อ่า ช่างเป็นแม่นางที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก
จิ่งอู๋ซวงเงยหน้าขึ้นมอง และดวงตาอันอ่อนโยนคู่นั้นก็เผยให้เห็นประกายบางอย่างอย่างรวดเร็ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระโดดลงมาจากรถม้าแล้ว
ทันทีที่หญิงสาวออกมาจากรถม้า ก็ทำให้ข้ารับใช้ที่บังคับม้าอยู่ตกใจ
เมื่อลุงเหลียงหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นดูบอบบางและงดงาม ผมสีดำยาวเป็นลอนทิ้งตัวลงตรงช่วงเอวของนาง ความงามนี้ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้
เขารีบดึงบังเหียนไว้แน่น ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความตกใจ “คุณชายขอรับ เมื่อครู่นี้…” คนที่องค์ชายสามกำลังตามหาอยู่ไม่ใช่นางหรอกหรือ
นายท่านของเขารู้ดี แต่ยังคงซ่อนตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ในรถม้าของเขาอยู่อีกหรือ
ถ้า… องค์ชายสามรู้เรื่องนี้เข้า…
ลุงเหลียงปาดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดออกมา ต่อให้ตระกูลของพวกเขาจะใหญ่โต แต่พวกเขาก็ต้องยอมสยบต่อตระกูลราชวงศ์อยู่ดี เฮ้อ แต่คุณชายคนนี้กลับไม่เกรงกลัวอะไรเลยจริงๆ
อย่างไรก็ตาม แม่นางคนนี้ก็ซ่อนตัวได้เก่งกาจยิ่งนัก พวกเขาเดินทางมาไกล แต่เขากลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติเลยด้วยซ้ำ
“ลุงเหลียง” จิ่งอู๋ซวงพูดขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาของเขาดูแจ่มใส แต่ก็ดูลึกล้ำและสงบราวกับเป็นมหาสมุทร มันเปล่งแสงสีน้ำเงินเล็กน้อย จนทำให้คนอื่นๆ เต็มใจที่จะจมน้ำไปกับดวงตาคู่นั้น
จากนั้น มุมปากของเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน ขณะที่เขายื่นนิ้วที่ดูราวกับหยกของตนเองออกไปหยิบเงินที่เฮ่อเหลียนเวยเวยวางไว้บนโต๊ะ “คนที่สามารถทำให้องค์ชายสามออกตามหาทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ยังหาไม่พบได้ เจ้าเคยเห็นสักกี่คนกันหรือ”
ลุงเหลียงรู้สึกมึนงง ชื่อเสียงอันโด่งดังและน่าเคารพขององค์ชายสาม เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว แม้ว่าเขาจะสูญเสียพลังปราณไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายโทสะของเขา
ไม่ว่าตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูลจะดื้อรั้นเพียงใด แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายสาม พวกเขาก็ต้องยับยั้งความขุ่นเคืองใจเอาไว้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม
ไม่ว่าใครต่างก็สามารถจินตนาการได้ถึงวิธีการของฝ่าบาทได้เป็นอย่างดี
แต่ก็ไม่มีใครขวางองค์ชายสามไม่ให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการได้ แม้แต่อดีตฮ่องเต้เองก็ตาม
อย่างเช่นในวันนี้ หลังจากที่ตามหาคนๆ หนึ่งมาทั้งวัน ก็ยังไม่สามารถตามหาคนๆ นั้นเจอ…
“หนึ่งคนขอรับ” ลุงเหลียงคิดทบทวนจากความทรงจำ ก่อนจะได้คำตอบว่า “ผู้เฒ่าคนนี้เพิ่งจะเคยเห็นคนที่ทำเช่นนั้นได้เพียงคนเดียวเท่านั้นขอรับ” ไม่เพียงแค่นั้น แต่คนที่ทำได้ยังเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งอีกด้วย
จิ่งอู๋ซวงหยิบเงินไว้ในฝ่ามือ แล้วยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าคนไร้ค่าของตระกูลเฮ่อเหลียนจะไม่ใช่คนไร้ค่าเหมือนอย่างที่เล่าลือกัน”
“คนๆ นั้นคือบุตรสาวผู้ไร้ค่าของตระกูลเฮ่อเหลียนหรือขอรับ” ทันใดนั้น ลุงเหลียงก็อ้าปากค้างทันที “เป็นไปได้อย่างไรกันขอรับ” มิใช่ว่าบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นเป็นคนหยาบกระด้าง ผิวดำคล้ำ และเป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียว ไม่มีอะไรดีไปกว่าคนหยาบคายเลย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บุตรชายของตระกูลมู่หรงไม่สามารถอดทนได้ จนต้องขอถอนหมั้นไป แต่แม่นางที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้ แม้ว่าจะเห็นเพียงแวบเดียว แต่นางก็ดูงดงามอย่างมาก โอ้ สวรรค์
จิ่งอู๋ซวงเลื่อนมือขึ้นมาวางไว้บนริมฝีปากของเขา และกระเอมไอสองสามครั้ง เมื่อเปิดปากพูดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาก็ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจอะไร “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก ข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วในตลาดนั้น เดิมทีก็มาจากการพูดคุยนินทากันในยามว่างของผู้คนทั่วไปนั่นแหละ พวกเรารีบเดินทางกันต่อเถอะ”
“ขอรับ” หลังจากนั้นไม่นาน ลุงเหลียงก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง ก่อนจะยกแส้ขึ้น พร้อมกับคิดทบทวนอย่างรอบคอบ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายของเขาเป็นฝ่ายยื่นมือช่วยเหลือคนอื่น
เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนั้นไม่ถูกองค์ชายสามจับตัวได้
ลุงเหลียงไม่สามารถคาดเดาความคิดของนายท่านของเขาได้เลย
และในขณะเดียวกัน ขันทีซุนเองก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของฝ่าบาทได้เช่นกัน
เวลาผ่านไปสองวันสองคืนแล้ว และฝ่าบาทก็ไม่อาจหลับตาลงได้ อาการเช่นนี้มันจัดการได้ยากเกินไปไหมเล่า
เหล่าองครักษ์เงาที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกนั้นได้ถอนกำลังออกไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะจับตัวคุณหนูเฮ่อเหลียนคนนั้นให้ได้
เมื่อเห็นสีหน้าเขียวอมม่วงของท่านปรมาจารย์ ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หึ เจ้าไม่ต้องคาดหวังให้ข้าบอกเจ้าว่าศิษย์รักของข้าอยู่ที่ใด!”
ขันทีซุนเงยหน้าขึ้นและมองดูเพดาน โอ้ ท่านแม่ช่วยด้วย ท่านปรมาจารย์ผู้นี้พูดประโยคเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ต่ำกว่าสามครั้งแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะมองเขา ชายหนุ่มเพียงแค่ดื่มชาอย่างสบายอารมณ์ พลางเล่นกับส่วนประกอบของอาวุธระดับสูงที่อยู่ในมือ วัตถุล้ำค่าเหล่านั้นมีอยู่ในวังปีศาจแห่งเดียวเท่านั้น และมันก็มากพอที่จะทำให้เจ้ายุทธ์ของโลกใบนี้รู้สึกคันไม้คันมือได้
ท่านปรมาจารย์เลียริมฝีปากของตนเองอย่างละโมบพร้อมกับไตร่ตรอง “นี่ เจ้าเด็กน้ำแข็ง ทำไมเจ้าถึงยืนกรานที่จะตามหาลูกศิษย์ของข้าเล่า ทั้งหมดเป็นเพราะว่านางไม่ร่วมมือกับเจ้าในการแสดงละครใช่หรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ทำตัวโหดเหี้ยมยิ่งนัก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ขบฟันกราม พร้อมกับมองไปทางปรมาจารย์ที่กำลังถูกมัดไว้ราวกับเนื้อย่างอย่างเย็นชา แสงสว่างในดวงตาของเขาดูเจิดจ้าและเยือกเย็นกว่าทุกครั้ง
หากกิเลนอัคคีไม่รู้ว่าในขณะนี้ นายท่านของมันมองอะไรไม่เห็น มันก็คงจะคิดว่านายท่านกำลังกดดันท่านปรมาจารย์อยู่
อันที่จริงแล้ว ท่านปรมาจารย์ก็รู้สึกถึงแรงกดดันนั้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อศิษย์รักของเขาแล้ว เขาจึงต้องยืนหยัดที่จะอดทน
ในช่วงเวลาที่ท่านปรมาจารย์คิดจะสละชีวิตของตนเองอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องลูกศิษย์ของเขา เสียงที่เฉยเมยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดังขึ้นอย่างช้าๆ “ถึงท่านไม่พูด ข้าก็สามารถตรวจสอบได้อยู่ดี และยังรู้ได้ว่านางหายไปอยู่ที่ไหนอีกด้วย”
ท่านปรมาจารย์ตกอยู่ในภวังค์ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
“ไปเรียกตัวหนานกงเลี่ยมาที่นี่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกคำสั่งกับข้ารับใช้อย่างไม่ใส่ใจ
ปรมาจารย์เป่าเคราของเขา เฮ้อ จบกัน จบสิ้นแล้ว การทำนายของท่านปุโรหิตผู้ศักดิ์สิทธิ์คนนั้นแม่นยำมากที่สุด
แม้ว่าหนานกงเลี่ยจะไม่สามารถบอกตำแหน่งที่อยู่ของลูกศิษย์ของเขาได้อย่างแม่นยำ
แต่เขาก็สามารถคาดเดาทิศทางและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องได้อยู่ดี
เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าเด็กน้ำแข็งคนนี้ก็คงจะใช้สมองประมวลผลได้อย่างรวดเร็วว่าศิษย์รักของเขานั้นไปอยู่ที่ใด
เงาทมิฬหลุบตาลงและมองปรมาจารย์ที่กำลังหงุดหงิดใจ ก่อนจะพูดขึ้น “ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าการตามหาตัวคุณหนูเฮ่อเหลียนจำเป็นจะต้องหยุดไว้ก่อนขอรับ คนจากสี่ตระกูลใหญ่มาถึงแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในท้องพระโรง มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักไท่ไป๋ และพวกเขาต้องการถามฝ่าบาทเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่มาจิตใจไม่ดี คนที่จิตใจดีไม่มาเสียจริง ฮ่าๆ
ท่านปรมาจารย์ลุกขึ้นยืน และกำลังจะพูดเย้ยหยันไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่แล้วเขาก็เห็นอีกฝ่ายปัดเสื้อคลุมของตนเองอย่างเรียบเฉย และไม่กะพริบตาขณะที่กำลังก้าวเท้าออกไป จากนั้น ก็เกิดลมพัดตรงแขนเสื้อยาวของเขา จนก่อตัวขึ้นเป็นบรรยากาศที่ดูน่ากลัว
กิเลนอัคคีส่ายศีรษะ มนุษย์พวกนี้ช่างโง่เขลาจริงๆ พวกเขาเลือกที่จะดื้อดึง และโผล่มาในจังหวะเวลาที่นายท่านผู้นี้กำลังอารมณ์เสียเช่นนี้…
ปัง!
เมื่อเสียงของลมที่พัดมานั้นดังขึ้น ประตูและหน้าต่างทั้งหลายก็ปิดลงอย่างแรง
หินอ่อนอันล้ำค่านั้นสะท้อนให้เห็นถึงความหรูหราภายในวังแห่งนี้ ประมุขจากสี่ตระกูลใหญ่ต่างแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมที่บริสุทธิ์และราคาสูงอย่างไม่อาจเทียบได้ พลังปราณของพวกเขาไหลเวียนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ด้านหลังพวกเขาคือทายาทของแต่ละตระกูล และมู่หรงฉางเฟิงก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาราวกับกำลังเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเหนือกว่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทุกครั้งที่ประมุขจากสี่ตระกูลใหญ่เข้ามาในวังหลวง ก็จะมาเพื่อยื่นคำร้องมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย
ฮ่องเต้นั้นเต็มไปด้วยตัณหาในสาวงาม และมักจะถูกยั่วยุจากข่าวบิดเบือนได้อย่างง่ายดาย โชคดีที่ผู้เป็นใหญ่ภายในวังหลวงแห่งนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นอดีตฮ่องเต้ต่างหาก
“ตั้งแต่สมัยโบราณ สำนักไท่ไป๋เป็นสถานที่ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาความสงบมากที่สุดมาโดยตลอด แต่ทำไมพวกองครักษ์เงาถึงถูกส่งตัวไปยังสถานที่แห่งนั้นได้เล่า นี่เป็นข้อห้ามของสำนักแห่งนั้นอย่างเห็นได้ชัด”
“ข้อห้ามของสำนักไท่ไป๋ถูกสร้างขึ้น เพื่อไม่ให้ใช้อำนาจทำร้ายศิษย์ในสำนัก องค์ชายก็ไม่ได้ทำร้ายใครเลยนี่”
เสียงของการถกเถียงกันดังขึ้นอย่างดุเดือดและกึกก้องอยู่ภายในท้องพระโรง ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันราวกับไฟป่า
แต่องค์ชายสาม ผู้มีนามว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น กลับนั่งอยู่บนที่นั่งของตนเองเฉยๆ ใบหน้าที่ดูลึกลับของเขาเอียงไปด้านหนึ่ง ขณะที่มือขวาของเขายกขึ้นมาเท้าคางไว้ ดูราวกับกำลังใจลอยไปถึงเรื่องบางอย่างอยู่…