“แล้วจะไปไหนต่อ ออกนอกเมืองหรือ” หยวนหมิงกลับเข้าประเด็น
เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า “เราจะออกจากเมืองไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เจ้าพูดเองมิใช่รึว่าหลังจากที่เจ้ากลับคืนสู่ร่างเดิมแล้ว จะไม่มีใครจำเจ้าได้อีก” คิ้วของหยวนหมิงเลิกขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบคาง “จริงอยู่ที่คนคงจำข้าไม่ได้ แต่มันจะกลายเป็นจุดสนใจเกินไป หากข้าออกจากเมืองโดยที่ไม่มีใครไปด้วย”
“เจ้าหมายความว่าเราควรไปหาคุณชายรองตระกูลเฮยหรือ” เจ้าแมวขาวบิดขี้เกียจ “เช่นนั้นก็รีบไป ข้าหิวแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียง ‘อืม’ ออกมาครั้งหนึ่ง นางตั้งท่าจะก้าวออกไป แต่แล้วก็หันหน้ากลับมาอีกครั้ง “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ดูจากนิสัยขององค์ชายสามแล้ว เขาจะปล่อยข้าไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ”
เจ้าแมวขาวกับหยวนหมิงสบตากัน ก่อนจะหันหน้ากลับมา แล้วตอบโดยพร้อมเพรียงว่า “ก็ไม่แน่”
“ข้าว่าเขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยแตะนิ้วลงบนหวีไม้ “แต่ใครต่อใครต่างก็พูดกันว่าเขาไม่เคยแยแสต่อสิ่งใด ชอบทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ที่สำคัญก็คือเขาถึงกับถอนกำลังองครักษ์ที่อยู่ในเมืองกลับไปเสียอย่างนั้น …”
หยวนหมิงไม่ได้ร่วมสนทนาในเรื่องนี้ เขาทำเพียงกอดอกและมองเฮ่อเหลียนเวยเวย รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่ที่มุมปาก
ปีศาจรับใช้นั้นแตกต่างจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เพราะประเภทหลังนั้นจะจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายอย่างไร้เงื่อนไข
แต่ประเภทแรกนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามคำสั่งอันเด็ดขาดของผู้ทำพันธสัญญา หากผู้เป็นนายของมันไม่มีความโหดเหี้ยม หรือความแน่วแน่มากพอ เช่นนั้นพลังในการต่อสู้ของมันก็จะลดลงตามไปด้วย
เมื่อใดที่ผู้เป็นนายไม่มีความมั่นใจมากพอ มันก็สามารถที่จะทำลายพันธสัญญา และเป็นอิสระได้ทุกเมื่อ…
“เวลานี้ พวกเราควร…” เจ้าแมวขาวเพิ่งจะอ้าปากได้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับแย่งพูดไปเสียก่อน “ในเวลานี้ พวกเราควรทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง แล้วออกไปจากที่นี่”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะวิเคราะห์ให้มันวุ่นวายไปทำไมกันเล่า!” เจ้าแมวขาวพองขน
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบขนของมันซ้ำไปซ้ำมา พลางถอนหายใจออกมาอย่างต่อเนื่อง “เด็กดี ข้าก็แค่กำลังแสดงความเป็นประชาธิปไตยให้พวกเจ้าได้ออกความเห็นกันก็เท่านั้น แต่ว่ากันตามจริง เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าหลักประชาธิปไตยคงไม่เหมาะกับข้าสักเท่าใดนัก เฮ้อ!”
เจ้าแมวขาว […พอได้แล้ว ใครก็ได้มาลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปที!]
“พวกเราอย่าไปหาเฮยเจ๋อเลยดีกว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยผุดลุกขึ้น ผิวกายอันงดงามต้องแสงอาทิตย์แรกของวันส่องประกายจางๆ “แยกกัน ต่างคนต่างคิดหาวิธีดีกว่า!”
หยวนหมิงมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ แล้วเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ออกมา ก่อนจะปิดบังร่างของตน แล้วหายเข้าไปในหนังสือโบราณเล่มนั้น
แต่เจ้าแมวขาวกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน มันกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเด็กสาว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจนและเย็นชาว่า “สรุปก็คือเจ้าไม่เชื่อใช่ไหมว่าองค์ชายสามคนนั้นจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เช่นนี้”
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเวลามนุษย์จะล่าเหยื่อ สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือการเลือกเวลาที่จะเคลื่อนไหว” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปทางเจ้าแมวขาว “เวลานั้นคือตอนที่เหยื่อกำลังกินอาหาร เพราะตอนนั้นเหยื่อจะคลายการป้องกันตัวมากที่สุด นายพรานจึงมักจะนำอาหารไปวางไว้รอบๆ กับดัก แล้วสร้างสภาพแวดล้อมที่จะทำให้พวกมันผ่อนคลายที่สุดขึ้นมา” หลังพูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้น แล้วหัวเราะเสียงเบา “ถ้าองค์ชายสามอยากเป็นนายพราน เขาก็ต้องถามข้าเหมือนกันว่าข้ายอมที่จะเป็นเหยื่อของเขาหรือเปล่า”
หมอกจางลงแล้ว ในที่สุดท้องฟ้าทางทิศตะวันออกก็สว่างไสวไปทั่วทั้งผืน
เมื่อเงาทมิฬเห็นเงาของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ฝ่าบาทไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ
เสียงขยับตัวดังขึ้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง พลางเงยหน้าอย่างเกียจคร้าน ดวงตาเย็นชาดุจน้ำแข็งของเขาเยือกเย็นราวกับตาของปีศาจร้าย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิมว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไร”
“ทูลฝ่าบาท ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้นายน้อยเฮยเลยพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มหน้าลงมองพื้นด้วยความเคารพยำเกรง พร้อมกับรายงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียวว่า “แต่เรื่องที่แปลกก็คือ รถม้าของนายน้อยเฮยก็ยังไม่ได้ออกจากเมืองพ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันกลับจอดอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เหมือนกับกำลังรอใครบางคนอยู่”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ฟังดังนั้น ปลายนิ้วเรียวของเขาก็เคาะลงบนหน้าโต๊ะเบาๆ ท่าทางที่เขาแสดงให้เห็นในเวลานี้เป็นการเคลื่อนไหวที่เขาทำประจำตอนที่คิดอะไรอยู่ในหัว ท่าทางของเขาสง่างามยามคิดหาแผนการใหม่ “ไม่จำเป็นต้องจับตาดูเขา นางคงไม่ไปหาเฮยเจ๋ออีกแล้ว”
ไม่จำเป็นอีกแล้วรึ ยิ่งนานเข้าเงาทมิฬก็ยิ่งสับสนกับการเคลื่อนไหวของผู้เป็นนายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เพื่อเป็นหลักประกันความสำเร็จ เขาก็ยังรู้สึกว่าพวกตนควรที่จะจับตามองอีกฝ่ายเผื่อเอาไว้ก่อน “อาจเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนจะรอให้พวกเราถอนกำลังออกไปก่อน อย่างไรเสียก่อนหน้านี้นางก็เคยใช้วิธีการนี้มาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ สร้างความวุ่นวายเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจขึ้นที่ฝั่งหนึ่ง แล้วก็บุกโจมตีเข้าอีกฝั่ง”
“ไม่ใช่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผลักถ้วยชาบนมือออกไป ริมฝีปากบางของเขาเปล่งน้ำเสียงอันเย็นชาชั่วร้ายออกมา “เจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนั้นไม่เคยสู้ในศึกที่ตนไม่มั่นใจกับผลลัพธ์ ต่อให้พวกเราปล่อยเหยื่อล่อไปมากเพียงใด หากนางสัมผัสได้ถึงอันตราย ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือการอยู่ให้ห่างจากมัน ผ่านมาแล้วหนึ่งคืนแต่นางก็ยังไม่เข้าไปหาเฮยเจ๋อเสียที ย่อมหมายความว่านางคงพอจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้วกระมัง”
เช่นเดาได้ว่าในเกมนี้ ใครที่เป็นนายพราน และใครที่เป็นเหยื่อ
เพียงแต่…
เหยื่อที่เขาเลือกในครั้งนี้นั้นดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่จับถ้วยชาอยู่กำช้าๆ เข้าหากันแน่น แน่นเสียจนทำเอาอากาศโดยรอบเย็นยะเยือก
“เดาอะไรออกหรือพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬมักจะรู้สึกว่าคำพูดของผู้เป็นนายนั้นยากเกินกว่าที่คนปกติจะเข้าใจได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้อธิบายต่อ แต่ทำเพียงถามกลับด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “นอกเหนือจากเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวเฮยเจ๋อแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นในเมืองอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีเลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่มีเทพธิดาปรากฏกายขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้พ่ะย่ะค่ะ นางงดงามเสียยิ่งกว่าหญิงสาวผู้เลอโฉมที่สุดในเมืองนี้เสียอีก” ยิ่งเงาทมิฬพูด น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งเบาลง ด้วยรู้ว่าฝ่าบาทไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงหัวเราะเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหลับตาลง แล้วตั้งใจว่าจะพักผ่อนต่อ
เงาทมิฬรู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เขาจึงลูบจมูกตัวเองสองครั้ง แล้วกำลังจะออกไป
แต่จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับลืมตาขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นของเขาทอแสงวาบจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกหวาดผวา
เทพธิดาหรือ
ไม่น่าแปลกใจที่จะไม่เห็นนางอยู่ที่ประตูใดเลย
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าร่างของนางยังมี ‘ผิวหนัง’ เหลืออยู่อีกชั้นหนึ่ง
แต่ความรู้สึกของการที่มีคนอื่นมาแอบมองเหยื่อของเขานั้นช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลยจริงๆ!
เงาทมิฬยังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นนาย
สุดท้าย ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ลุกขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มออกมา พลางสะบัดแขนเสื้อยาวๆ ของตนจนสายลมเย็นพัดผ่านเข้าไปถึงกระดูก “ไปเตรียมรถม้า เข้าเมืองเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ในฐานะเงาทมิฬที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เขาสามารถรับคำสั่งได้ทุกเวลาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เช่นเดียวกันกับที่เขาทำในเวลานี้ แม้อันที่จริงเขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงตัดสินใจที่จะเข้าเมืองอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ก็ตาม
“ส่งองครักษ์เงาทั้งหมดออกไป” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังกังวานขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เย็นชายิ่งกว่าที่เคย และจงใจพูดแต่ละคำอย่างชัดเจน ราวกับว่าคำทุกคำนั้นเคลื่อนไหวไปพร้อมกับปลายลิ้นของเขา “นำตัวผู้หญิงที่งดงามราวกับเทพธิดาคนนั้นกลับมาที่นี่”
คราวนี้เงาทมิฬถึงกับผงะไปอย่างงุนงง ฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่กันแน่
ไม่จับคุณหนูเฮ่อเหลียน แต่จะไปจับเทพธิดาแทนหรือ
ใครก็ได้บอกเขาทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เหมือนกัน!!!
ทุกอย่างกำลังไปได้สวย นางถึงกับวางแผนว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งจ้างสาวใช้สักคน แล้วแกล้งออกไปจากเมืองเสียด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ องครักษ์เงาจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วจงใจเลือกแต่สาวงามเป็นเป้าหมาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบังคับให้นางต้องกลายเป็นหนูตัวเล็กในถนนเส้นใหญ่ หลบๆ ซ่อนๆ สภาพดูไม่ได้เป็นอย่างมาก!
“แม่นาง พวกเขามากันแล้ว” เจ้าแมวขาวเอ่ยอย่างชัดเจนและเย็นชาระหว่างที่ยืนอยู่บนหลังคาสูง และมองเห็นรถม้าของราชวงศ์มาแต่ไกล มันก้มหน้าลง แล้วมองเข้าไปในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย ลึกเข้าไปในดวงตาของมันพลันปรากฏความกังวลที่ไม่เคยมีมาก่อน…