ในทางตรงกันข้าม สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดูเฉยเมย ไม่ว่าองค์ชายสามจะเลือกใคร ก็คงไม่ใช่นางอยู่แล้ว…
“เฮ่อเหลียนเวยเวย”
ห๊ะ ห๊ะ
“ลุกขึ้นยืน”
เฮ้อ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็แค่กำลังขวางทางเดินอีกฝ่ายอยู่เท่านั้น นางคิดว่าสมองขององค์ชายสามมีอะไรผิดปกติเสียอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขาต้องเดินผ่านทางที่ตนเองอยู่ เพื่อจะไปหาเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางจึงลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง ในขณะที่ขนมชิ้นหนึ่งยังค้างอยู่ในปากของนาง ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับเป็นสุนัขจิ้งจอกแสนน่ารักที่กำลังหลีกทางให้
“นี่สำหรับเจ้า”
ทันใดนั้น ดอกอิงฮวาสีขาวก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้านาง มันดูบอบบางยิ่งกว่าดอกอื่นๆ แต่ก็ดูสูงส่งและหรูหรา อาจเป็นเพราะคนที่กำลังถือมันอยู่นั้นไม่ธรรมดา จนดอกอิงฮวาสีขาวธรรมดาๆ นั้นดูสง่างามขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกตะลึง เดี๋ยวก่อนสิ
โอ้ย ตายแล้ว นางจะต้องเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปแน่ๆ
นี่ นางเพียงมาที่นี่เพื่อร่วมงานเลี้ยงก็เท่านั้น
แต่ทำไมองค์ชายสามถึงมอบดอกไม้ให้นางเล่า
หรือว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยลองขยับเปลี่ยนที่นั่งดู
ดวงตาคู่ลึกแคบยาวภายใต้หน้ากากสีเงินนั้นก็ลดต่ำลงมองตาม
ขันทีซุนดูกังวลอีกครั้ง และรีบผลักนางทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นและเผชิญหน้ากับริมฝีปากที่ไร้อารมณ์ของเขา
แย่แล้ว
เขากำลังมอบดอกไม้ให้นางจริงๆ
ช่างเป็นเรื่องบ้าบอสิ้นดี
นี่ ก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่านางจะมาที่นี่เพียงแค่ร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น
“แค่ก” เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการจะพูดอะไรออกมาแต่พูดไม่ออก นางจึงสำลักขนมกุ้ยฮวาที่ค้างอยู่ในปากของตนเอง
หญิงสาวเห็นได้ชัดว่าว่าสายตาของผู้ชายคนนี้มองนางด้วยท่าทีเย็นชาและห่างเหินอย่างยิ่ง
องค์ชายสามคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาทำตัวเย็นชาใส่นางเช่นนั้นหรือ
เขาทำตัวเย็นชา แต่ก็ยังมอบดอกไม้ให้กับนาง
“เจ้าสาม” ท่าทีของอดีตฮ่องเต้เปลี่ยนไปในทันที เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย
ตรงกันข้ามกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ไม่เปลี่ยนท่าทีไปเลยแม้แต่น้อย เขาปัดฝุ่นที่ไม่ได้มีอยู่จริงบนร่างกายของตนเองอย่างสุขุม น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบเฉย “หากข้าต้องเลือกผู้หญิงสักคนหนึ่ง ถ้าเช่นนั้น ข้าเลือกนางก็แล้วกัน”
อะไรนะ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจขณะที่มองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย และยังเผยให้เห็นถึงความโกรธเคืองอีกด้วย
ใบหน้าเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ซีดเซียวมากขึ้น ปิ่นมุกบนศีรษะของนางนั้นแทบจะสัมผัสได้ถึงความอับอายและแค้นเคืองใจของเจ้าของ จนมันแกว่งไปมา สีหน้าของนางดูไม่อยากเชื่อ และยิ่งกว่านั้นคือมันดูไร้สีสันอย่างมาก
ทำไมกัน
นังนั่นมันก็แค่นังแพศยาไร้ค่าที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลและถูกถอนหมั้น
ทำไมองค์ชายสามถึงเลือกนาง
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังทำตัวไม่น่าเข้าหาเลยด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น เขาหมายความว่าอย่างไรกันที่บอกว่าหากต้องเลือกผู้หญิงสักคนหนึ่ง ถ้าเช่นนั้น เขาเลือกนางก็แล้วกัน
การแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขากลับพูดจาด้วยท่าทีสบายๆ เช่นนี้หรือ
บางที สำหรับเขาแล้ว มันอาจจะไม่สำคัญเลยว่าเขาจะเลือกใคร แต่อย่าลากนางไปเกี่ยวข้องด้วยสิ เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้รู้สึกว่ามันเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีของนางยิ่งนัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของฮองเฮาก็เป็นประกาย ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าสาม เจ้าและคุณหนูเฮ่อเหลียนคนนี้ยังไม่เข้าใจ เจ้าจะมอบดอกไม้ให้นางก็ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ได้รับดอกไม้จะเป็นคนที่ถูกเลือก เจ้าเข้าใจความต้องการของท่านปู่ของเจ้าผิดไป” หลังจากพูดจบ ฮองเฮาก็หันหน้ามองเฮ่อเหลียนเวยเวย และย่นหัวคิ้ว “เฮ่อเหลียนเวยเวย การแต่งงานของเจ้าถูกยกเลิกโดยตระกูลมู่หรง แต่เจ้าก็ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และประเพณีของพวกเราเลย องค์ชายสามเพียงแค่มอบดอกไม้ให้เจ้า แต่เจ้ากลับแสดงท่าทีเช่นนี้หรือ มันจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะในใจ ผู้หญิงคนนี้คิดจะผลักความผิดทั้งหมดให้เป็นของนาง เพื่อเปิดทางให้องค์ชายสามเลือกคนอื่น
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ นางค่อนข้างยินดีที่จะร่วมมือกับอีกฝ่าย ริมฝีปากของนางก็เอ่ยขึ้น “ฮองเฮาตรัสได้ถูกต้องเพคะ”
มู่หรงฮองเฮาไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถอ่านท่าทีของผู้คนได้ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นางยิ้ม “จะว่าไปแล้ว จนถึงตอนนี้ ร่างกายของคุณหนูเฮ่อเหลียนก็ยังไม่มีพลังปราณเลยใช่หรือไม่”
“อืม ยังไม่มีเลยเพคะ” หลังจากตอบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ้มเล็กน้อย และพูดเสริม “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หม่อมฉันยังอยู่ในหอสามัญอีกด้วย และยังไม่รู้เลยว่าจะผ่านการทดสอบได้หรือไม่เพคะ”
นางต้องผ่านการทดสอบอยู่แล้ว และไม่ใช่เพียงแค่การทดสอบในชั้นเรียนเท่านั้น แต่นางยังวางแผนที่จะคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันประลองยุทธ์อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ นางไม่รังเกียจที่จะต้องพูดจาโกหกสักเล็กน้อย
ดูเหมือนว่ามู่หรงฮองเฮาจะคาดหวังให้นางพูดเช่นนี้ ความพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางอย่างชัดเจน แล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยจะมีค่าอะไรเล่า นางรู้ตัวเองดีกว่าใคร มีความเย้ยหยันแฝงอยู่ในน้ำเสียงของฮองเฮาเล็กน้อย “เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังขาดคุณสมบัติที่คู่ควรกับองค์ชายสาม”
“เฮ้อ ใช่แล้วเพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนใจยาว ราวกับโล่งใจอย่างมาก และไม่มีท่าทีของความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ดวงตาของนางยังมีรอยยิ้มเผยออกมาอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม และใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ถูกอีกฝ่ายดูหมิ่นนั้น ก็ไม่ได้ปรากฏความผิดหวังแต่อย่างใด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง ดวงตาเรียวยาวที่น่าหลงใหลของเขาก็ราวกับกำลังขุ่นเคืองเล็กน้อย ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรคืนดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือให้กับองค์ชายสามไม่ใช่หรือ” เมื่อฮองเฮาพูดจบ นางก็รู้สึกแปลกใจที่เด็กสาวคนนี้ให้ความร่วมมือกับนางเป็นอย่างดี
คราวนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบรับอย่างรวดเร็ว เสียงของนางก้องกังวานไปทั่วลาน “แน่นอนเพคะ”
ทั้งสี่คำนั้นฟังดูชัดเจนและกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก
หลังจากพูดจบ นางก็ยื่นดอกอิงฮวาสีขาวใส่ในมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และสายตาของนางก็มองไปทางฮองเฮาที่กำลังยิ้มเยาะเย้ยอยู่
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังดูถูกนาง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่านางไม่คู่ควรกับลูกชายที่มีค่าของพวกเขา
สิ่งที่พวกเขาต้องการนั้น ไม่ใช่หญิงสาวคนหนึ่ง แต่เป็นอำนาจและอิทธิพลของตระกูลที่อยู่เบื้องหลังผู้หญิงคนนี้ต่างหาก
อำนาจที่อยู่ในมือของลูกสะใภ้ต่างหาก คือสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ
และสำหรับพวกเขา นางก็เป็นเพียงแค่คนไร้ค่าที่ถูกถอนหมั้นไปแล้วเท่านั้น
สาเหตุที่นางร่วมมือกับฮองเฮานั้น เป็นเพราะว่านางก็ไม่อยากแต่งงานเหมือนกันนั่นเอง
หญิงสาวไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับใครมาก่อน แม้ว่านางอยากจะแต่งงาน นางก็ไม่อยากแต่งงานกับคนอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างแน่นอน
ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ดี
ตรงกันข้าม เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา มีจิตใจที่เยือกเย็นในการแยกแยะถูกผิด และเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง
แต่เพราะว่าในอนาคต เขาจะต้องโดดเด่นขึ้นอีกมาก และอาจจะมีโอกาสสืบราชบัลลังก์ได้สำเร็จอีกด้วย
เมื่อถึงตอนนั้น ผู้หญิงสามพันกว่าคนที่อยู่ในวังก็จะต้องต่อสู้ วางแผนทำร้ายกัน จนต้องมีคนที่อยู่และไป
นางไม่ต้องการแบ่งปันผู้ชายกับผู้หญิงคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทเพียงเพราะผู้ชายคนนั้นด้วย
นางไม่อยากทำเรื่องเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังปรารถนาที่จะได้รับความรักที่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างแท้จริง
การมีใครสักคนที่รักนาง หวงแหนนางนั้น มันสำคัญยิ่งกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ หรือทรัพย์สมบัติใดๆ เสียอีก
ชีวิตนี้ นางไม่ขออะไรมากเลย ขอเพียงแค่คนที่มีหัวใจอันซื่อสัตย์ และจะถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร[1]ไปด้วยกัน กับนางสักคนก็พอแล้ว…
เห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นไม่เหมาะสมกับนาง
คนที่ไม่มีนางอยู่ในหัวใจเช่นนั้น ต่อให้เขาจะสมบูรณ์แบบมากเพียงใด นางก็จะยังปฏิเสธอยู่ดี
อดีตฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ไม่ได้ตรัสอะไร ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ในทางกลับกัน เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่านางจะเกลียดชังเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางก็แอบรู้สึกดีใจเล็กน้อยที่นังคนไร้ค่าคนนั้นพูดจาอย่างมีไหวพริบเช่นนั้นได้
ในขณะนั้นเอง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และทำตัวราวกับเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ หน้ากากสีเงินนั้นซ่อนความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ดวงตาคู่สวยที่ลึกล้ำคู่นั้นมองดอกอิงฮวาสีขาวที่ถูกยื่นมาใกล้เขา ขณะเดียวกัน นิ้วมือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อของเขาก็เกร็งเล็กน้อย ราวกับกำลังอดทนกับบางอย่างอยู่…
[1] ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร หมายถึง คู่บ่าวสาวที่อยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน