เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ท่ามกลางสายตาเหยียดหยามที่จ้องมาจากผู้คนนับพัน ใบหน้าของนางเรียบเฉยและหยิ่งยโส ราวกับว่าบทสนทนาของผู้คนเหล่านั้นไม่ได้รบกวนนางเลยแม้แต่น้อย ดวงตาใสของนางกวาดมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ และในที่สุด นางก็มองไปที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ “ตระกูลเช่นนั้นหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฮ่อเหลียนเพราะเจ้าและท่านพ่อที่ไม่รู้จักบุญคุณคนนั้นมานานแล้ว”
“บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนคนนี้ช่างก้าวร้าวจริงๆ ลองดูผู้เป็นน้อง แล้วหันมาดูคนเป็นพี่สิ เฉพาะแค่รูปร่างหน้าตาก็บ่งบอกได้แล้วว่าใครคือคนดี และใครคือคนชั่ว”
“เอาเถอะ คนที่หนีออกจากสำนักไท่ไป๋กับผู้ชายกลางดึกเช่นนั้นจะดีได้อย่างไรกันเล่า”
เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนทั้งหลาย เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ก้มศีรษะลง และใช้ผ้าเช็ดหน้าซับตรงหางตาของตนเองอย่างเสแสร้ง “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่รังเกียจข้าสุดหัวใจ” หลังจากที่พูดจบ นางก็ค่อยๆ ละสายตาออกจากเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ และยิ้มให้กับทุกคนอย่างนอบน้อม “ทุกคน อย่าพูดถึงพี่ใหญ่เช่นนั้นเลย นางแค่ไม่พอใจเท่านั้น กล่าวโทษข้าแทนเถอะ”
การกระทำนั้นแสดงให้ทุกคนรับรู้ว่านางเป็นหญิงงามและมีจิตใจเมตตาตามคาด
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยเบะปากออกอย่างไม่ใส่ใจ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะใช้กลยุทธ์ราคาถูกเหล่านี้แสดงให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังรับชม แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นเบื่อที่จะทนดูแล้ว
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำผ้าเช็ดหน้าของตนเองและพูดราวกับกำลังลังเล “แต่พี่ใหญ่ไม่เคยจับอาวุธมาก่อน แล้วทำไมท่านถึงมาเข้าร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์ได้เล่า ท่านตั้งใจมาเพื่อต้องการให้ชีวิตของท่านน่าสนใจขึ้นเช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง น้องสาวคนนี้ก็ เอ่อ ขอแนะนำให้พี่ใหญ่ถอนตัวเสียดีกว่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงและมองสีหน้าของทุกคนที่อยู่ด้านล่างเวที แน่นอนว่าพวกเขาล้วนมีสีหน้าดูถูก สายตาเหล่านั้นจ้องมองมาที่หญิงสาวราวกับกำลังมองดูแมลงกลิ่นเหม็นที่อยู่ในท่อระบายน้ำ พวกเขาแสดงท่าทีที่ดูรังเกียจอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างใจเย็น ถอนตัวเช่นนั้นหรือ นางยังไม่ได้เงินเลย หึ แล้วนางจะถอนตัวทำไมกันเล่า
เฮยเจ๋อเองก็ไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะมาปรากฏตัวที่นี่ เพราะตอนที่พวกเขาพูดคุยกันนั้น ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
ในตอนนั้น พวกเขาพูดคุยกันแค่เรื่องการนำอาวุธจากร้านขายอาวุธของพวกเขามาประมูลขายเท่านั้น
ดังนั้น ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ เฮยเจ๋อจึงมักจะเข้าร่วมในงานประมูลสินค้าอยู่เสมอ เขารอมาครึ่งค่อนวัน แต่ก็ยังไม่เห็นหุ้นส่วนธุรกิจของตนเอง เขาจึงคิดไปว่าอีกฝ่ายจะไม่มาแล้ว
เขาไม่คิดเลยว่านางจะเข้าร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์ทันทีที่เดินทางมาถึง
เฮยเจ๋อขมวดคิ้ว เขามองดูเหตุการณ์บนเวทีโดยไม่กะพริบตา ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความตึงเครียด
ทำให้เด็กรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างเขานั้นปรับตัวไม่ทัน…
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งนั้น มีเหล่าองครักษ์ที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งต่างก็ขมวดคิ้วอย่างกังวลใจ “นายน้อยขอรับ การเดิมพันครั้งนี้สูงยิ่งนักขอรับ หากเฮ่อเหลียนเวยเวยผู้นี้แพ้ขึ้นมา เช่นนั้นแล้ว…”
“อย่างนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่บนตำแหน่งบนสุด ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงขององครักษ์คนนั้น และกำลังพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า “เป็นการปลอมตัวเช่นนั้นหรือ ดูเหมือนไม่ใช่อย่างนั้นเลย”
ดวงตาขององครักษ์ผู้นั้นเป็นประกาย “ปลอมตัวหรือขอรับ” สิ่งที่ตระกูลชนชั้นสูงของพวกเขาเชี่ยวชาญ ก็คือการปลอมตัว และนายน้อยคนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ปลอมตัวได้ดีที่สุดในจักรวรรดิจ้านหลง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร หรือพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเพียงใด นายน้อยคนนี้ก็สามารถแยกแยะตัวตนที่แท้จริงของคนๆ นั้นได้ทันที
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นจะพบกับสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก ดวงตาเรียวยาวของเขาส่องประกายสดใส “ข้าไม่นึกเลยว่าคนไร้ค่าของตระกูลเฮ่อเหลียนจะมีรูปลักษณ์ที่แท้จริงเช่นนั้น หึหึ น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”
องครักษ์คนนั้นเริ่มเข้าใจสิ่งที่นายน้อยของเขากำลังพูดถึงได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือแสงสว่างในดวงตาของนายน้อย และท่าทีครุ่นคิดเช่นนี้นั้นเหมือนกับว่านายน้อยได้พบของเล่นที่ถูกใจ
และโดยปกติแล้ว ของเล่นที่นายน้อยรู้สึกถูกใจก็มักจะมีจุดจบเพียงอย่างเดียว นั่นคือความพินาศ…
จริงๆ แล้ว นิสัยเช่นนี้ก็ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจาก ‘คนๆ นั้น’
หากเปรียบเทียบกับองค์ชายคนนั้น นายน้อยผู้นี้ก็ยังถือว่าน่ารักอยู่ เพราะอย่างน้อย เมื่อเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาก็จะแค่อารมณ์เสีย และก็จบกันไปเท่านั้น
ถ้าเป็นองค์ชายคนนั้น… ความคิดของเขานั้นช่างลึกล้ำ และไม่มีใครสามารถหนีจากเขาพ้น
เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก นายน้อยก็ถูกองค์ชายคนนั้นหลอกลวงอย่างน่าเศร้า
องครักษ์คนนั้นหันศีรษะมามองเด็กหนุ่มรูปงามและดูบอบบางคนนี้อย่างเงียบๆ
ไม่รู้ว่านายน้อยผู้นี้จะยังคงขุ่นเคืองใจที่องค์ชายหลอกให้เขาสวมใส่เสื้อผ้าผู้หญิงอยู่อีกหรือไม่…
“อะไร?” เด็กหนุ่มรูปงามเคาะโต๊ะ แล้วลืมตาเรียวยาวของเขาขึ้น ก่อนจะกวาดสายตามองไปทางองครักษ์
องครักษ์คนนั้นใช้เวลาครุ่นคิดอย่างยากลำบากว่าจะใช้ถ้อยคำอย่างไร ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าน้อยได้รับข่าวมาจากในวังหลวงขอรับ”
เมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘วังหลวง’ แผ่นหลังของเด็กหนุ่มรูปงามก็สั่นเล็กน้อยพร้อมกับโค้งริมฝีปากเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น “พูดต่อสิ”
“ดูเหมือนว่าองค์ชายคนนั้นก็จะเสด็จมาที่นี่ด้วยขอรับ” องครักษ์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาในเมืองแล้วหรือยัง แต่การเดินทางครั้งนี้น่าจะเป็นความลับ จึงไม่มีองครักษ์ตามมาด้วยเลยแม้แต่คนเดียวขอรับ”
ปัง!
เด็กหนุ่มรูปงามคว้าคอเสื้อขององครักษ์คนนั้น แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามาหา พร้อมกับพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หาโอกาสจับตัวเขาไว้”
“นายน้อยขอรับ นั่นคือองค์ชายเลยนะขอรับ” องครักษ์ปาดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดออกมาจากหน้าผากของตนเอง และคิดในใจ [แม้ว่าพวกท่านจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ท่านจะใจร้อนเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ เฮ้อ]
เด็กหนุ่มรูปงามหรี่ตาลง “ไม่ต้องกลัว เชื่อฟังนายน้อยคนนี้ ไปจัดการเขาซะ”
เมืองอู่ซิวนั้นแตกต่างจากเมืองอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ
เพราะเมืองแห่งนี้อยู่ในสถานะพิเศษ จึงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์
กล่าวโดยสรุปคือ เด็กหนุ่มรูปงามคนนี้ต้องการจะสื่อความหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือที่นี่เป็นอาณาเขตของพวกเขา และพวกเขาก็สามารถจับใครก็ตามที่พวกเขาต้องการจะจับได้
องครักษ์คิดแล้วคิดอีก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านควรคิดทบทวนดูอีกครั้งนะขอรับ ตอนนี้ ร่างกายของท่านยังไม่ฟื้นตัวพอที่จะไปเผชิญหน้ากับองค์ชายคนนั้น”
“ไม่ต้องคิดมาก” เด็กหนุ่มรูปงามเผยให้เห็นฟันเขี้ยวที่สวยงามทั้งสองซี่ “ปีนั้น ตอนที่เขาหลอกให้ข้าสวมใส่ชุดผู้หญิง เขาก็ไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้นเช่นกัน นายน้อยคนนี้จะพูดอีกครั้ง ไปจัดการเขาซะ! ตอนนี้เขาไม่มีพลังปราณ ดังนั้นพวกเราจึงลงมือได้สะดวก”
องครักษ์ไออย่างรุนแรง เขาอยากจะพูดว่า ‘นายน้อยขอรับ พวกเราจะไปต่อสู้กับเขาด้วยวิธีการเช่นนั้น มันจะดีหรือขอรับ’
แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่นายน้อยและองค์ชายคนนั้นยังเป็นเด็ก พวกเขาก็ไร้ยางอายยิ่งกว่าผู้ใด…
“ขอรับ” ในที่สุด องครักษ์ก็ตอบรับคำสั่ง
เด็กหนุ่มรูปงามยิ้ม และออกคำสั่งอย่างจริงจัง “จับเป็น”
องครักษ์คิดในใจ …นี่… นี่คงไม่มีใครกล้าฆ่าองค์ชายคนนั้นหรอกขอรับ
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ข้ายังอยากจะดูการแสดงดีๆ นี้ต่อ” เด็กหนุ่มรูปงามโบกมือและมองไปที่ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาที่ต่างจากเดิม พร้อมกับใคร่ครวญถึงสิ่งที่น่าสงสัยเมื่อตอนก่อนหน้านี้
นางใช้รูปลักษณ์ของผู้ชายเข้าหาเขาเช่นนั้นหรือ
อืม เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้เป็นคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ช่างแตกต่างจากที่คิดเอาไว้จริงๆ
เขาไม่รู้เลยว่านางสามารถบอกความแตกต่างของอาวุธแต่ละแบบได้จริงๆ หรือนางเพียงแค่แกล้งทำไปอย่างนั้น…
อันที่จริง แทบทุกคนต่างคิดว่าการที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าร่วมงานประลองเจ้ายุทธ์นั้นเป็นเรื่องตลกกันทั้งสิ้น
พวกเขายังไม่ลืมว่าช่วงหนึ่งเดือนที่แล้วนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยได้เข้าร่วมการทดสอบอาวุธเล็กๆ ที่หอเฟิ่งหวงด้วย
ผลก็คือนางเพิ่งจะเข้าไปด้านในได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะโดนท่านอาจารย์ตู๋เทียนขับไล่ออกมาอย่างหมดความอดทน
และในขณะนี้ ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่มีการรวมตัวกันของเหล่าเจ้ายุทธ์แห่งนี้ นางยังคงกล้าที่จะเข้ามาและสร้างเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้อีก นางมีแต่จะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าก็เท่านั้น