คนที่สะดุดตาที่สุดยังคงเป็นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และกลุ่มของพวกนาง ได้แก่ คุณหนูเนี่ย เฮ่อเหลียนเหมย และในตอนนี้ คนในเมืองหลวงต่างก็รู้สึกอิจฉาหญิงสาวกลุ่มนั้น
ไม่เพียงแค่พวกนางจะมีพลังปราณที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ แต่รูปร่างหน้าตาของพวกนางก็งดงามยิ่งนัก ด้านหลังของพวกนางนั้นมีดอกอิงฮวาสีขาววางอยู่มากมาย
ด้านหลังของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มีดอกอิงฮวาสีขาววางอยู่จำนวนมาก จนเป็นกอง และเมื่อดูดีๆ ก็พบว่ามีดอกไม้อยู่มากกว่าสิบสองดอกเลยทีเดียว
นางไม่เคยเหลียวมองพวกมันเลย ตรงกันข้าม นางโบกพัดของตนเอง และยิ้มอย่างอ่อนโยน โดยไม่ได้สนใจที่จะหยิบพวกมันขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนต่างรอคอยดอกอิงฮวาสีขาวในมือของคุณชายผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นว่าจะเป็นของใคร โดยเฉพาะดอกไม้ในมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แม้ว่าองค์ชายสามจะเข้าร่วมในเทศกาลชมดอกไม้ทุกปี แต่พระองค์ก็ไม่เคยเผยใบหน้าของตนเองเลย แล้วนับประสาอะไรกับการมอบดอกอิงฮวาสีขาวให้ใครสักคนเล่า
แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ตั้งแต่ที่เขาเสด็จมา ก็หมายความว่าเขามีใครในใจที่จะมอบดอกดอกอิงฮวาสีขาวให้แล้ว
แน่นอนว่าทุกคนต่างก็คิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ แม้ว่าองค์ชายสามจะมาเพื่อมอบดอกไม้ เขาก็ต้องมอบมันให้กับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อยู่ดี พวกนางไม่มีความหวังเลย ดังนั้น พวกนางจึงพูดหยอกล้อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น และหันไปทางชายหนุ่มที่สูงศักดิ์และหล่อเหลาคนนั้น นางมองดูเขา ขนตาของนางกระพือเล็กน้อยขณะที่ตอบกลับอย่างอ่อนโยน “พวกเราเสียงดังกันเสียขนาดนั้น เกรงว่าตอนนี้ คงจะไม่มีใครเข้ามาแล้ว”
“โอ้ สวรรค์ จริงๆ แล้วน้องเจียวเอ๋อร์กลัวว่าจะไม่มีใครมา” คุณหนูตระกูลเนี่ยสัมผัสนางอย่างคลุมเครือ และใช้พัดปิดมุมปากของตนเอง “เจ้าได้ยินหรือไม่ น้องเจียวเอ๋อร์อยากให้พวกเจ้าลดเสียงลงหน่อย หากองค์ชายสามไม่เสด็จมา แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หน้าแดงระเรื่อ “เจ้า ผู้หญิงคนนี้ช่างคิดมากจริงๆ”
“น้องเจียวเอ๋อร์ ต่อให้ข้าจะคิดมากเท่าไหร่ ก็เทียบกับคนๆ นั้นไม่ได้หรอก” คุณหนูตระกูลเนี่ยใช้หางตาเหลือบมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังนั่งอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาเย้ยหยัน “ตั้งแต่มาถึงนางก็กินไม่หยุดเหมือนกับครั้งก่อนที่นางใช้วิธีนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากฝ่าบาทเลย”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่ได้ตอบคำถาม นางเพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นมา และจิบเล็กน้อย ภายใต้ดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายที่คนอื่นไม่อาจรับรู้ได้
เวยเวยไม่ได้กินอาหารต่อ นางเพียงแค่เล่นถ้วยชามในมือราวกับว่ามันคือชิ้นส่วนของอาวุธ พร้อมกับกำลังคิดเรื่องการเปิดสาขาที่สอง
แต่นางไม่คิดว่ามู่หรงฉางเฟิงจะเดินมาทางนาง พร้อมกับถือจดหมายในมือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมองอย่างเฉยเมย
มู่หรงฉางเฟิงสวมชุดคลุมยาวสีหยกปักลาย ดวงตาสีดำและผมสีดำขลับนั้น แสดงออกราวกับว่าเขากำลังช่วยเหลือนางครั้งใหญ่ น้ำเสียงของเขาไม่ได้ฟังดูอบอุ่นหรือเร่าร้อนขณะที่เขาเปิดปาก “ข้าอ่านหมายฉบับนี้แล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ สินะ”
อะไรที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เวยเวยเลิกคิ้วขึ้นและคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก คนๆ นี้จะต้องป่วยอย่างแน่นอน
คนสองคน คนหนึ่งก้มหน้าลง ส่วนอีกคนนั้นเงยหน้าขึ้น หากมองจากระยะไกลๆ ก็ดูเหมือนว่าพวกเขายังมีความรู้สึกค้างคาต่อกันอยู่…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ในศาลา มือที่กำลังถือถ้วยชาอยู่นั้นหยุดชะงัก ดวงตาทั้งคู่ของเขาราวกับเป็นขุมนรกที่ไม่สามารถมองเห็นก้นบึ้งของมันได้ เขาพยายามอย่างมากที่จะเก็บอาการ และควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ร่างกายของเขาเยือกเย็นมาก จนแผ่มวลความห่อเหี่ยวใจออกมาชัดเจน คล้ายกับน้ำแข็งและหิมะที่ปกคลุมด้วยฝุ่นเป็นเวลานาน…
บรรดาคุณชายและคุณหนูทั้งหลายต่างก็เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน
เฮ่อเหลียนเหมยปิดหน้าของตนเองและยิ้ม“เอาอีกแล้วสิ ไม่รู้ว่านางเขียนอะไรในจดหมายของปีนี้”
“จะเป็นอะไรไปได้เล่า ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าคำพูดที่หน้าด้านและไร้ยางอายแน่ๆ” เหล่าคุณหนูต่างก็หยิบพัดกลมของตนเองขึ้นมาปิดริมฝีปากขณะที่กำลังหัวเราะ พวกนางพูดจาเย้ยหยันกันอย่างต่อเนื่อง
ในขณะนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นและมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ไม่ไกลออกไป ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน “พวกเจ้าไม่ควรพูดจาเช่นนั้น พี่ใหญ่ชอบซื่อจื่ออย่างจริงใจ แค่วิธีการของนาง… ใจกล้าเกินไปหน่อยเท่านั้น”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สายลมเย็นพัดผ่านร่างกายของเขา จนนิ้วของเขารู้สึกเย็นยะเยือก
ขันทีซุนที่อยู่ตรงหน้าเขา และคอยรับใช้เขามาตลอดเริ่มพูดลอยๆ “เดิมที กระหม่อมคิดว่าการส่งจดหมายใน เทศกาลชมดอกไม้นั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อมู่หรงซื่อจื่อจริงๆ ใครจะไปรู้ บางทีซื่อจื่ออาจจะประทับใจและเอาสัญญาการถอนหมั้นคืนก็เป็นได้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าไม่สนใจ มือข้างหนึ่งของเขาคลายปกคอของตนเอง ส่วนมืออีกข้างก็ทิ้งตัวลงข้างลำตัว ดวงตาของเขาดูเย็นชาราวกับเป็นหมึกสีดำ แต่เขากลับเผยรอยยิ้มออกมา
ผู้คนที่ใกล้ชิดกับเขาย่อมรู้ดีว่าเขาไม่ได้ยิ้ม เพียงแต่…
“พี่สาม” องค์ชายเจ็ดที่เป็นเด็กชายหัวโล้นผู้เข้าใจพี่ชายของตนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากกองซาลาเปาอย่างน่ารัก เกิดอะไรขึ้นกับพี่สามหรือ ทำไมจู่ๆ เขาถึงโกรธเคืองขึ้นมาเช่นนี้ เขาจึงกินซาลาเปาไส้เนื้อไปแค่ชิ้นเดียวอย่างเชื่อฟัง เพราะพี่สามบอกว่าหากเขากินต่อไปเรื่อยๆ เขาจะไม่หล่อ และกลายเป็นคนอ้วนได้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สังเกตเห็นท่าทีของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเช่นกัน ดวงตาของนางหลุบลงครึ่งหนึ่ง และเผยให้เห็นร่องรอยของความพึงพอใจ
หลังจากนี้ องค์ชายสามก็จะไม่รู้สึกประทับใจในตัวนังผู้หญิงแพศยาคนนั้นอีกต่อไป
นางรู้ดีกว่าใครว่าผู้ชายคนนี้เกลียดชังผู้หญิงที่ไร้ยางอายเพียงใด แล้วนับประสาอะไรกับการที่นางเป็นฝ่ายเริ่มส่งจดหมายหาผู้ชายในงานเลี้ยงสังสรรค์อย่างเทศกาลชมดอกไม้ต่อหน้าสาธารณชนในตอนนี้เล่า…
นังแพศยานั้นต้องการเรียกร้องความสนใจจากองค์ชายสามมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ ถ้าเช่นนั้น นางก็จะเป็นคนช่วยให้เวยเวย ‘สมปรารถนา’ เอง
นางอยากจะเห็นนักว่านังแพศยาคนนั้นจะมีจุดจบอย่างไร
“ซื่อจื่อ เอ่อ ท่านคิดจะยกโทษให้ผู้หญิงคนนี้จริงหรือ” คราวนี้ คุณชายที่เคยก่อปัญหาเดินเข้ามาและมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมีเลศนัย “นางเป็นคนเสเพลกว่าที่ท่านคิด ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อปีที่แล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นหลังจากนั้น หึ นางเห็นว่าท่านไม่ได้มอบดอกอิงฮวาสีขาวให้กับนาง นางก็มาทำตัวติดกับข้า คุณชายเช่นข้าไม่ชอบในรูปลักษณ์ของนาง ก็เลยพูดกับนางไปสองสามคำ แต่ผิดคาด นางกลับชกข้า ช่างหน้าด้านหน้าทนยิ่งนัก นางเป็นถึง…”
พลั่ก!
เวยเวยเคลื่อนไหวโดยไม่รอให้คนๆ นั้นพูดจบ
นางยืนยิ้มมุมปากราวกับปีศาจร้าย ขณะที่เอ่ยถามว่า “เจ็บหรือ”
“เจ้า” คนๆ นั้นคาดไม่ถึงว่านางจะไร้ยางอายเช่นนี้ เขาเอามือข้างหนึ่งปิดหน้า และต้องการจะลุกขึ้นยืน
พลั่ก!
กำปั้นนั้นปล่อยหมัดไปอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง นิ้วของเวยเวยคว้าคอเสื้อของอีกฝ่าย ดวงตาของนางมองขึ้นไปเล็กน้อย “มา พูดในสิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดซ้ำอีกครั้ง หากมีคำไหนตกหล่นไป หมัดของข้าคงไม่พอใจนัก”
“ข้า… ข้า” ราวกับว่าร่างกายของเขาสั่นสะท้านกับท่าทางอันสง่าผ่าเผยของเฮ่อเหลียนเวยเวย ชายผู้นั้นก้าวถอยหลังไปด้วยความตกใจ เพราะต้องการจะหนีออกจากการควบคุมของนาง
แต่ขาทั้งสองของเขาเหมือนกับถูกถ่วงน้ำหนักด้วยตะกั่ว ทำไมมันถึงไม่สามารถขยับหรือก้าวออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียวเล่า
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่สามารถใช้พลังปราณของตัวเองได้
เวยเวยยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม “พูดสิ หืม”
พลั่ก!
หมัดที่สามต่อยเข้าที่ท้องของชายคนนั้นอย่างแรง
ชายคนนั้นกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “ใครก็ได้ มานี่ โอ๊ย ใครก็ได้มาที่นี่ที มีคนกำลังจะฆ่าคน เอื้อก”
“เฮ่อเหลียนเวยเวย!” เฮ่อเหลียนเหมยเป็นคนแรกที่พูดออกมา
แต่เมื่อเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น อีกฝ่ายก็หวาดกลัวเกินกว่าที่จะพูดต่อ “เฮ่อเหลียนเหมย ข้าสั่งให้เจ้าหุบปาก ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ว่าใครก็ตามที่เข้ามาขัดขวางข้าไม่ให้ต่อยไอ้สารเลวคนนี้ จะเป็นคนที่ข้าฆ่า และเอาเลือดมาดื่ม”
แขนขาทั้งสี่ของเฮ่อเหลียนเหมยแข็งเกร็งทันที
นั่นมันอะไรกัน
หรือนี่จะเป็นผี
“พูด!” เวยเวยเอนตัวลง นิ้วมือของนางวางบนข้อมือของชายคนนั้น หญิงสาวยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมกับออกแรง