เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกมุมปาก พร้อมกับยกมือที่อยู่ข้างตัวขึ้น ทันใดนั้นร่มคันหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า นางหมุนข้อมืออย่างสวยงามพร้อมกับหมุนร่มไปด้วย อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงกราว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทุกทิศทาง!
คนเหล่านั้นยังไม่ทันได้แตะตัวนางเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับถูกนางอัดจนลุกแทบไม่ขึ้น!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันไปมองนาง ในดวงตาของเขามีประกายแห่งรอยยิ้มปรากฏขึ้น ภายใต้รอยยิ้มเยี่ยงปีศาจร้ายนั้นมีบางอย่างแฝงอยู่ ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ แต่เขาก็ยื่นมือออกไปแล้วรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ “เจ้าทำมันกระเด็นมาโดนข้า”
ตอนนั้นเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าองค์ชายเป็นโรคคลั่งความสะอาดนี่นา และคงไม่ค่อยเข้าใจว่าในขั้นตอนของการต่อสู้ฆ่าฟันนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกเลือดกระเด็นใส่ สิ่งที่ไม่ธรรมดาคือคนเช่นเขาต่างหาก คนที่ฆ่าคนไปตั้งมากมายแต่กลับไม่มีเลือดกระเด็นมาเปื้อนตัวแม้แต่หยดเดียว…
“ไปกันเถอะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตา เขาดึงเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาแนบอก เพราะเขารู้ดีว่าคนพวกนี้เป็นเช่นใด คนพวกนี้มักจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานีอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้น พวกมันจะไม่เปิดช่องทางหนีให้เลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นหัวหน้ากลุ่มจึงย่อมไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จับสังเกตได้เช่นกัน เพราะมีคนจำนวนมากดาหน้าเข้ามาล้อมพวกนางเอาไว้เรื่อยๆ ทำเหมือนกับว่าไม่มีใครถูกฆ่าเลยสักคน อีกฝั่งมีกระทั่งธนูไฟด้วยซ้ำ ต่อให้พวกนางมีสามเศียรหกกร แต่การจะเอาตัวรอดไปจากการโจมตีเช่นนี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองบรรดาคนชุดดำที่ค่อยๆ ขยับเข้ามา และรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ทุกย่างก้าวนั้นเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะชนะ
การปะทะกันซึ่งหน้าย่อมไม่เป็นผลดี คงจะดีกว่าหากปล่อยให้องค์ชายสามหนีไป แล้วให้นางจัดการพวกที่เหลืออยู่ที่นี่ จากนั้นนางจึงค่อยหาโอกาสหลบหนีอีกที
เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านไปก่อน ข้า…”
“ข้าไม่อยากได้ยินความคิดโง่เง่าพรรค์นั้นของเจ้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่อนุญาตให้เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบด้วยซ้ำ เขาตวัดสายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างรุนแรง ไม่อาจปิดบังความเย็นชาที่อยู่ในดวงตาของเขาได้เลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยอึ้งไปเล็กน้อย หากดูจากสติปัญญาขององค์ชายสามแล้ว เขาย่อมเข้าใจในเจตนาของนางอย่างแน่นอน และคงรู้ดีด้วยว่าวิธีการนี้จะส่งผลดีกับทุกฝ่าย
แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมทำแบบนั้นล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น แล้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่แล้วนางก็ถูกใครบางคนคว้าหมับจากด้านหลัง แล้วอุ้มขึ้นพาดบ่า พร้อมกันนั้นน้ำเสียงที่ค่อนข้างไร้อารมณ์ก็ดังขึ้นข้างหูว่า “ถ้าเจ้ามีเวลามาพูดจาโอ้เอ้เช่นนั้น ทำไมไม่รีบหนีเล่า”
ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงถูกองค์ชายคนหนึ่งอุ้มพาดบ่าท่ามกลางสายตาของทุกคน เขาอุ้มนางด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างยังคงจัดการโค่นคู่ต่อสู้ต่อไป
ไม่ว่าจะมีคนโจมตีเข้ามามากมายเพียงใด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่หยุด ทุกย่างก้าวอันสง่างามหาใดเปรียบนั้นเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยทุบไหล่บางแต่ก็แน่นด้วยกล้ามเนื้อของชายหนุ่มอย่างหมดหนทาง พร้อมกับคิดว่านางน่าจะหาทางทำอะไรสักอย่าง แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องกัดใครสักคนก็ตามที
มือสังหารชุดดำพุ่งตรงเข้ามาทีละคน และโจมตีเข้ามายังทิศทางที่นางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่
ทันทีที่กลุ่มคนชุดดำตรงหน้าของพวกนางล้มลง บรรดาคนที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาก็จะพุ่งเข้ามาทันที ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมคนเอาไว้มากเพียงใด แต่หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน แม้ว่านางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะเป็นมนุษย์เหล็ก ก็ยังไม่อาจยืนหยัดอยู่ตรงนี้ต่อไปได้
ในตอนแรก ระหว่างพวกนางสองคนนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนที่อุ้มนางเอาไว้ แต่หลังจากนั้น นางกับเขาก็หันหลังชนกัน
ยิ่งกว่านั้น พลธนูก็เริ่มระดมยิงใส่พวกนางจนบนฟ้าเต็มไปด้วยลูกธนูมากมาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลัวว่าลูกธนูพวกนี้จะทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบาดเจ็บ นางจึงรีบหมุนตัวไปช่วยขวางลูกธนูทั้งหมดแทนเขาอย่างรวดเร็ว
แต่คนในชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับรอจังหวะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทำเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว และฉวยโอกาสตอนที่นางเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเปลี่ยนวิถีกระบี่สองคมในมือของตนพุ่งตรงเข้าไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยแทน
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกันนั้นเขาก็คว้าตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้แล้วพลิกตัวกลับ อุ้มนางเข้ามาหาตัวเพื่อหลบคนชุดดำคนนั้น แต่แล้วเขาก็ถูกธนูยิงเข้าที่แขน
“นายท่าน!” กิเลนอัคคีร้องด้วยความตกใจ แล้วรีบปรากฏกายออกมา ความโกรธของเขารุนแรงจนแผ่นดินสะเทือน แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงนั้นแทบจะครอบคลุมไปทั้งเมืองอู่ซิว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเสียสมาธิยิ่งกว่าเดิมเมื่อนางเห็นเลือดที่ไหลออกมาย้อมชุดของนางจนกลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว หัวใจของนางบีบรัดแน่น พร้อมกันนั้นนางก็ยกมือขึ้นต้านการจู่โจมที่เข้ามาเป็นระลอกสอง แล้วจึงใช้เท้าถีบคนชุดดำคนนั้นลอยออกไปไกลเป็นจั้ง[1]!
“ลูกธนูอาบยาพิษ” เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มลงมองเลือดสีดำ สายตาของนางเปลี่ยนไปทันที “เป็นพิษสลายกำลัง!”
พิษสลายกำลังเป็นพิษที่ร้ายแรงอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ฝึกปราณ มันสามารถทำลายพลังปราณของคนคนนั้นทั้งหมดได้เลยทีเดียว!
หากว่ากันตามหลักการแล้ว พิษชนิดนี้ไม่น่าจะมีอยู่ในจักรวรรดิจ้านหลงได้ เพราะมันเป็นพิษที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ใช้ แต่น่าตกใจยิ่งนักที่ยังมีคนใช้มันอยู่!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใกล้ๆ แล้วความคิดของนางก็ถึงกับสับสนวุ่นวาย
บรรดาคนชุดดำพุ่งตรงเข้ามาราวกับเสียสติ แม้การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกิเลนอัคคีจะทำให้พวกเขาหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็รู้ว่าหากผู้ทำพันธสัญญาได้รับบาดเจ็บขึ้นมาล่ะก็ ไม่ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นจะแข็งแกร่งและดุร้ายเพียงใดก็ไม่อาจประสานพลังกับผู้เป็นนายได้
ไม่เพียงแค่นั้น ตราบใดที่องค์ชายสามไม่คิดที่จะหยุดใช้กำลังภายใน พลังปราณของเขาก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
และเมื่อถึงจุดวิกฤติ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองด้วยซ้ำ องค์ชายสามคงจะถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองแว้งกัด และเส้นลมปราณในร่างก็จะถูกทำลาย!
ด้วยเหตุนี้บรรดาคนชุดดำจึงไล่ล่าพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมโดยปราศจากความลังเล และไม่คิดที่จะปล่อยไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระชับกระบี่ในมือแน่น นัยน์ตาของเขามืดมนลงเรื่อยๆ
เมื่อเห็นภาพนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ชะงัก นิ้วของนางกำแน่นเข้าหากันทันที นางรู้ว่าตราบใดที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังใช้กำลังภายในของตนอยู่ พิษในร่างของเขาก็จะแทรกซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลานั้นมาถึง นางกลัวว่าเขาจะ…
ไม่ได้ นางไม่มีทางยอมให้เขาสูญเสียพลังปราณทั้งหมดไปเพราะนางเด็ดขาด!
ดวงตาที่เดิมทีเคยเฉื่อยชาของเฮ่อเหลียนเวยเวยพลันกลับกลายเป็นแน่วแน่และเฉียมแหลม “หยวนหมิง!” นางใช้กระแสจิตอัญเชิญปีศาจซึ่งทำพันธสัญญากับนางออกมา ประกายแสงในดวงตาของนางวาบขึ้นเล็กน้อยราวกับปีศาจร้าย “ข้าผู้ทำพันธสัญญาขอสั่งให้เจ้าฆ่าพวกมันให้หมดซะ!”
หยวนหมิงเลียริมฝีปากบางของตน “แล้ววิญญาณของพวกมันล่ะ”
“ให้กลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงเจ้า” ทันทีที่เสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยลดลง ผมยาวของนางก็ขยับเล็กน้อย อากาศรอบกายดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนจะแผ่ขยายไปยังรอบด้านทีละน้อย บรรดาคนชุดดำจ้องมองภาพนั้นด้วยความตกใจ พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว มิหนำซ้ำยังไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้เพราะสายลมอันรุนแรงที่โหมเข้ามา สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการยกมือขึ้นป้องกันมันเท่านั้น!
หลังจากนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คว้าแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ ร่างทั้งร่างของนางเป็นราวกับกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก นางบุกทะลวงเข้าไปกลางกลุ่มคนชุดดำ ไม่ว่านางจะไปที่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถหนีไปได้แม้แต่คนเดียว
บรรดากลุ่มคนชุดดำสัมผัสได้แค่ว่ามีแสงสีขาวสว่างเจิดจ้ากะพริบอยู่ต่อหน้าพวกเขา และคล้ายกับมีใครบางคนใช้มือบีบเข้าที่ลำคอของพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาเพิ่งจะตอบสนองได้ ลมหายใจของพวกเขาก็หยุดลงเสียแล้ว
สายลมแรงที่จู่ๆ ก็ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันนั้นทำให้หัวหน้าที่อยู่ท่ามกลางคนชุดดำสับสน เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่สิบวินาที เขาเห็นเพียงแค่พายุหมุนลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นแล้วหมุนเข้ามา เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง คนของเขาก็สิ้นใจอยู่ตรงหน้าของเขา เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าองค์ชายสามที่เขาหมายจะจับตัวนั้นหายไปไหน!
แต่เขามั่นใจว่าสองคนนั้นคงยังหนีไปได้ไม่ไกล เพราะพายุหมุนลูกนั้นหายไปแถวนี้นี่เอง!
ชายชุดดำคนนั้นประเมินได้ถูกต้องทีเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้หนีไปไกลนัก
เรี่ยวแรงในร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยมาถึงขีดจำกัดเสียแล้ว หากไม่ใช่เพราะการล้อมสังหารในวันนี้ นางก็คงไม่ใช้กระบวนท่าที่บังคับให้นางต้องผสานพลังปราณของตนเข้ากับพลังปีศาจเช่นนี้แน่ ข้อแรกคือเพราะวิธีนี้สิ้นเปลืองพลังปราณมากเกินไป และข้อที่สอง หากคนที่มีสายตาเฉียบแหลมเห็นวิธีการที่นางใช้เข้า พวกเขาจะรู้ได้ในทันทีว่ามันเกี่ยวข้องกับปีศาจ
ในจักรวรรดิจ้านหลงนั้น การฝึกฝนพลังปีศาจเป็นเรื่องต้องห้าม!
———————————–
[1] 1 จั้ง = 500 เมตร