้อย่างเด็ดขาดเช่นนี้
ต่อให้จิ้งอู๋วั่งคิดที่จะประนีประนอม แต่เขาก็ไม่อาจหาข้อแก้ตัวใดมากล่าวอ้างได้
สิ่งที่นางทำอยู่คือการขอให้เขาตัดสินโทษของนาง เห็นได้ชัดว่านางทำเช่นนี้ก็เพื่อบีบบังคับให้เขาลงมือ!
ตอนนี้เขาเป็นตัวแทนของท่านเจ้าสำนักอยู่ และถ้าหากเขาทำอะไรผิดพลาดไปล่ะก็ ตำแหน่งของเขาเป็นอันได้ปลิวไปแน่
นับว่ายากทีเดียวกว่าที่ผู้อาวุโสจากทั้งสี่ตระกูลใหญ่จะยอมจับมือกันเพื่อกำจัดตู๋ซูเฟิง
และเปิดโอกาสให้เขาได้ไต่เต้าขึ้นไป
แต่ปัญหาน่ารำคาญที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนในราชวงศ์มีเหตุผลที่จะเรียกตัวตู๋ซูเฟิงกลับมาอีกครั้ง
หากเฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่คิดที่จะอ่อนข้อให้เขาอย่างนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกยัดเยียดด้วยข้อหาไม่ให้ความเป็นธรรมต่อลูกศิษย์ และเมื่อถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่ตำแหน่งตัวแทนเจ้าสำนักเลย แม้แต่ตำแหน่งอาจารย์ที่ปรึกษาประจำหอชั้นเลิศก็คงหายไปเช่นกัน!
ตอนที่มู่หรงฉางเฟิงผลุนผลันเข้ามา และเห็นภาพที่เกิดขึ้น สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สตรีเพียงนางเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขารู้สึกว่าภาพแผ่นหลังอันเด็ดเดี่ยวของนางช่างดูเปล่งประกายเสียจริง
ทันใดนั้นหัวใจที่เคยด้านชาของเขาก็ดูเหมือนจะเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ
แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินสถานการณ์ในเวลานี้ของเขาแต่อย่างใด
จิ้งอู๋วั่งเป็นหมากที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างจวนอ๋องมู่หรงกับตระกูลซู เป็นหมากที่เอามาวางไว้ในสำนักไท่ไป๋ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน
หลังจากผ่านพ้นความยากลำบากมามากมาย ในที่สุดเขาก็ถูกนำมาใช้ ในเวลาสำคัญเช่นนี้ จิ้งอู๋วั่งจะถูกจับกุมด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ และจะถูกนำมาใช้ต่อต้านพวกเขาได้อย่างไร!
แต่จิ้งอู๋วั่งกลับไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เลย ในเวลานี้เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าเขาจะตอบว่าอะไรออกไป ก็ดูเหมือนจะผิดไปเสียหมด สถานการณ์นี้เหมือนกับว่าเขากำลังถือเผือกร้อน[1]เอาไว้ในมือไม่มีผิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อย ครั้งนี้นางคงจะสามารถปิดปากคนที่เคยมีส่วนหัวเราะเยาะนางมาตลอดหลายปีลงได้เสียที!
บรรยากาศโดยรอบชะงักไปในทันที
ลูกศิษย์ทุกคนล้วนแต่กำลังรอดูว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร
“เวยเวย ตอนนี้ความจริงก็เปิดเผยออกมาแล้ว องค์ชายสามก็อยู่ที่นี่ด้วย และคงจะมีคำตัดสินอยู่ภายในใจแล้ว อาจารย์จิ้งย่อมไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะตัดสินได้”
น้ำเสียงไพเราะมีจังหวะจะโคนดังขึ้นทำลายความเงียบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมอง และเห็นเพียงมู่หรงฉางเฟิงยืนอยู่ด้านหลังนางด้วยสีหน้าเฉยชา ในเวลาเดียวกันนั้น สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และจิ้งอู๋วั่ง หลังจากนั้น เขาจึงเสมองไปทางอื่นโดยไม่เผยความอยุติธรรมให้ใครได้เห็น แต่ประโยคสั้นๆ นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะขับไล่ทุกความกดดันที่จิ้งอู๋วั่งเคยมีให้หายไป
สายตาโกรธเกรี้ยวของเฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องเขาเขม็ง ครั้งที่สองแล้ว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเข้ามาขัดขวางแผนการของนาง
เมื่อมู่หรงซื่อจื่อเป็นคนเอ่ยปาก ทุกคนย่อมยอมรับฟัง
นี่คือเครือข่ายความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างคนในสังคมชั้นสูง
หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นต่อให้ความจริงเป็นเช่นไรก็ไม่สำคัญ
ครั้งหนึ่งเขาเคยให้คำสาบานที่โถงบรรพบุรุษว่าจะอยู่เคียงข้างนางด้วยความภักดีมิเสื่อมคลาย
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะมีฐานะสูงส่งหรือต่ำต้อยก็ล้วนแต่รู้ว่านาง เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นว่าที่คู่ครองในอนาคตของมู่หรงฉางเฟิง
แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สนับสนุนนาง ตรงกันข้าม เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับกลายเป็นดาบอันคมกริบที่พร้อมจะแทงนางข้างหลัง และสังหารนางอย่างไร้ความปรานี
ทุกคนกล่าวว่านางเอาแต่ตามตอแยเขา บ้างก็ว่านางไม่คู่ควรกับเขา แต่ไม่มีใครสักคนที่จำได้ว่าใครกันแน่ที่เพียรมาเยี่ยมเยียนคฤหาสน์ผู้พิทักษ์เพียงเพื่อจะเล่นกับนาง
ที่จริงแล้วตอนนั้นเป็นเขาต่างหากที่อุ้มนางขึ้นไปบนยอดเขา แล้วสัญญาว่าจะมอบทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดให้กับนาง
แต่ตอนนี้ เขากลับปล่อยมือนาง แล้วโยนนางลงจากเนินเขาโดยไม่สนใจเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะของนางเลย
เพื่อรวบรวมอำนาจของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น มู่หรงฉางเฟิงถึงกับเลือกที่จะปกป้องจิ้งอู๋วั่ง ปกป้องเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แล้วทอดทิ้งนาง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกรังเกียจและชิงชังสุดหัวใจ
แต่มู่หรงฉางเฟิงเข้าใจผิด และคิดว่านางกำลังรำลึกความหลังอยู่ ดังนั้นสายตาของเขาจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย
จิ้งอู๋วั่งที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้ว่ามู่หรงฉางเฟิงกำลังหาทางลงให้กับเขา เขาจึงเอ่ยขึ้นในทันทีว่า “ซื่อจื่อพูดถูก ข้าเป็นเพียงอาจารย์ประจำวิชาพลังปราณ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าโทษใดสมควรหรือไม่สมควร”
พอพูดจบ เขาก็หันไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “ทำไมเราไม่ให้องค์ชายสามเป็นผู้ตัดสินเล่า”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินดังนั้น นางก็พลันรู้สึกว่าทุกอย่างดูสิ้นหวังไปเสียหมด คนในราชวงศ์ล้วนแต่เป็นเลิศด้านการแสร้งทำเป็นปิดหูปิดตา กับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ องค์ชายสามย่อมเข้าข้างจิ้งอู๋วั่งอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นพระชายาที่เขาเลือกก็อยู่ฝั่งนั้นด้วย
อีกทั้งบรรดาคุณหนูคุณชายจากตระกูลขุนนางพวกนั้นก็ล้วนแต่เข้าใจกฎข้อนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นย่อมไม่มีใครยอมช่วยพูดแทนนาง
เมื่อคิดดูให้ดี ก็รู้ได้ทันทีว่ามีแค่นางที่ต่อสู้อยู่เพียงลำพัง…
ความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่างดี แต่แล้วนางก็เห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระโดดลงมาจากหลังม้า ที่ใบหน้าของเขายังมีหน้ากากสีเงินสวมอยู่ ร่างที่อยู่ในชุดอันหรูหรามั่งคั่งดูหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง คิ้วและขนตาหนาเป็นแพ ดวงตาสีดำลึกล้ำทำให้ทุกคนหลงใหลไปกับมนต์เสน่ห์…
[1] เผือกร้อน เป็นสำนวน หมายถึง เรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยาก เหมือนเผือกร้อนๆ ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่าๆ