“หืม แล้วมันเกี่ยวกับข้าอย่างไรหรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะเสียดสี เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของนางไม่ได้ดีถึงเพียงนั้น
สาวใช้คนสนิทหดคอลง รอยยิ้มประจบเอาใจยังอยู่บนใบหน้า “คุณชายอู๋ซวงท่านนั้นชอบดนตรีเจ้าค่ะ แม้เขาจะไม่ค่อยเอ่ยชมผู้ใดนัก แต่วันนั้นที่ร้านขายอาวุธ มีคนกล่าวชมฝีมือการเล่นกู่ฉินของคุณหนูว่ายอดเยี่ยมเป็นที่สุด เขาจึงเอ่ยสมทบขึ้นมาสองสามประโยคเจ้าค่ะ ทุกประโยคล้วนแต่เป็นการกล่าวชมเชยคุณหนูทั้งสิ้น” ระหว่างที่พูด นางก็เงยหน้าขึ้นมาลอบสังเกตสีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่ามุมปากของอีกฝ่ายมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในที่สุด คำพูดของสาวใช้ก็ยิ่งฟังดูกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น “เห็นได้ว่าคุณชายอู๋ซวงสนใจคุณหนูมาตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ แต่เพียงแค่… ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคุณหนูก็เท่านั้น”
หลังจากเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดบังรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากสีแดงชาด แต่เสียงของนางกลับยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว แต่เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาตามมา เจ้าไม่ควรเอาเรื่องนี้ไปพูดให้คนอื่นฟังนะ เข้าใจไหม”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ค้อมตัวลง ก่อนจะหันหลังแล้วปาดเหงื่อเย็นๆ ออกจากหน้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ข้างหน้าของพวกนาง ตอนที่นางบังเอิญเห็นเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และเฮ่อเหลียนกวงเย่านั้น นางกำลังยืนดูหวีที่พ่อค้าหาบเร่เอาออกมาวางเรียงกันอยู่ข้างนอกพอดี
ปฏิกิริยาแรกที่นางมีคือการก้มหน้าลงมองเครื่องประดับศีรษะตรงหน้า และแสร้งทำทีเป็นคนที่มาจับจ่ายซื้อของตามปกติ หลังฟังข้อมูลอันเป็นประโยชน์นั้นจบ นางก็หยิบของชิ้นที่นางอยากได้ขึ้นมา แล้วโยนเงินหนึ่งตำลึงให้พ่อค้าคนนั้น
แต่ตอนที่เดินสวนกัน ก็ยากที่จะไม่มีใครสังเกตเห็นใบหน้านั้นของนาง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองนางราวกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางอาจจะไม่เคยเห็นคนที่งดงามกว่าตัวเองมาก่อน ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของนางจึงเป็นการเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง
แต่เวลานี้นางกลับเห็นแค่เพียงด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น
ร่างของนางอยู่ในชุดอันเรียบง่ายที่ทอมาจากผ้าหยาบ และตั้งแต่หัวจรดเท้าก็แผ่กลิ่นอายความยากจน ออกมาจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกรังเกียจ นางเป็นแค่สามัญชนคนหนึ่งเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นึกเหยียดหยามอยู่ในใจ แต่ในตอนที่นางกำลังจะหันหน้ากลับนั้นเอง นางก็เห็นว่าคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันกลั้นหายใจไปทีละคนสองคน ดวงตาของพวกเขาจับจ้องอยู่กับร่างที่ไกลออกไป ไม่มีสายตาคู่ไหนมองมาทางนางเลยแม้แต่คู่เดียว กระทั่งสาวใช้คนสนิทของนางก็ยังดูเหมือนจะตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เหตุการณ์นี้ทำให้ความโกรธภายในใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ปะทุขึ้นมา นางยื่นมือไปหยิกแขนสาวใช้ของตน เล็บที่แหลมคมของนางจิกเข้าไปในเนื้อของอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม “ผู้หญิงคนนั้นดูดีนักหรือ หืม”
ในตอนนั้นนั่นเอง สาวใช้นางนั้นถึงเพิ่งจะมีปฏิกิริยา และตระหนักถึงความผิดที่ตนก่อได้ ใบหน้าของนางซีดจนไร้สีเลือดในชั่วพริบตา ภายในใจของนางยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด
เรื่องต้องห้ามของคุณหนูก็คือ ห้ามมีใครสวยกว่านาง
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นนาย นางก็ไม่สามารถแสดงอาการตกตะลึงในความงามของผู้หญิงคนนั้นออกมาได้แม้แต่นิดเดียวเช่นกัน!
ดังนั้นสาวใช้จึงรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน นางข่มความเจ็บปวดเอาไว้ พลางตอบว่า “จะว่าดูดีก็ใช่เจ้าค่ะ แต่เมื่อเทียบกับคุณหนูของบ่าวแล้ว นางก็เป็นได้แค่เพียงโคลนใต้เท้าของท่านเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
“เจ้านี่รู้จักพูดยิ่งกว่าที่ข้าคิดเสียอีก” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ปล่อยมือ แล้วตวัดสายตากลับไปอีกครั้ง ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “กล้าที่จะเอานางมาเปรียบเทียบกับข้า ทั้งที่นางสวมเสื้อผ้าเช่นนั้นน่ะรึ น่าขันนัก!”
เมื่อได้ยินดังนั้น สาวใช้ก็รีบเออออเห็นด้วย “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูพูดถูก นางไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้กับคุณหนูเสียด้วยซ้ำไปเจ้าค่ะ”
“พอได้แล้ว ข้าเอียนที่จะได้ยินคำชมจากคนอย่างเจ้าแล้ว” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางเป่าปลายนิ้วของตน ดวงตาของนางหรี่ลงขณะกล่าวว่า “กลับไปที่สำนักกันได้แล้ว ก่อนจะออกเดินทาง ข้าต้องคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้นังคนชั้นต่ำนั่นมันกลับมาเรียนที่สำนักอีกครั้ง”
จริงอยู่ที่นางไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยหายหัวไปไหน แต่นางจะทำให้อีกฝ่ายที่ออกไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาได้อีก!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางก้มหน้าลง ความคิดอันชั่วร้ายที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตาของนางนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหน…
แต่เด็กสาวที่เดินสวนไปเมื่อครู่เป็นใครกัน ถ้าเป็นสาวบ้านนอกธรรมดา แล้วนางจะมีผิวพรรณที่ขาวเปล่งปลั่งขนาดนั้นได้อย่างไร
ทุกครั้งที่ฤดูร้อนมาเยือน สิ่งที่นางมักจะทุ่มเทความพยายามที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ผิวของนางคล้ำจากแดด นางจะใช้ก็แต่ผงไข่มุก และไม้จันทน์คุณภาพดีที่สุดเท่านั้น เพื่อรักษารูปร่างหน้าตาในปัจจุบันของนาง
แต่เมื่อเทียบกับนางแล้ว เห็นได้ชัดว่านังเด็กบ้านนอกนั่นดูเหมือนจะ….
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ขยำผ้าเช็ดหน้าในมือ จากนั้นจึงหัวเราะเย็นชาอยู่ในใจ แม้ว่าหน้าตาของนางจะน่าตกตะลึงกว่า แต่แล้วอย่างไรหรือ ฐานะของนางก็ยังไม่ดีอยู่ดี ต่อให้นางแต่งงาน นางก็คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากอนุภรรยาเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ จิตใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงสงบลงได้ ใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือของนางกลับมางดงามได้อย่างเก่า นางกระชับหมวกที่ติดผ้าคลุมหน้าของตนมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ และแล้วในที่สุดสาวใช้ก็ช่วยประคองให้นางเข้าไปในเกี้ยว ได้สำเร็จ
แต่นางไม่รู้เลยว่าคนที่นางต้องการจะเล่นงานนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เพิ่งเดินสวนกับนางไป…
“ก็ดีมิใช่รึ คราวนี้น้องสาวคนนั้นของเจ้าก็จะเข้าร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์ด้วย ข้าสงสัยนักว่าคราวนี้นางจะงัดเอาอุบายอันใดมาใช้อีก” น้ำเสียงของหยวนหมิงให้ความรู้สึกเหมือนคนที่กำลังดูละครแสนสนุกฉากหนึ่งอยู่ บางทีนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับตัวตนของเขาก็เป็นได้ แต่เดิมนั้นปีศาจรับใช้ก็มักจะชอบสร้างความวุ่นวายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘อาหารอันโอชะ ‘ ที่ถูกส่งตรงมาถึงหน้าประตูเช่นนี้ เขาก็ยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่
เจ้าแมวขาวกลับนิ่งเงียบตลอดทาง มันทำท่าเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ขณะทอดสายตามองดูฝูงชนที่อยู่ไม่ไกล น้ำเสียงของมันแผ่วเบา “เวยเวย เจ้าปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นได้อาวุธชิ้นนั้นไปไม่ได้เป็นอันขาด”
หยวนหมิงกลับปรายตามามองมันอย่างเกียจคร้าน “ก็แค่อาวุธชิ้นเดียวเองนี่”
“เจ้าไม่เข้าใจ” เจ้าแมวขาวเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ “ของชิ้นนั้นไม่ใช่อาวุธธรรมดา ตอนที่ข้าอยู่ในป่าวิญญาณ ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อกับเสด็จแม่พูดถึงมันมาก่อน ทุกคนต่างก็คิดว่าบนแผ่นดินนี้ วัตถุดิบที่ดีที่สุดในการสร้างอาวุธย่อมหาได้ในป่าวิญญาณ แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับมีการแอบเคลื่อนย้ายวัตถุดิบเหล่านั้นไปไว้ที่อื่น ที่แห่งนั้นคือสถานที่ที่คุณชายอู๋ซวงเกิด หรือก็คือเมืองหยางนั่นเอง ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ โดยปกติแล้ว วัตถุดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการแปรรูปเป็นอาวุธจะปล่อยพลังด้านลบที่คล้ายกับแม่เหล็กกระจายออกมา ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้อาวุธพวกนี้แตกต่างจากอาวุธทั่วๆ ไป สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกข้าไม่ได้รับผลกระทบจากมัน แต่หากมนุษย์สัมผัสกับวัตถุดิบพวกนั้นเข้า พวกเขาจะต้องได้รับบาดเจ็บจากพวกมันไม่มากก็น้อย คาดว่าที่คุณชายอู๋ซวงคนนั้นสุขภาพไม่ดี ก็อาจเป็นเพราะเขาอยู่กับวัตถุดิบพวกนั้นมาตั้งแต่เด็กนั่นล่ะ อาวุธที่เขากำลังสร้างอยู่ตอนนี้อาจจะเป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายของเขาก็เป็นได้ มันจะต้องเป็นอาวุธชิ้นที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าชิ้นใด ไม่เพียงแค่วัตถุดิบที่ใช้ แต่ยังรวมถึงรูปลักษณ์ การทำงาน หรือประสิทธิภาพ ก็คงจะทำให้มันเป็นอาวุธเวทที่ดีที่สุดในใต้หล้า ผู้ที่ได้ครอบครอง จะต้องได้รับพลังที่สามารถผ่าภูเขาออกเป็นสองซีกได้อย่างแน่นอน!”
หลังจากที่หยวนหมิงได้ฟังดังนั้น ใบหน้าที่หล่อเหลาแฝงด้วยเสน่ห์อันชั่วร้ายของเขาก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงแค่ยิ้ม ไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ แต่ก็ไม่ได้แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง “อาวุธชิ้นนั้นกับปีกแห่งเทพราตรีที่ข้าทำเมื่อคราวก่อน อันไหนเจ๋งกว่ากัน”
เจ้าแมวขาวชะงัก แล้วตอบว่า “พอๆ กัน” มันเว้นจังหวะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเสริมว่า “เจ้ายกปีกแห่งเทพราตรีให้คนอื่นไปแล้วนี่ เปรียบเทียบไปก็ไร้ประโยชน์”
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระหว่างข้ากับคุณชายอู๋ซวงอะไรนั่น ใครกันแน่ที่เก่งกว่ากัน” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในดวงตาเรียวแคบของนางก็ทอแสงเป็นประกาย “ข้าไม่ยอมให้ใครมาแย่งธุรกิจของตัวเองที่งานประลองเจ้ายุทธ์ไปหรอก”
มุมปากของเจ้าแมวขาวกระตุกเล็กน้อย “สุดท้ายในหัวเจ้าก็คิดถึงแต่เรื่องเงิน!”
“แน่ล่ะว่าข้าต้องคิดถึงแต่เรื่องเงิน” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเจ้าแมวขาวด้วยสีหน้าใสซื่อยิ่งกว่าเดิม แล้วถอนหายใจออกมา “หากไม่ใช่เพราะเงิน ข้าจะยอมลำบากปลอมตัวเสียขนาดนี้หรือ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ยิ่งกว่านั้น การขัดขืนเสน่ห์และความน่าดึงดูดใจขององค์ชายสามน่ะต้องใช้ความอดทนอย่างมากเลยรู้ไหม”
เจ้าแมวขาว “…”