“เฮยเจ๋อ ต้องให้ข้าเตือนความจำเจ้าอีกหนหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยดึงมือของเขาออก พลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ในเวลานี้พวกเราเพียงแค่ร่วมมือกันเท่านั้น”
เฮยเจ๋อยิ้ม “ว่ากันตามตรง เราสองคนรู้ใจกันถึงเพียงนี้ พวกเราน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”
“เจ้ากับมือข้างขวาของเจ้ายังรู้ใจกันดียิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ ทำไมเจ้าไม่แต่งงานกับมือข้างขวาของตัวเองไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยทิ้งประโยคนี้ใส่ จากนั้นนางก็หมุนตัวไปอีกทาง แล้วเปลี่ยนท่าพร้อมกับซ่อนตัวต่อไป
มุมปากของเฮยเจ๋อกระตุกขึ้นสองครั้ง มือข้างขวาที่นางพูดถึง คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกใช่ไหม!
นางเป็นสตรี แต่ทำไมกลับพูดจาใจกล้ายิ่งกว่าบุรุษเสียอีก!
“ไม่ได้การล่ะ อยู่กันสองคนจะเป็นเป้าใหญ่เกินไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองนายน้อยเฮย “แยกย้ายกันไปดีกว่า แล้วค่อยไปเจอกันในงานประลองเจ้ายุทธ์อีกที”
เฮยเจ๋อไม่ขัดข้องแต่ประการใด “ถึงอย่างไรข้าก็สามารถเดินวางมาดออกไปจากที่นี่ได้อยู่ดี”
“เช่นนั้นนายน้อยก็ค่อยๆ เดินออกไป ไม่ต้องรีบร้อนนะเจ้าคะ” มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น และภายในเสี้ยววินาที นางก็หายตัวไปในความมืดยามค่ำคืน นางไม่เชื่อหรอกว่าคนอื่นจะไม่รู้เรื่องที่นางกับนายน้อยตระกูลเฮยอยู่ด้วยกัน
การผลักเฮยเจ๋อออกไปเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนคนนั้นก็เป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว…
“ฝ่าบาท กระหม่อมไปตรวจสอบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเงาทมิฬเห็นดวงตาที่เย็นยะเยือกไปถึงกระดูกคู่นั้นของผู้เป็นนาย เขาก็ถึงกับกลืนน้ำลาย “ตอนนี้คุณหนูเฮ่อเหลียนอยู่ที่หอชั้นเลิศพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นเหมือนไม่สนใจ “หอชั้นเลิศหรือ นางไปทำอะไรที่นั่น”
“ดูเหมือนว่า…” พอพูดมาถึงประโยคนี้ เงาทมิฬก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเตรียมใจกับตัวเอง “นางจะไปหานายน้อยรองของตระกูลเฮยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฝีเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดูเหมือนจะหยุดชะงักไป
จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลง แล้วหัวเราะอยู่ในลำคอ ผมหน้าม้าทิ้งตัวลงปรกตาเล็กน้อยตามการขยับตัวของเขา มองไกลๆ แล้วเขาดูโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
แต่เมื่อเงาทมิฬมองเขาอีกครั้งด้วยสายตาระมัดระวัง จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เงยหน้าขึ้น แล้วหยิบห่อของที่อยู่ในถุงมือสีขาวบนมือของตนออกมาโยนทิ้งด้วยสีหน้าราบเรียบ ดวงตาของเขาเย็นชาเสียจนน่ากลัว แต่ก็มีความอ้างว้างเล็กๆ ปรากฏอยู่ กระนั้นมันก็ทำให้เขาดูสง่างามและอันตรายกว่าในยามปกติ ลึกเข้าไปในดวงตาของเขานั้นราวกับมีบางอย่างระเบิดออกมาจากภายใน
เงาทมิฬสงสัยอยู่เหมือนกันว่าตนเข้าใจผิดไปหรือเปล่า แต่แล้วเขาก็รู้สึกราวกับพลังปราณทั้งหมดภายในร่างได้รับความเสียหายจากแรงกดดันบางอย่าง แม้แต่การหายใจก็ยังเป็นเรื่องที่ลำบากทีเดียว
แต่ทันทีที่นิ้วมือของเขาสัมผัสเข้ากับหน้าอก ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นก็อันตรธานหายไปอย่างน่าพิศวง
จากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นนาย น้ำเสียงนั้นยังคงสง่างามเฉกเช่นเคย แต่กลับเต็มไปด้วยความเย็นชาห่างเหิน “เช่นนั้นก็ไปจับเฮยเจ๋อมาด้วย ไม่ว่านางจะอยู่กับใคร นำตัวนางมาให้ข้า”
เงาทมิฬตัวสั่น เขาก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องยกเลิกด่านตรวจที่อื่น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาราวน้ำแข็งของเขาแฝงไปด้วยความชอบใจ ทำเอาหนังศีรษะของคนที่ได้ยินชาวาบ “สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นรู้ดีที่สุดคือการก่อเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจขึ้นที่ฝั่งหนึ่ง แล้วก็บุกโจมตีเข้าอีกฝั่ง”
เงาทมิฬรับคำสั่ง เขาอดคิดในใจไม่ได้ว่าความคิดขององค์ชายยังคงลึกล้ำเช่นเคย
ไม่มีการยกเลิกด่านตรวจตราแม้แต่จุดเดียว ในตอนนี้ ต่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมีสามเศียรหกกร นางก็ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้
องค์ชายรับมือกับทุกคนได้อย่างรอบคอบ แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงที่ไร้พลังปราณเพียงคนเดียว ต่อให้ยอดฝีมือพวกนั้นคิดที่จะออกไปจากที่นี่ พวกเขาก็ยังต้องใช้ความพยายามมิใช่น้อยเลย
แต่น่าแปลกที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับรู้สึกว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ดวงตาหงส์คู่งามของเขาหรี่ลงอีกครั้ง “จับตาดูย่านการค้าเอาไว้ให้ดี มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่นางจะติดต่อไปหาปรมาจารย์”
คิดจะไปจากที่นี่พร้อมกับเฮยเจ๋อหรือ
หึ เขาก็อยากเห็นนักว่าถ้าเขาถอดเขี้ยวเล็บของนางออกจนหมด แล้วนางจะยังหนีไปได้อย่างไร!
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬพึมพำ เขารู้สึกว่าองค์ชายคนปัจจุบันน่ากลัวยิ่งกว่าคนก่อนเป็นไหนๆ ตอนนั้นที่เขาพบว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยหายตัวไป สิ่งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาก็คือความโกรธ แต่ตอนนี้ ภายในดวงตาคู่นั้นกลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม มันแผ่ไอเย็นยะเยือกอันชั่วร้ายออกมาอย่างรุนแรง แทบจะแช่แข็งเลือดของทุกคนได้เลยทีเดียว
เขาติดตามรับใช้ฝ่าบาทมาก็นานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่เคยมีสักครั้งที่เขาได้เห็นองค์ชายเป็นเหมือนวันนี้
ยิ่งกว่านั้น ในโลกใบนี้ย่อมไม่มีใครสามารถต่อกรกับองค์ชายได้
ฝ่าบาทคนเดิมนั้นไม่เคยสนใจไยดีสิ่งใด แต่หากเขาเอาจริงเมื่อใด ก็น่ากลัวยิ่งกว่าอดีตฮ่องเต้เสียอีก
การจับกุมตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยคงเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
คนของพวกเขาล้อมทั้งสำนักไท่ไป๋เอาไว้แล้ว แม้แต่คนอย่างเขาที่รู้เรื่องการจัดกำลังพลทั้งหมดเป็นอย่างดีก็ยังไม่สามารถหนีออกไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ไม่รู้จักกลยุทธ์เหล่านี้แม้แต่อย่างเดียว
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่รู้จักกลยุทธ์พวกนั้นจริงๆ หรือ
แน่นอนว่าไม่
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่นางไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แล้วมีหรือที่นางจะผลีผลามลงมือทำอะไร
ในทางตรงกันข้าม นางมองการใช้กลยุทธ์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เพราะนางไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนเลย แต่ได้แฝงตัวเข้ามาอยู่ในบรรดาองครักษ์แถวหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
ไม่ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไปไหน นางก็จะตามไปด้วย ทั้งที่เป็นเช่นนั้น แต่ทุกครั้งที่นางได้ยินเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางก็อดที่จะเสียววาบขึ้นมาไม่ได้
ผู้ชายคนนี้ไม่คิดที่จะปล่อยนางไปจริงๆ เฮ้อ
โชคดีที่นางอาศัยประสบการณ์จากชาติที่แล้ว นางจึงสามารถใช้มันในการปลอมตัวได้ มิฉะนั้นไม่ว่านางจะเดินไปทางไหน ก็คงมีอันได้ถูกขวางแล้วฆ่าทิ้งแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก แล้วสะกดจิตตัวเองให้เล่นบทองครักษ์ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกดีใจที่ผิวของนางดำพอ เวลาที่ยืนรวมกลุ่มกับพวกผู้ชาย นางจึงไม่ได้สะดุดตาแต่อย่างใด
แต่พอลองคิดดูให้ดีแล้ว นางไปยั่วโมโหผู้ชายที่ยากจะรับมือเช่นเขาได้อย่างไร
นางเพิ่งจะปฏิเสธเขาไปเพียงแค่ครั้งเดียวเองนะ
องค์ชายสามจะอ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า
ใช่ว่าเขาเองก็อยากจะแต่งงานกับนางเสียที่ไหน…
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจในใจ
หยวนหมิงพยายามปลอบใจนางตามแบบฉบับของเขา “เจ้าก็บอกเจ้าหมอนั่นไปสิว่าความจริงแล้วคนที่เจ้ารักก็คือข้า แล้วก็บอกให้เขาเลิกแย่งคนรักของคนอื่นเสียที”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุก “หุบปากเถอะน่า แต่ยังไงก็ขอบใจแล้วกัน”
“แม่นาง อย่าปฏิเสธอีกเลย ถ้าเจ้าไม่ได้รักข้า เจ้าจะกอดข้าเสียแน่นขนาดนี้ไปทำไม” หยวนหมิงส่งเสียงฮึ่มออกมาสองครั้งอย่างภูมิใจ “ความคิดของเจ้าถูกข้ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก “เจ้าไปเอาความมั่นใจพรรค์นั้นมาจากไหน ตื่นได้แล้วคนดี”
“ช่างเถอะ เจ้ามันขี้อายเกินไป ข้าจะไม่บังคับเจ้าหรอก แต่จะว่าไปแล้ว พูดถึงเจ้าหมอนั่น จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปในจิตใจของเขาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าควรระวังตัวให้มากกว่านี้ ข้ามักจะรู้สึกว่าเจ้าหมอนั่นมันไม่ธรรมดา” หยวนหมิงกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ เขามองไปที่แผ่นหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แสงในดวงตาของเขาลุ่มลึกยิ่งกว่าที่เคย
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียง ‘อืม’ แทนคำตอบ นางรู้อยู่แล้วว่าองค์ชายสามนั้นรับมือยากยิ่งนัก
จักรวรรดิแห่งนี้เชิดชูผู้แข็งแกร่ง แต่คนที่สูญเสียพลังปราณไปเช่นเขากลับทำให้คนจากสี่ตระกูลใหญ่เกรงกลัวได้ แค่นั้นก็ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่เพราะพลังปราณของเขาเพียงอย่างเดียว แต่กระทั่งความคิดจิตใจของเขาก็คงไม่มีผู้ใดในจักรวรรดิจ้านหลงสามารถเอาชนะได้เช่นกัน
ดูเหมือนเฮยเจ๋อจะถ่วงเวลาได้ไม่นาน
นางต้องคิดหาวิธีอื่น แล้วไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“แล้วสถานการณ์ทางเสี่ยวไป๋เป็นอย่างไรบ้าง” ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินไปข้างหน้าพร้อมกับบรรดาองครักษ์ นางก็พูดคุยกับหยวนหมิงผ่านกระแสจิตของนาง
หยวนหมิงพูดเสียงเบา “ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ทันทีที่เราออกจากสำนักไท่ไป๋ จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์พาเจ้าลงจากเขา”
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์…” เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักฝีเท้า ในดวงตาเรียวรีของนางมีประกายเจ้าเล่ห์วาบผ่าน…