ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวของคนคนนั้นก็ดังไปทั่วสำนัก “ข้าพูด ข้าพูดแล้ว” ใบหน้าที่เจ็บปวดของเขาซีดเซียว และทั้งร่างกายของเขาก็หมดเรี่ยวแรง “วันนั้น เจ้าไม่ได้ตัวติดกับข้า คือ คือ…”
ชายคนนั้นมองไปรอบๆ และยังคงคิดว่าจะมีใครบางคนสามารถช่วยเขาได้
แต่เขาประเมินความร้ายกาจของเฮ่อเหลียนเวยเวยต่ำไป
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังประเมินการมีอยู่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่ำไปด้วย เพียงแค่องค์ชายสามชำเลืองมองพวกเขา ผู้คนที่ต้องการจะก้าวไปข้างหน้า ก็ได้แต่ถอยหลังกลับไปอย่างเชื่อฟัง
ชายคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหลับตาลงอย่างอึดอัด “ข้าเองที่เป็นคนพูดจาดูหมิ่นเจ้าก่อน ดังนั้น เจ้าจึงทุบตีข้า”
ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ฮือฮากันยกใหญ่
สายตาที่มองเฮ่อเหลียนเวยเวยแตกต่างไปจากเดิม
แม้แต่ดวงตาของมู่หรงฉางเฟิงก็ยังดูตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่รู้จริงๆ ว่าวันนั้นจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หัวใจของเขาอ่อนโยนลงอย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้
นางต้องทนทุกข์ทรมานกับความขมขื่นเช่นนี้ เพราะเขาเองน่ะหรือ
เขาควรจะมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับอีกฝ่ายตามความต้องการของนางหรือไม่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงฉางเฟิงก็อ้าปากและเรียกชื่อ “เวยเวย”
ทันใดนั้น เวยเวยก็ยิ้มออกมา และพูดขัดจังหวะเขาอย่างเย็นชา “ซื่อจื่อ ข้าไม่ได้เขียนจดหมายที่อยู่ในมือของท่าน ทีหลัง ก่อนที่จะพูดอะไรต่อหน้าคนอื่น ก็ดูให้แน่ใจก่อนว่าใครคือคนที่ท่านกำลังมองหา หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็หลีกทางไป การที่ท่านยืนอยู่ตรงนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกไม่อยากอาหารเลยจริงๆ”
พอนางเห็นใบหน้าของไอ้เศษสวะคนนี้ นางจะรู้สึกคลื่นไส้ทุกครั้งเลยจริงๆ
ขณะที่พูด นางก็ผลักคนที่อยู่ในมือออกไปด้านข้าง โดยไม่แม้แต่จะมองใบหน้าอันหล่อเหลาของมู่หรงฉางเฟิงเลยแม้แต่น้อย
“เฮ่อเหลียนเวยเวย ฝากไว้ก่อนเถอะ” ชายคนที่ถูกทรมานและหมดแรงคนนั้นถอยหลังกลับไปทีละก้าว ดูขบขันอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่คิดว่าแผนการที่วางไว้อย่างรอบคอบของตนเองจะลงเอยเช่นนี้
นางเป็นคนที่ปลอมลายมือของเวยเวย แต่เพราะการทุบตีของนาง จดหมายฉบับนั้นก็ไร้ประโยชน์ไปเลย
หนำซ้ำ มันยังช่วยให้นังแพศยาคนนี้รอดตัวจากเรื่องเมื่อปีที่แล้วด้วย
ความพยายามที่ล้มเหลวเช่นนี้ช่างน่าหงุดหงิดใจจริงๆ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดฟันจนรู้สึกเจ็บ นางคิดว่าต่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ใจของนางที่ชอบมู่หรงฉางเฟิงนั้นจะยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เพราะในอดีต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับมู่หรงฉางเฟิง นังแพศยานั่นก็จะอดทนอดกลั้นได้
แต่ตอนนี้…
หากไม่ใช่เพราะใบหน้าของนางยังเหมือนเดิม เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็คงจะสงสัยว่าเวยเวยคนนี้ถูกเปลี่ยนตัวเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน
“คุณหนูตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้ทำร้ายร่างกายคนอื่นได้โหดร้ายจริงๆ” ขันทีซุนลูบหน้าอกของตนเอง “ตอนที่ดูเหตุการณ์นั้น หัวใจของข้าน้อยก็สั่นสะท้านไปด้วยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง ‘อืม’ เบาๆ พลางมองร่างคนโหดร้ายที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มในดวงตาของเขา
ขันทีซุนกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอ่อ เขาดูผิดไปหรือไม่ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าฝ่าบาทของเขาอารมณ์ดีกว่าเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน
“เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ!”
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง มู่หรงฉางเฟิงดูราวกับว่าจะใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาเสียงของตนเองเจอ เขาสะบัดแขนเสื้อของตนเองอย่างฉุนเฉียว กรามล่างของเขาขบกันแน่น และดวงตาคู่นั้นก็ราวกับกำลังถูกกรีดแทง เขารู้สึกสูญเสียอย่างน่าแปลก
เขาไม่คิดเลยว่านางจะไม่ชอบเขาอีกต่อไปแล้วจริงๆ
เขามักจะคิดมาตลอดว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ พฤติกรรมของนางเป็นเพียงกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ และจะได้จับเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของนางในวันนี้ มู่หรงฉางเฟิงก็ตระหนักได้ว่านางเห็นเขาเป็นเพียงตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น
ในอดีตนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ดวงตาที่ดูหลงใหลคู่นั้น ก็จะติดตามเขาไปทั่วทุกที่ที่เขาไป
แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว นอกจากมู่หรงฉางเฟิงจะไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างที่คิดไว้ แต่เขากลับรู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่กดทับที่หน้าอกของเขาทำให้หายใจไม่ออกอีกด้วย
คุณหนูจากตระกูลขุนนางบางคนที่ชื่นชอบมู่หรงฉางเฟิงนั้นไม่อาจยืนอยู่เฉยได้อีกต่อไป จึงพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ก็แค่นังผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่านางเขียนจดหมายฉบับนั้นหรือไม่หรอก มู่หรงซื่อจื่อมาที่นี่เพียงเพราะว่าได้รับจดหมายนั่นก็เท่านั้น ซื่อจื่อไม่ได้สนใจนางด้วยซ้ำ แต่นางก็ยังหลงตัวเองราวกับเป็นคนสำคัญ ช่างเกินไปแล้วจริงๆ”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า เจ้าดูท่าทางจองหองของนางในตอนนี้สิ ช่างเป็นตัวอย่างของคำว่า ‘นิสัยเสีย’ จริงๆ พวกเจ้าคอยดูเถอะ ไม่มีคุณชายคนใดมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับนางหรอก”
เวยเวยขี้เกียจตอบโต้กับคนเหล่านี้ นางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมของตนเอง และกินอาหารต่อ รอให้อดีตฮ่องเต้เสด็จมาและเริ่มเปิดพิธีในงานเลี้ยงสักที
เฮยเจ๋อมองท่าทีของนาง แล้วริมฝีปากบางของเขาก็โค้งขึ้น จะทำอย่างไรดี ราวกับว่ายิ่งเขามองนางมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากได้นางมาครองมากขึ้นเท่านั้น
เพียงแค่… ใบหน้านั้น
เฮยเจ๋อขมวดคิ้วแน่น เขายังต้องครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย
น่าเสียดาย จิตใจของเขาถูกรบกวนมากเกินไป จนไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังมองเขาอย่างไม่พอใจนัก และกำลังบอกเรื่องราวทุกอย่างข้างหูของชายชรา
ตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ก็ถูกจับตามองอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะต้องการมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่มีทางที่จะยื่นมือของเขาออกไปได้…
ราวกับว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เฮยเจ๋อ จะรับรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย สายตาของเขาจมลึกลงไปเรื่อยๆ ราวกับบ่อน้ำโบราณที่สงบนิ่งและลึกลับ และกำลังมีคลื่นน้ำเคลื่อนไหว แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วภายใต้ความมืดมิดของราตรีกาล
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นที่ประตูลานกว้าง
“อดีตฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”
เสียงแหลมสูงดังไปทั่วท้องฟ้า เฮ่อเหลียนเวยเวยมองออกไปไกลๆ และเห็นเพียงสีทองอร่ามเท่านั้น
เสื้อคลุมบนร่างกายของอดีตฮ่องเต้นั้นโบกสะบัดทำให้เกิดเสียงลม ท่วงท่าของเขาดูสง่างามและสูงส่งจนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจทำได้ เขานั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นจนทำให้เขาดูสูงขึ้นกว่าเดิมมาก แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ดูเรียวและงดงาม จนพอจะมองออกว่าเมื่อตอนที่เขายังหนุ่มจะต้องเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา และน่าดึงดูดใจอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้
ด้านหลังของเขาคือมู่หรงฮองเฮา ท่านป้าของมู่หรงฉางเฟิง ว่ากันว่าหลังจากที่นางเข้าวังในปีนั้น ฮองเฮาองค์ก่อนก็สิ้นพระชนม์ ในเวลาต่อมา นางก็ถูกเลื่อนขั้นเป็นฮองเฮา
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยแค่รู้สึกว่าคนตระกูลมู่หรงไม่ใช่คนดี อย่าถามว่าทำไม นางแค่มองคนจากตระกูลเท่านั้น!
นอกจากนี้ ฮองเฮาองค์นี้ก็ไม่ใช่มารดาที่ให้กำเนิดองค์ชายสามด้วย…
กล่าวสั้นๆ คือ ในวังแห่งนี้มีเรื่องยุ่งเหยิงเกิดขึ้น แม้ว่าจะมีกฏข้อบังคับที่ระบุว่าสาวใช้ในวังไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีข่าวรั่วไหลออกมาอยู่ดี เรื่องพวกนี้จึงไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด
เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ทุกคนก็ร้องตะโกนว่า “ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
บรรยากาศในงานชมดอกไม้นั้นก็ดูมีสีสันขึ้นมาทันตาเห็น
อดีตฮ่องเต้นั่งลงด้วยรอยยิ้มและยกมือขึ้นอย่างไม่ถือตัว “ลุกขึ้นเถิด ที่นี่ไม่ใช่วัง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
“เพคะ” คุณหนูทุกคนต่างตอบรับอย่างอ่อนหวาน และยืนอยู่ด้านหนึ่งอย่างเรียบร้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้น อดีตฮ่องเต้ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้น เขาก็หันมองไปยังชายหนุ่มผู้เย็นชาที่มีสีหน้าเฉยเมยมาตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วเคราของเขาก็กระพือขึ้นด้วยความโกรธ
ตู๋ซูเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเขาย่อมรู้ดีว่าอดีตฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดเตือนอย่างอ่อนโยนและมีมารยาท “พระองค์คิดเห็นว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ พวกเราควรจัดงานชมดอกไม้ต่อไปหรือไม่ ข้าน้อยลองมองดูแล้ว มีคุณชายหลายท่านที่ยังไม่ได้มอบดอกอิงฮวาสีขาวพ่ะย่ะค่ะ”
“จัดงานต่อไปเถอะ ให้พวกเขาได้สังสรรค์กันต่อ” อดีตฮ่องเต้เปลี่ยนท่าที และพูดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “เจ้าสาม เจ้าก็เลือกมอบดอกไม้ให้หญิงสาววสักคนสิ”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ทั้งนี้ ทุกปี องค์ชายสามไม่เคยมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้ใครมาก่อน และตอนนี้ อดีตฮ่องเต้ก็ได้ตรัสออกมาเช่นนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องมอบมันให้กับใครบางคน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่ก็คือการเลือกพระชายานั่นเอง!
ราวกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มั่นใจว่าเขาจะเลือกนาง ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยประกายของหยาดน้ำ และแก้มทั้งสองข้างก็แดงระเรื่อ…